xs
xsm
sm
md
lg

“เจ๊เพ็ญ” ยันไม่มีระบอบทักษิณ ชม “กกต.3 หนา” กล้าขวางระบอบอำมาตย์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 นายจักรภพ เพ็ญแข (แฟ้มภาพ)
“จักรภพ” ตีกินศาลฎีกายกฟ้องล้างมลทิน “กกต.3 หนา” ยกใจเด็ดกล้ายืนขวางพายุระบอบอำมาตย์ โยงเป็นเครื่องการันตียุคแม้วไม่ชั่วถึงขนาดคิดสร้าง “ระบอบทักษิณ” ถ้าใช้อำนาจเบ็ดเสร็จจริง คมช.ถูกปราบก่อนแน่ ขอบคุณเหตุการณ์ปี 49 ทำให้คนไทยและชาวโลกจำนวนมหาศาลตาสว่าง เรียกร้องประชาธิปไตยมาจนบัดนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair ถึงกรณี ศาลฎีกามีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้อง กกต.ชุด 3 หนา ว่า

“พูดง่ายๆ ก็คือ หลักการในความผิดที่เจื้อยแจ้วผ่านสื่อกันมาตลอด ทั้งความเป็นข้าราชการในพระองค์แต่ “ทรยศ” ด้วยการไปฝักใฝ่ใกล้ชิดกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ทั้งว่าจัดการเลือกตั้งผิดแบบ ในประเด็นว่าผู้ใช้สิทธิ์หันหน้าหรือหันหลังให้กับประตูทางเข้าคูหา หรือการฝืนจัดเลือกตั้งทั้งที่ตัวไม่มีอำนาจ ฯลฯ กลายเป็นไม่ผิดไปหมดแล้ว ดูเผินๆ ก็ว่าดี จะได้หมดเคราะห์หมดโศกกัน โดยเฉพาะกับคู่สมรสและลูกหลานญาติเครือที่ต้องพลอยรับทุกข์รับร้อนไปด้วย แต่อยากถามว่าคนที่สั่งทำเขาถึงขนาดนี้ ยังเหลือใจที่เป็นมนุษย์คิดถึงชีวิตที่ภินท์พังชนิดแก้ไขกลับคืนไม่ได้ของท่านเหล่านี้บ้างหรือไม่ ท่านหนึ่งต้องเสียชีวิตไป ท่านหนึ่งก็ป่วยมาก อีกท่านก็เลิกคบค้าสมาคมกับคนทั้งหลายทั้งที่ใครๆ ก็ส่งเทียบเชิญเพราะรู้ดีว่าท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะความเจ็บปวดในใจและความผิดหวังต่อคนบางคนที่ท่านเคยเคารพนับถือ มันคงมากล้นเกินกว่าจะทำใจได้

หลายท่านคงยังจำได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในปี พ.ศ. 2549 อันเป็นปีแห่งเคราะห์กรรมของ อดีต กตต.ทั้งสาม และเป็นปีอัปยศแห่งการใช้อำนาจแทนธรรมที่เคยคุยนักหนาว่าเป็นมูลบทของทุกสิ่งที่เรียกว่ารัฐไทย ต้นปีนั้นเองที่นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้รับ “คำสั่ง” เปรี้ยงลงมาว่า “เราไม่เอานะระบอบทักษิณ” หลังจากที่วลี ระบอบทักษิณ ถูกสร้างขึ้นมาลอยๆ เพื่อรองรับข้อกล่าวหาชนิดเล็กบ้างใหญ่บ้าง ที่เหล่ามิจฉาชีพในระบอบเก่าช่วยกันคิดค้นขึ้นมาต่อกันให้เป็นผืนเดียว ความจริงข้อบกพร่องทั้งหลายในยุคนั้นก็มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่การใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาสูงสุดของเจตนาสร้าง “ระบอบ” ใหม่ขึ้นมาแข่ง เพราะถ้าเบ็ดเสร็จไปแล้วจะเกิดการ “ถอดปลั๊ก” รัฐบาลครั้งแล้วครั้งเล่าได้อย่างไร คนทั้งหลายที่มาทำตุลาการภิวัฒน์ ชุมนุมรวมพลหลายครั้ง และทำรัฐประหารในที่สุดนั้น ถ้ารัฐบาลยุคนั้น “เบ็ดเสร็จ” คล้ายกับระบอบของเขาในสมัย 6 ตุลาคม 2519 หรือในช่วงที่ปราบปรามคอมมิวนิสต์จริง ก็คงไม่ได้ทำชั่วอย่างนั้นเสียแล้วเพราะถูกปราบก่อนแน่ ประเด็นคือรัฐบาลยุคนั้นมีข้อบกพร่อง แต่มิใช่ข้อบกพร่องขนาดคิดสร้างระบอบ คำว่า “ระบอบทักษิณ” ที่เหาะขึ้นไปอยู่บนริมฝีปากของคนระดับสูงที่ควรมีสติและความสุขุมคัมภีรภาพขนาดนั้น จึงเป็นการประกาศว่า พ.ศ. 2549 คงเริ่มต้นไม่ดีแน่ ซึ่งสิ่งทั้งหลายที่ไหลตามมาก็ล้วนแล้วแต่ปฏิกูลการเมืองแบบเก่าและซากเดนศักดินาไทยทั้งนั้น เราก็ได้เห็นกันจนประจักษ์แก่สายตาแล้ว ต้องยอมรับว่า พ.ศ. 2549 คือปี “ตาสว่าง” ของชาวไทยและชาวโลกเป็นจำนวนมหาศาล และเป็นต้นทุนเพิ่มเติมให้กับฝ่ายประชาธิปไตยมาจนบัดนี้

จากคำพูดใส่หน้าว่า “เราไม่เอานะระบอบทักษิณ” ก็ตามมาด้วยความเครียดอย่างยิ่งของคนเป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพิ่งได้รับเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ชนิดจัดตั้งรัฐบาลด้วยพรรคของตนพรรคเดียวก็ได้ แสดงว่าประชาชนส่วนใหญ่เอาด้วย และเอามากขึ้นกว่า พ.ศ. 2544 ด้วยซ้ำ แต่มาได้ยินคำพูดของเสียงข้างน้อยที่มีอำนาจมาก ก็เกิดความว้าวุ่นใจ ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ ให้ประชาชนตัดสินอีกครั้งว่าบ้านเมืองควรเดินไปทางไหน การตัดสินใจนั้นเองที่ทำให้เกิดภาวะ “นรกแตก” ขึ้นกลางเมือง เจตนารมณ์ของผู้เสนอยุบสภาคือการรวมประชาชนเจ้าของประเทศเข้ามาร่วมตัดสินใจชะตากรรมของเขาด้วย แต่ฝ่ายที่ด่าใส่หน้าเรื่อง “ระบอบทักษิณ” กลับมองว่าเป็นการท้าทายอำนาจสูงสุดของตนอย่างรุนแรงที่สุด จึงยอมไม่ได้

เมื่อยอมไม่ได้การเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดของ พลตำรวจเอกวาสนา เพิ่มลาภ กำหนดขึ้นในวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ก็ต้องเกิดขึ้นไม่ได้ด้วย นี่ล่ะครับ ความชั่วร้ายต่างๆ จึงได้ไหลตามมา ทั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะออกมาพูดชัดเจนว่าต้องการเรื่องนายกรัฐมนตรีมาตรา 7 ซึ่งโดยเทคนิคกฎหมายก็คือสิ่งที่ภาษาปากเรียกว่านายกรัฐมนตรีพระราชทานนั่นเอง และตามมาด้วยคำประกาศว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ลงเลือกตั้ง การประกาศให้การเลือกตั้งทั้งหมดเป็นโมฆะและดำเนินการเอาผิดต่างๆ กับ กกต.สามท่าน ถึงขั้นเอาตัวไปเข้าคุกตะรางเพื่อให้พ้นเสียจากตำแหน่ง ทั้งหมดนี้เพียงเพราะ กกต.สามท่านยืนขวางพายุมรสุมขนาดใหญ่ที่กำลังถล่มทำลายรัฐบาลของประชาชนอยู่เท่านั้นเอง

การพ้นผิดในครั้งนี้จึงไม่ใช่บุญคุณ ไม่ใช่ความดี และไม่ช่วยลดกรรมของระบอบอำมาตย์ศักดินาได้เลย เพราะกรรมการการเลือกตั้งทั้งสามไม่ได้มีความผิดมาตั้งแต่ต้น ตรงข้ามเสียอีก เคราะห์กรรมของท่านทั้งสามกลับเป็นไฟสว่างที่ฉายให้กับประชาชนได้เห็นกลไกการทำงานของระบอบที่ชั่วร้ายว่าเขาทำงานกันอย่างไรและใครเป็นสายงานต่างระดับภายใต้การบังคับบัญชาของใคร ซึ่งเป็นความรู้อันจำเป็นของขบวนประชาธิปไตยในระยะต่อไปจากนี้”


กำลังโหลดความคิดเห็น