ผ่าประเด็นร้อน
นี่ขนาดใช้วิธีกระตุ้นกันขนานใหญ่อันเนื่องมาจากนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย แบบ ทักษิณคิด แล้วสั่งให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำไปทำสารพัด ทั้งค่าแรงวันละ 300 บาท ลดภาษีนิติบุคคล บ้านหลังแรก รถคันแรก จำนำข้าว ฯลฯ ลุยต่อเนื่องมานานสองปีแล้ว
แต่กลายเป็นว่ายังได้ผลไม่คุ้มค่า ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
เพราะล่าสุดทางเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาคม เติมพิทยาไพสิฐ ออกมาเผยตัวเลขอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ต่ำกว่าเป้าหมาย นั่นคือในช่วงไตรมาสแรกโต ร้อยละ 5.3 ชะลอตัวต่อเนื่องจากปลายปีที่แล้ว แม้ว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนการเติบโตจะมีอัตราที่สูงกว่าก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มในอนาคตโดยเฉพาะในไตรมาสถัดไปจะชะลอตัว เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายอย่างมากระทบ ทำให้ต้องมีการปรับลดตัวเลขการคาดการณ์การขยายทางเศรษฐกิจทั้งปีลงจากเดิม คาดว่าโตร้อยละ 4.5-5.5 ลงเหลือร้อยละ 4.2-5.2
สิ่งที่สภาพัฒน์ชี้ให้เห็นก็คือ ผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกค่อนข้างต่ำ อีกทั้งแรงส่งจากนโยบายรถคันแรกก็เริ่มแผ่วลง อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังโตช้า ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นถือว่ามีผลกระทบหมด
ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลที่ผ่านมาถือว่า “จัดเต็ม” แทบจะครบชุดแล้วยังไม่ได้ผล ตรงกันข้ามบางเรื่องยังสะท้อนกลับมาในทางที่ไม่คาดหมาย โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากนโยบาย “รถคันแรก” ที่เดิมหวังจะเป็นไม้เด็ดในการกระตุ้นการใช้จ่ายกระตุ้นการลงทุนในภาคยานยนต์ แต่ที่ไหนได้กลายเป็นว่านอกเหนือจากกรณที่มีการขอเลื่อนการรับรถออกไปแล้ว ยังมีสถิติในเรื่องการ “ทิ้งดาวน์-ผ่อนไม่ไหว” มากขึ้นมุกวัน แล้วยังมีเรื่องของการ “ลดการใช้จ่าย” อันเกิดจากการซื้อรถคันแรก เพราะเมื่อซื้อมาแล้วต้องเจียดเงินเป็นค่างวด ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน หรือแม้แต่ค่าจอด ไหนยังมีค่าใช้จ่ายจำเป็นประจำวันในเรื่องกินอยู่ จนทำให้พฤติกรรมของคนพวกนี้ไม่ออกไปเที่ยวเตร่ ไม่เดินตามห้างสรรพสินค้า จนมีการแถลงออกมาแล้วว่ายอดการจำหน่ายในห้างฯ เริ่มลดได้รับผิดกระทบเป็นลูกโซ่ อย่างไม่น่าเชื่อ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องปัญหาสินค้าแพง ซึ่งบรรดาพ่อค้าอ้างว่าส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนเพิ่ม นั่นคือค่าแรงเพิ่ม ที่เห็นชัดในเวลานี้ก็คือ “ไข่แพง” แม้ว่าฝ่ายรัฐโดยกระทรวงพาณิชย์จะพยายามยืนยันว่าเป็นปัญหาระยะสั้น “ตามฤดูกาล” จากสภาวะอากาศที่ร้อนจัดทำให้ “ไข่หด” พอเข้าหน้าฝนทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ดี ปัญหาเรื่องไข่แพงมักจะเป็นตัวชี้วัดถึงประสิทธิภาพของรัฐบาลแต่ละยุค แต่ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ถือว่าไข่แพงที่สุด อีกทั้งถ้าสำรวจราคาสินค้าอื่นๆ ก็แพงเช่นเดียวกัน นี่รับรองว่าไม่ใช่เป็นความรู้สึกแน่นอน แต่เป็นของจริงที่เกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ช่วงเปิดเทอมเป็นต้นมา
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวตำตาก็คือ การแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่นับวันมีแต่เลวร้ายลง ยังไม่มีแนวโน้มว่าดีขึ้นเลยในระยะเวลาอันใกล้ ตรงกันข้ามกลับถอยหลัง เวลานี้กลายเป็นว่าเป็นการแก้ไขเฉพาะหน้าป้องกันเหตุร้ายรายวันเท่านั้น ไม่มียุทธศาสตร์การแก้ปัญหาหรือการพัฒนาระยะยาว ความเคลื่อนไหวในการเจรจากับกลุ่มโจรก่อการร้ายบางกลุ่มที่ก่อนหน้านี้หวังเพียงเพื่อ “สร้างกระแสทางตลาด” หวังผลทางการเมืองในพื้นที่ กลับกลายเป็นว่าสร้างผลกระทบตามมาจนสถานการณ์บานปลายจนควบคุมไม่ได้
นั่นคือนอกเหนือจากกลายเป็นการส่งเสริมยกระดับกลุ่มก่อความไม่สงบกลุ่มเล็กๆ ให้กลับมามีชื่อโดดเด่นอย่างน่าสงสัย อีกทั้งยังยกระดับปัญหาภายในให้กลายเป็นปัญหาระดับนานาชาติ เปิดทางให้ต่างประเทศเข้ามาแทรกแซง ที่เห็นชัดก็คือเวลานี้มาเลเซียได้เปลี่ยนแปลงสถานะจากประเทศที่ “อำนวยความสะดวก” ยกระดับมาเป็น “ผู้ไกล่เกลี่ย” เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี ปัญหาก็คือการเจรจาผ่านมาสองครั้งกำลังจะมีการเจรจากันอีกรอบในต้นเดือนหน้าสถานการณ์ความรุนแรงกลับเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ที่น่าจับตาก็คือเวลานี้ฝ่ายรัฐบาลกลับไม่มีผู้นำในการรับผิดชอบโดยตรง
ล่าสุดยังได้เกิดเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่บริเวณปากซอยรามคำแหง 43/1 ซ้ำรอยขึ้นมาอีก แต่รัฐบาล ตำรวจรวมไปถึงฝ่ายความมั่นคงรีบด่วนสรุปทันทีว่าไม่เกี่ยวโยงกับความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ แต่มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพ่อค้าในย่านนั้น เพื่อให้ดูว่าเป็นเรื่องส่วนตัวเล็กน้อย แต่หากพิจารณาอีกมุมหนึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกลางกรุงในย่านชุมชน อีกทั้งลักษณะของการลอบวางระเบิดดูแล้วไม่ต่างจากมืออาชีพ และที่สำคัญก็คือมีการสั่งเพิ่มระดับการรักษาความอดภัยให้กับทำเนียบรัฐบาลเต็มพอกัดมันก็ยิ่งผิดปกติ
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่รัฐบาลกำลังเกิดปัญหาย้อนกลับทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ข้าวของแพง ขณะที่รัฐบาลกลับถูกมองว่ากำลังทุ่มเทแก้ปัญหาเรื่องส่วนตัวให้กับ ทักษิณ ชินวัตร เป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวเอาแต่ได้
ทุกปัญหาและปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนับวันยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เอาไหน และความล้มเหลวของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และนับวันธาตุแท้ภายในจะออกมาให้เห็นเอง โดยไม่อาจปิดบังอำพรางได้อีก!!