ประธาน ส.ส.กทม.ประชาธิปัตย์ ดักคอ “อำมาตย์เต้น” ประกาศเช็กโรงสีทั่วประเทศพรุ่งนี้คงไม่ลูกหน้าปะจมูก ถามรัฐบาล ผอ.สิ่งแวดล้อมโสมขาวแฉ บ.จัดการน้ำไร้ศักยภาพทำโครงการใหญ่ เคยรู้เรื่องหรือไม่ จี้นายกฯ หาคนมาสอบแทน “ปลอดประสพ” เชื่อคุ้ยไทยเข้มแข็งเล่นพรรคแก้เกี้ยวโกงรุม
วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ จะลงพื้นที่ตรวจสอบโรงสี 1,600 แห่งทั่วประเทศ ในวันพรุ่งนี้ (27 มิ.ย.) โดยจะใช้เวลาเพียง 1 วันว่า ทางพรรคไม่มั่นใจว่าจะดำเนินการตรวจสอบหาหลักฐานได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเป็นที่ทราบดีว่าเวลาที่ผ่านมา 2 ปี ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงขณะนี้ มีการเล่นแร่แปรธาตุให้พร้อมที่จะถูกตรวจสอบแล้วระดับหนึ่ง และการจะไปตรวจสอบโรงสี 1,000 กว่าแห่ง โอกาสจะตรวจสอบโดยละเอียดเพื่อข้อเท็จจริงต่างๆ คงเป็นไปยากลำบาก ซึ่งในทางปฏิบัติคนในพื้นที่ทราบดีว่าโรงสีหรือโกดังใดเข้าข่ายส่อทุจริต และรัฐบาลควรจะมีข้อมูลระดับหนึ่งแล้ว หากไม่มีก็ควรตรวจสอบก่อน และมุ่งเป้าไปที่โรงสีที่มีข้อมูลในเบื้องต้นว่าอาจเข้าข่ายทุจริต เช่น โรงสีแอลโกลเมนูแฟกเจอร์ จ.พิจิตร ที่เคยถูกชาวนาร้องเรียน และมีหลักฐานชัดเจนเป็นที่รับรู้กันทั้งจังหวัดว่ามีปัญหา แต่ 2 ปีที่ผ่านมามีการปล่อยปละละเลย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าก่อนหน้านี้โรงสีใช้ชื่อว่า “ก้องเกียรติ” และเก็บข้าวโครงการจำนำจาก อคส. แต่เมื่อรัฐบาลมีโครงการรับจำนำข้าว ก็มีการเปลี่ยนชื่อโรงสีใหม่ แล้วไปทำงานร่วมกับ อ.ต.ก.
“โรงสีนี้คนทั้งจังหวัดรู้ว่าถูกแบล็กลิสต์ และไม่มีใครดำเนินการอะไรได้ เพราะมีผู้สนับสนุนโดยขาใหญ่ระดับรัฐมนตรีที่อยู่ในรัฐบาลชุดนี้ ดังนั้นหวังว่าการตรวจสอบในวันพรุ่งนี้ จะไม่ทำแบบลูบหน้าปะจมูก โรงสีหรือไซโลไหนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนใหญ่โตในรัฐบาลชุดนี้ แล้วมีการละเว้นไม่ตรวจอย่างจริงจัง เหมือนกรณีโรงสีที่ จ.พิจิตร ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาการทุจริตได้อย่างจริงจัง แต่หากจะให้เกิดผลสำเร็จมากขึ้น ต้องมุ่งเป้าไปที่โรงสีที่มีพฤติกรรมในอดีต โดยสามารถหาข้อมูลในจังหวัดนั้นๆ ยิ่งใครมีความสัมพันธ์กับเส้นใหญ่เท่าไร โอกาสที่จะแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบก็จะมีมากขึ้น และก็จะถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลเล่นปาหี่อย่างเช่นเคย” นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวต่อว่า กรณีที่ ผอ.สมาพันธ์สิ่งแวดล้อมเกาหลีใต้ ออกมาระบุบริษัท K-WATER ที่ชนะการประมูลทำโครงการก่อสร้างฟลัดเวย์ และพื้นที่แก้มลิงมูลค่า 1.6 แสนล้านบาท มีฐานะการเงินย่ำแย่และมีหนี้สินสูงกว่า 700% ไม่มีศักยภาพที่จะทำโครงการใหญ่ได้ เพราะเคยทำฟลัดเวย์ในเกาหลีใต้ระยะทาง 18 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาศึกษาถึง 10 ปี แต่โครงการ 3.5 แสนล้านบาลรัฐบาลประมาณการว่าจะดำเนินการให้เสร็จภายใน 5 ปี รวมทั้งบริษัทดังกล่าวยังไม่เคยมีประสบการณ์สร้างโครงการบริหารพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ได้งานในประเทศไทยขณะนี้ และยังมีความพยายามปกปิดข้อมูลในประเทศเกาหลีใต้ตลอดเวลา เพราะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองในเกาหลีใต้ ซึ่งจากการเปิดเผยดังกล่าว ที่มีร่วมทำการตรวจสอบความพร้อมกับองค์กรต่างๆของไทยนั้น ถือเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้เราได้รับทราบข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับบริษัท K-WATER ที่ได้งานมากที่สุด
นายองอาจกล่าวว่า ตนตั้งข้อสังเกตไปยังรัฐบาลว่า ได้รับทราบข้อมูลเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่ และขณะที่มีการยื่นเรื่องรับงานนี้ รัฐบาลไทยเคยอ้างว่าได้ตรวจสอบสถานะความพร้อมของบริษัทเรียบร้อยแล้ว จึงอยากถามว่าเมื่อตรวจสอบแล้วรับทราบถึงพฤติกรรมในอดีตของบริษัทดังกล่าวที่ได้รับงานจากประเทศเกาหลีหรือประเทศอื่นๆ หรือไม่ และเพื่อให้การดำเนินการตามโครงการ 3.5 แสนล้านบาทเป็นไปอย่างโปร่งใส ขอเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง แต่ไม่ควรให้นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรีมาตรวจสอบ เพราะการให้บุคคลที่รับผิดชอบเรื่องนี้มาตรวจสอบจะไม่สามารถมั่นใจได้ว่า จะดำเนินการไปด้วยความโปร่งใส
“นายกรัฐมนตรีควรเข้ามาดูเรื่องนี้ด้วยตนเอง เพราะข้อมูลที่ปรากฏมาจากบุคคลที่น่าเชื่อถือได้ และได้ลงไปพื้นที่ที่จะก่อสร้างโครงการนี้ร่วมกับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมของไทยแล้ว ไม่ใช่ออกมากล่าวหาเลื่อนลอย ดังนั้น อยากให้รัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการตรวจสอบเพื่อสร้างความโปร่งใส และดำเนินโครงการเพื่อประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่มุ่งหวังเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตประพฤติมิชอบ” นายองอาจกล่าว
นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทำการตรวจสอบย้อนหลังโครงการไทยเข้มแข็งที่ดำเนินการโดยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยมองว่าเป็นการแก้เกี้ยวของรัฐบาล หลังจากที่ประสบสภาวะถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตต่างในโครงการประชานิยม ทั้งโครงการจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โครงการใน พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท
“ขอถามว่ารัฐบาลนี้บริหารงานมา 2 ปี หากโครงการไทยเข้มแข็งมีการทุจริตจริง เชื่อว่ารัฐบาลคงรีบดำเนินการเอาผิดกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ปีแรกที่ทำงานแล้ว เพราะเป็นโครงการที่เปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง หากพบว่ามีปัญหาคงรีบจัดการไปแล้ว ไม่รอถึงปีนี้ แต่ที่รอมาถึงวันนี้เพราะรัฐบาลต้องการขุดคุ้ยว่าจะหาทางแก้เกี้ยวกับปัญหาที่รุมเร้าอยู่อย่างไร โดยพยายามหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อจะชี้ให้สังคมเห็นว่าสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็มีปัญหา” นายองอาจกล่าว
นายองอาจกล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ยินดีให้ตรวจสอบโครงการในอดีต เพราะเชื่อว่าดำเนินการอย่างโปร่งใสเพื่อประโยชน์ประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ได้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ แต่ฝากบอกรัฐบาลว่าอย่าใช้พฤติกรรมลักษณะนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง โดยไม่ควรพยายามขุดคุ้ยเรื่องในอดีตที่ไม่เป็นความจริงมากล่าวหา แต่ควรจะพยายามแก้ไขปัญหาในปัจจุบันได้สำเร็จเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมา