“ไพร่เทียม” เผยหน่วยงานใน พณ.จับมือ บ.เซอร์เวเยอร์ลงพื้นที่ดีเดย์ 29 มิ.ย. สอบจำนำข้าว ให้ สตช.ช่วยทำความเข้าใจแต่ละพื้นที่ ชูพร้อมแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ อ้างตรวจสอบมาตลอดไม่ได้เพิ่งขยับ แจงมีข้อมูลโรงสีที่มีปัญหา พร้อมจับตาเป็นพิเศษ โต้ข่าวแกนนำพรรคกดดัน “บุญทรง” โวจำนำข้าวมีประโยชน์ เชื่อลุยต่อได้ ปัดจัดฉากหน้ากากขาวปล้นเซเว่น เย้ยเปิดหน้าชุมนุมก็พวกหน้าเดิม อ้าง พธม.-ปชป.คอยหนุน ใช้ทุกวิธีล้ม รบ. “ก่อแก้ว” ยุชาวนาบุก ปชป. ตัวต้นเหตุล้มจำนำข้าว
วันนี้ (25 มิ.ย.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงการเดินหน้าตรวจสอบโกดังข้าวในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลว่า ขณะนี้ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่บริษัทเซอร์เวเยอร์ เพื่อเตรียมการให้ลงพื้นที่พร้อมกันในวันดีเดย์ 29 มิ.ย. โดยที่ให้มีการกำหนดพื้นที่เป็นโซนและจัดกลุ่มรับผิดชอบ และหลังจากนั้นจะมีการประชุมเพื่อประกอบภารกิจกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในวันนี้ (25 มิ.ย.) ช่วงบ่ายก็จะมีการประชุมคณะทำงานอีกรอบ ส่วนช่วงเช้าที่ สตช.ก็จะมีการเชิญนายตำรวจระดับผู้บังคับการจังหวัด ทุกจังหวัดที่มีชาวนาเข้าร่วมโครงการมาประชุมเพื่อซักซ้อมความเข้าใจ โดยขณะนี้มีความพร้อมถึง 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว และคิดว่าหลังจากวันนี้ก็จะเป็นความพร้อมที่สามารถปฏิบัติการได้
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การทำงานตรวจสอบโกดังคลังสินค้าในครั้งนี้เป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากที่หน่วยงานของรัฐได้ตรวจสอบมาแล้วตลอดเวลาของการดำเนินการ ไม่ใช่ทำงานมา 2 ปีแล้วมาตรวจสอบ ทั้งนี้มีการตรวจสอบ และดำเนินคดีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2554 โดยการตรวจสอบครั้งนี้จะเป็นการปูพรมทั่วประเทศ และทำงานควบคู่ไปกับการบริหารโครงการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ได้มีการสำรวจเบื้องต้นถึงโรงสีที่มีปัญหาหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เราเอาข้อร้องเรียนจากเกษตรกร รวบรวมไว้แล้ว แต่ขอเก็บข้อมูลไว้เป็นการภายในก่อน นอกจากนี้ตนได้มอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ตรวจสอบบัญชีรายชื่อบริษัทที่อยู่ในบัญชีดำของ อ.ต.ก.และ อคส. ซึ่งมีทั้งหมด 99 ราย และจะได้ข้อสรุปบ่ายวันนี้ ซึ่งจะตรวจสอบทั้งบริษัทที่มีที่ตั้งเดียวกันกับบัญชีดำ และไปเปลี่ยนชื่อกรรมการ เปลี่ยนชื่อหุ้นส่วน และตรวจสอบทั้งรายชื่อหุ้นส่วนที่อาจจะเปลี่ยนที่ตั้งบริษัท แต่ยังเป็นกรรมการชุดเดิมกับบริษัทที่ถูกแบล็คลิสต์ โดยทั้งหมดนี้จะถูกจับตาเป็นพิเศษ
เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยจะมีการกดดันนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ให้ลาออก จากปัญหาโครงการรับจำนำข้าว นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ตนไม่ได้ยินกระแสข่าวนี้ ซึ่งน่าจะเป็นข่าวลือข่าวปล่อยที่มีเจตนาสร้างความสับสนในขณะที่รัฐบาลกำลังบริหารจัดการโครงการรับจำนำข้าวที่ถูกวิพากษ์ วิจารณ์อยู่ ส่วนตนก็เห็นว่านายบุญทรงยังคงทำงานอย่างเต็มที่ ยังไม่มีสัญญาณว่าจะลาออกหรือถูกกดดันจากผู้ใหญ่ในพรรคแต่อย่างใด ส่วนการจะปรับ ครม.นั้นก็อยู่ในดุลยพินิจของนายกฯ
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ที่โครงการรับจำนำข้าวทำให้รัฐบาลอยู่ในช่วงขาลง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า หลังจากรัฐบาลทำงานมาครึ่งเทอม การตรวจสอบการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายและผลงานนั้นเกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติ และรัฐบาลต้องรับฟัง ซึ่งต้องอยู่ที่รัฐบาลจะแสดงความชัดเจนและความโปร่งใสให้เห็น ซึ่งตนขอยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นประโยชน์แน่ๆ โดยไม่มีนโยบายของรัฐบาลชุดอื่น ที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้ากระเป๋าเกษตรกรโดยตรงมากเท่ารัฐบาลชุดนี้ทำ ส่วนเมื่อรัฐบาลได้อธิบายและปรับรูปแบบการทำงานให้ชัดเจนแล้ว เชื่อว่ารัฐบาลก็จะเดินไปข้างหน้าได้
นายณัฐวุฒิยังได้กล่าวถึงกรณีชายฉกรรจ์สวมหน้ากากขาวปล้นร้านสะดวกซื้อที่เขตดอนเมืองว่า ไม่ได้เป็นการสร้างสถานการณ์ของฝ่ายรัฐบาลหรือกลุ่มคนเสื้อแดงแต่อย่างใด เพราะไม่มีเหตุผลและไรประโยชน์ ไร้สาระที่รัฐบาลหรือคนเสื้อแดงจะไปทำเช่นนั้น ในขณะเดียวกันตนก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนในกลุ่มหน้ากากขาวที่ไปปล้นเซเว่นเพื่อประชาธิปไตย ตนมีข้อสังเกตว่าการเคลื่อนไหวในลักษณะปกปิดใบหน้าและตัวตน อาจจะเป็นช่องว่างให้กลุ่มมิจฉาชีพแทรกซึม ใช้สถานการณ์นี้ไปก่อเหตุอื่นได้ ดังนั้นอยากให้ประชาชนที่เคลื่อนไหวอยู่นึกถึงผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะโจรผู้ร้ายหาช่องทางที่จะสร้างปัญหาอยู่ และเมื่อมีรายแรกเกิดขึ้น ก็น่าเป็นห่วงว่าจะมีการกระทำในลักษณะเลียนแบบอีก
“จริงๆ มันไม่มีอะไรต้องปิดบัง การชุมนุมก็เปิดหน้าเปิดตากันไปเลย เพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนหน้าเดิม ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง และบ้านเมืองนี้ก็เห็นกันหมดแล้วใครมีความคิดอ่านและจุดยืนทางการเมืองอย่างไร” นายณัฐวุฒิกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมจะกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่ รมช.พาณิชย์กล่าวว่า ในเรื่องจำนวนผู้ชุมนุมตนค่อนข้างระมัดระวังที่จะพูดถึง เพราะไม่ต้องการให้เป็นการกระทบกระแทกแดกดันหรือกระทบกระทั่งกัน แต่เท่าที่ติดตามข้อมูลก็ไม่ได้ปรากฏการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ หรือขนาดที่รัฐบาลต้องวิตกกังวล เพราะข้อมูลที่ตนมี ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายในกรุงเทพฯ เครือข่ายต่างจังหวัด ก็เป็นการประสานงานกันของกลุ่มพันธมิตรและกองเชียร์พรรคประชาธิปัตย์ และก็ชัดเจนขึ้นทุกวันว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ มีการประชาสัมพันธ์ทางสถานีโทรทัศน์ของพรรค ส.ส.ของพรรคแสดงบทบาทชัดขึ้น พอถึงจุดหนึ่งก็ไม่มีอะไรปิดบังได้ และจะคลี่คลายออกมา ดังนั้นจำนวนของผู้ชุมนุมยังไม่น่าจับตามองเท่ากับพฤติการณ์ของคนที่อยู่เบื้องหลังและกำลังชักใยกันอยู่ เพราะคนกลุ่มนี้ไม่เลือกวิธีการล้มรัฐบาล หมายถึงรัฐประหารก็เอา เรียกร้องนายกรัฐมนตรีพระราชทานตามมาตรา 7 ก็มี หรือวิธีนอกระบบใดๆ พวกนี้ขานรับหมด นี่ตากห่างที่เป็นอันตรายที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย
ด้านนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีชาวนามาชุมนุมคัดค้านการลดราคาโครงการจำนำข้าวว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังและแก้ปัญหาให้ชาวนา แต่สิ่งที่ชาวนาบอกว่า อีก 5 วันจะกลับมาฟังคำตอบใหม่นั้น อยากบอกว่าอย่ามาที่ทำเนียบรัฐบาล ให้ไปที่พรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพื่อถามว่าเหตุใดจึงจงใจล้มโครงการจำนำข้าวอย่างจริงจังและปั่นตัวเลขแบบผิดๆ สร้างแรงกดดันให้พรรคเพื่อไทย และอยากให้ชาวนาไปบอกพรรคประชาธิปัตย์ด้วยว่า อยากได้โครงการจำนำข้าวหรือรับประกันราคา นอกจากนี้ ตัวเลขจากองค์การอาหารและเกษตร สหประชาชาติ (เอฟเอโอ) พบว่า ราคาข้าวในตลาดโลกก่อนปี 2551 ที่ยังไม่มีโครงการจำนำข้าวมีราคาต่ำแต่หลังจากมีโครงการจำข้าวในสมัยรัฐบาลสมัครแล้ว ทำให้ราคาข้าวในตลาดโลกถีบตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลจากโครงการดังกล่าว แต่ล่าสุดที่ราคาข้าวในตลาดโลกตกลงมา เนื่องจากผลผลิตข้าวรวมในตลาดโลกมีมากขึ้นถึง 25 ล้านตัน จึงมีสต๊อกข้าวเหลือทำให้รัฐบาลไม่สามารถดันราคาข้าวได้ตามที่หวัง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องถอยหนึ่งก้าว เพื่อทบทวนตัวเลขแต่ชาวนาก็ยังมีกำไรอยู่