ASTVผู้จัดการ – “จักรภพ เพ็ญแข” เขียนข้อความลงเฟซบุ๊กหนุนเสื้อแดงไล่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่กลับเผยไต๋เป้าหมายสำคัญกว่าคือ การเตรียมพร้อมให้ศาลฎีกากลายเป็นเครื่องมือรักษาระบอบประชาธิปไตยในแบบของคนเสื้อแดง
จากกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงในนามกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป. ได้ชุมนุมหน้าอาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ที่ตั้งของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขับไล่ตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ภายใต้การรู้เห็นเป็นใจของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสมาชิกรัฐสภาบางส่วน
วันนี้ (30 เม.ย.) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำคนเสื้อแดง อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ผู้ที่อยู่หลังเหตุการณ์เสื้อแดงชุมนุมเผาเมืองในปี 2552 ได้หลบหนีหมายจับและคดีความออกนอกประเทศจนถึงปัจจุบัน ได้เขียนข้อความลงในแฟนเพจเฟซบุ๊ก จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair กล่าวถึงการชุมนุมขับไล่ตุลาการรัฐธรรมนูญว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุดของคนเสื้อแดงนับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 เนื่องจากปัจจุบันคนเสื้อแดงมองว่า ศาลเป็นเครื่องมือของระบอบอำนาจเก่าเท่านั้น ซึ่งตรงข้ามกับกลุ่มคนเสื้อเหลืองที่มองว่าสถาบันตุลาการเป็นเครื่องมือชิ้นท้ายๆ ในการคานอำนาจกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
พร้อมกันนั้นนายจักรภพยังกล่าวด้วยว่า ตุลาการรัฐธรรมนูญไม่ใช่ศาล และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันหลายคนก็ไม่เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อน
“ลองถามผู้พิพากษาชาวไทยคนใดในศาลไหนก็ได้ จะได้รับคำตอบว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมิใช่ศาล จึงใช้คำว่า ตุลาการ แทน ผู้พิพากษา มาตั้งแต่ต้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนขณะนี้ก็ไม่เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อนเลยในชีวิต นั่นคืออดีตเอกอัครราชทูตเฉลิมพล เอกอุรุ และอดีตเอกอัครราชทูตสุพจน์ ไข่มุกด์ … เมื่อไม่ใช่ศาล ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่จะกล่าวอ้างกันแบบขู่เข็ญได้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็คือคนเดินดินระดับเดียวกับคนไทยทั่วไป ที่คนเขาจะเชื่อก็ได้หรือไม่เชื่อก็ได้ ที่สำคัญคือ ไม่มีสิทธิและความชอบธรรมทางการเมืองที่จะทำลายหรือลบล้างองค์กรทางการเมืองที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาอย่างถูกต้อง ต้องไม่มีอำนาจที่นำไปสู่การยุบพรรคการเมือง ล้มล้างรัฐบาล หรือถอดถอนบุคคลสาธารณะที่ถูกถ่วงดุลและตรวจสอบอยู่แล้วในระบบอื่นๆ อย่างที่เคยมีพฤติกรรมมา” อดีตแกนนำคนเสื้อแดงผู้มีคดีติดตัวหลายคดี รวมถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกล่าว
นอกจากนี้นายจักรภพยังกล่าวด้วยว่า ตนขอให้กำลังใจต่อคนเสื้อแดงที่กำลังขับไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน และแนะนำให้ใช้การปราศรัยให้ความรู้ หลีกเลี่ยงความรุนแรง เพื่อที่ผู้ที่ได้รับฟังการปราศรัยจะได้เปลี่ยนใจมาสนับสนุนคนเสื้อแดง
ในตอนท้ายอดีตแกนนำคนเสื้อแดงยังกล่าวด้วยว่า หากศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสภาพไปตามเป้าหมายแล้ว ผู้ที่จะช่วยพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยก็คือ ปวงชนชาวไทยและศาลฎีกา โดยแม้ว่าที่ผ่านมาศาลฎีกาจะตกเป็นเครื่องมือของ “เขา” มานาน แต่ก็นายจักรภพก็อ้างว่าเริ่มมีผู้พิพากษาที่กล้าแข็งข้อบ้างแล้ว คนเสื้อแดงจึงควรเสริมสรรพกำลังให้กับศาลฎีกา เพื่อเตรียมพร้อมให้ศาลฎีกากลายเป็นศาลฎีกาแห่งอนาคตที่จะช่วยประกันระบอบประชาธิปไตยในแบบคนเสื้อแดงให้มีความมั่นคง
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2556 จากกรณีที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 10 ปี นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ (Voice of Taksin) และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาเพื่อประชาธิปไตย คดีหมิ่นเบื้องสูง กรณีลงบทความของผู้ที่ใช้นามปากกา “จิตร พลจันทร์” ซึ่งมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นและแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยระหว่างการสู้คดีนายสมยศได้ให้การว่าผู้ที่นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ แท้จริงแล้วก็คือนายจักรภพ เพ็ญแขนั่นเอง
สำหรับข้อเขียนล่าสุดเกี่ยวกับการสนับสนุนให้คนเสื้อแดงขับไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีรายละเอียดดังนี้
*********************
จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair
“ความขัดแย้งเกี่ยวกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขณะนี้ เป็นปัญหาที่แก้ยากที่สุดเรื่องหนึ่งของสังคมไทยปัจจุบัน มองจากมุมเสื้อแดง ก็ไม่เห็นศาลใดๆ เลย นอกจากเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งของระบอบอำนาจเก่าในการทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยอ้างความศักดิ์สิทธิ์ของความเป็นศาล มองมุมเสื้อเหลืองก็เห็นว่าเครื่องมือชิ้นท้ายๆ ของตนในการคานอำนาจกับฝ่ายอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหาร กำลังถูกท้าทายและทำลายโดยมวลชนฝ่ายแดง และอาจโดยผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ แต่ถ้ามองอย่างจนถึงที่สุดแล้ว นับเป็นความขัดแย้งที่ควรค่าที่สุดครั้งหนึ่งนับแต่วิกฤติการเมืองหลัง พ.ศ. 2549 เป็นต้นมาเพราะทำให้คนไทยทุกสีถามคำถามพื้นฐานกับตนเองว่าท้ายที่สุดแล้วตนต้องการระบอบอะไรกันแน่
“ลองถามผู้พิพากษาชาวไทยคนใดในศาลไหนก็ได้ จะได้รับคำตอบว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมิใช่ศาล จึงใช้คำว่า ตุลาการ แทน ผู้พิพากษา มาตั้งแต่ต้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนขณะนี้ก็ไม่เคยเป็นผู้พิพากษามาก่อนเลยในชีวิต นั่นคืออดีตเอกอัครราชทูตเฉลิมพล เอกอุรุและอดีตเอกอัครราชทูตสุพจน์ ไข่มุกด์ มีแต่ในห้วงหลังการยึดอำนาจรัฐประหาร ซึ่งคนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นว่าเป็นความผิดสถานหนักทางการเมืองเท่านั้น ที่มีคำสั่งของคณะรัฐประหารให้ใช้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมาทำหน้าที่เป็น “ศาลรัฐธรรมนูญ” ชั่วคราว แต่แล้วกลับสร้างเงื่อนไขทางกฎหมายระดับต่างๆ ให้ดูประหนึ่งว่าเป็นศาลกับเขาด้วย อาจเพราะรู้อยู่ในใจดีว่าแต่ละคนรับภารกิจอะไรจากอำนาจนอกระบบมาทำ ทำแล้วจะสร้างความโกรธแค้นชิงชังขนาดไหนในหมู่ประชาชน จึงเร่งสร้างเครื่องมือทางกฎหมายป้องกันตนเองราวกับเป็นศาลจริงๆ
“เมื่อไม่ใช่ศาล ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ที่จะกล่าวอ้างกันแบบขู่เข็ญได้ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็คือคนเดินดินระดับเดียวกับคนไทยทั่วไป ที่คนเขาจะเชื่อก็ได้หรือไม่เชื่อก็ได้ ที่สำคัญคือ ไม่มีสิทธิและความชอบธรรมทางการเมืองที่จะทำลายหรือลบล้างองค์กรทางการเมืองที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาอย่างถูกต้อง ต้องไม่มีอำนาจที่นำไปสู่การยุบพรรคการเมือง ล้มล้างรัฐบาล หรือถอดถอนบุคคลสาธารณะที่ถูกถ่วงดุลและตรวจสอบอยู่แล้วในระบบอื่นๆ อย่างที่เคยมีพฤติกรรมมา ยิ่งหลุดปากยอมรับถึงความฉ้อฉลที่เกิดขึ้นภายในกระบวนการของตน อย่างครั้งที่คุณวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ หลุดออกมาในกรณีถอดถอนคุณสมัคร สุนทรเวช จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะรับค่าตอบแทนจากรายการโทรทัศน์ ยิ่งมองไม่เห็นคุณธรรมใดๆ ที่จะกล่าวอ้างได้เลยว่าทำไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเหตุใดมวลชนจำนวนมากจึงโกรธแค้นไม่พอใจและเกิดหมดความเกรงใจต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาอย่างฉับพลัน จนกระทั่งเกิดมีวันนี้ขึ้น
“ผมขอให้กำลังใจต่อมวลชนที่กำลังเกิดความไม่พอใจดังกล่าวมา ณ ที่นี้ ท่านมีเสรีภาพที่จะแสดงออกในเรื่องนี้เต็มที่ เพียงเลือกวิธีการให้เหมาะควร อย่าหลงกลฝ่ายตรงข้ามที่อยากให้เราใช้ความรุนแรงและเตรียมจะระบายสีพวกท่านให้เป็นฝูงชนบ้าคลั่งเพื่อหาเหตุเข้าปราบปราม แบบที่มวลชนแดงราชประสงค์เคยถูกเข่นฆ่าตามความประสงค์ของผู้สั่งฆ่ามาแล้วเมื่อปี พ.ศ. 2553 ควรปราศรัยให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนผู้เดินทางไปร่วมแสดงสิทธิที่นั่น หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเองก็ให้ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายในการให้ข้อมูลด้วย บางท่านทำงานอยู่ในนั้นเพราะเกิดได้งานในนั้นมาก่อน ไม่ใช่ว่ามีอุดมการณ์ร่วมไปกับผู้บังคับบัญชาของเขา เราอย่าถือเขาเป็นศัตรูใดๆ ควรปราศรัยเผื่อแผ่ไปถึงเขาด้วย เหมือนที่เราได้แนวร่วมเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายข่าวกรองที่ถูกส่งมาเป็นฝ่ายตรงข้ามเราในอดีตนั่นเอง ทุกคนต่างมีสมองและหัวใจของเขาเอง ถ้าเขาได้ยินได้ฟังสิ่งที่เป็นความถูกต้องชอบธรรม เขาก็เปลี่ยนใจมาช่วยสนับสนุนเราได้ครับ
“หากมีใครถามขึ้นมาว่า หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสภาพไปในวันหนึ่งใครเล่าจะทำหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ท่านตอบเขาได้เลยว่าผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญมีอยู่แล้ว 2 องค์กรคือปวงชนชาวไทยและศาลฎีกาของประเทศ ปวงชนชาวไทยออกมาแสดงสิทธิได้ในฐานะมวลชนตามวาระและโอกาสอันควร และศาลฎีกาเป็นผู้ประทับตราในทางกฎหมายและความเป็นทางการ ปวงชนนั้นเราไม่สงสัย แต่เราจะเชื่อศาลฎีกาได้หรือ อดีตที่ผ่านมาเราก็เคยรู้รสแห่งความไม่ยุติธรรมมาแล้วบ้างมิใช่หรือ หลายท่านมีคำถามเช่นนี้อยู่ในใจ เราคงตอบได้ว่า ก็เพราะ “เขา” ใช้ศาลฎีกาอย่างผิดๆ มานานหลายปี จนขณะนี้เริ่มมีผู้พิพากษาที่มีหิริโอตัปปะแข็งข้อขึ้นหรือใช้วิธี “ลางาน” เพื่อหลบสภาพความเป็นผู้พายเรือให้โจรนั่งมากขึ้นเรื่อยๆ บวกการทำงานในระบบคณะกรรมการตุลาการและการพิพากษาเป็นองค์คณะที่ทำให้การฉ้อฉลกระทำได้ยากขึ้น เราจึงควรหวนกลับมาเสริมสรรพกำลังให้กับศาลฎีกาอีกครั้ง เพื่อให้เตรียมเป็นศาลฎีกาแห่งอนาคตที่จะประกันระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมั่นคงไม่แพ้ใครอื่น วันนี้อาจจะยังไม่ดีถึงที่สุด แต่ถ้าเริ่มในวันนี้อาจจะวิวัฒนาการขึ้นมาได้ทันการณ์.”