ASTVผู้จัดการ - “จักรภพ” เขียนถึง “ช่อง 3-มาลีนนท์” ลั่นทำธุรกิจสื่อจากสัมปทานเก่ง แต่เดินผิดทาง เพราะรับใช้ระบอบอำมาตย์ศักดินา-ทำลายการพัฒนาประชาธิปไตย ลั่นต้อง “ตาสว่าง” เลิกพึ่งพิงกับระบบอุปถัมภ์แบบเก่า และหันมาคุยกับคนของรัฐบาลให้มากขึ้น ขู่ถ้ายังไม่เลือกข้าง อาจถูกรถชนตายกลางถนน ฝังใจ “สรยุทธ” เคยถามกลางรายการเมื่อปี 51 ว่า “เป็นเกย์หรือเปล่า?”
ช่วงเช้าวันนี้ (23 เม.ย.) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำคนเสื้อแดง อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ผู้ที่อยู่หลังเหตุการณ์เสื้อแดงชุมนุมเผาเมืองในปี 2552 ได้หลบหนีหมายจับและคดีความออกนอกประเทศ จนถึงปัจจุบัน ได้เขียนข้อความลงในแฟนเพจเฟซบุ๊ก จักรภพ เพ็ญแข - Jakrapob Penkair กล่าวถึงสื่อมวลชนที่นายจักรภพอ้างว่าเป็น สื่อมวลชนที่รับใช้ระบอบอำมาตย์ศักดินา และมีส่วนทำลายการพัฒนาประชาธิปไตย โดยมีการพาดพิงถึงช่อง 3 และบุคคลในตระกูลมาลีนนท์ ซึ่งเป็นผู้บริหารช่อง 3
“วันนี้อยากเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวผมกับช่อง 3 ก่อนสักเล็กน้อย เพราะเกรงว่าท่านที่ไม่ทราบจะนึกไปว่าผมจงเกลียดจงชังอะไรช่อง 3 ถึงได้มาแก้ผ้าเขาดูทีละชิ้นอย่างนี้ เมื่ออ่านแล้วท่านจะทราบเลยว่าเหตุผลส่วนตัวระหว่างกันไม่มี มีแต่เหตุผลทางอุดมการณ์ที่ผมคิดว่าผู้บริหารช่อง 3 ปัจจุบันตัดสินใจผิดที่ไปร่วมงานกับฝ่ายทำลายการพัฒนาประชาธิปไตย เพราะนึกว่าจะเอื้อธุรกิจอันมหาศาลในปัจจุบันได้ดี หารู้ไม่ว่าต่อไปอาจจะลำบากหนัก …” นายจักรภพ กล่าว พร้อมทั้งกล่าวถึงผู้บริหารของช่อง 3 ซึ่งเป็นคนตระกูลมาลีนนท์ ในรุ่นที่ 2 ว่าเป็นบริษัทครอบครัวที่สามารถนำสัมปทานของรัฐไปต่อยอดได้จนกลายเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล จนสามารถแซงช่อง 7 พลิกขึ้นมาสู่ความเป็นผู้ครอบงำความคิดและวิถีชีวิตของคนไทยในเมืองได้ อีกทั้งเวลานี้กำลังรุกคืบลงไปตลาดล่าง ทั้งในงานบันเทิงและงานข่าวอย่างได้ผลอีกด้วย
จากนั้นนายจักรภพได้เล่าถึงอดีตที่ตนเองได้เคยร่วมงานกับช่อง 3 ในรายการ “เหตุบ้าน-การเมือง” ซึ่งทำให้มีโอกาสได้รู้จักสื่อมวลชนส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ต่อมานายจักรภพได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า สิ่งที่ช่อง 3 ทำอยู่ในขณะนี้เป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เนื่องจากยังพยายามพึ่งพิงกับระบบอุปถัมภ์แบบเก่า ซึ่งนายจักรภพระบุว่า คืออุปสรรคสำคัญที่สุดของการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย ในทางตรงกันข้ามผู้บริหารช่อง 3 กลับยังพินอบพิเทากับคนในระบบอุปถัมภ์แบบเก่า แต่ขาดการพูดคุยกับคนของรัฐบาล ทั้งๆ ที่สังคมไทยกำลังเดินสู่ทางสองแพร่ง และการเปลี่ยนแปลงใหญ่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว
แต่ที่ต้องวิจารณ์ช่อง 3 อยู่ในขณะนี้ เพราะช่อง 3 ทำผิด และเป็นการทำผิดทางสังคมที่ใหญ่หลวง จนผมไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมขอบอกช่อง 3 ผ่านทางนี้เลยว่าสังคมไทยกำลังจะเดินสู่ทางสองแพร่งในไม่ช้านี้ หากช่อง 3 และผู้รับสัมปทานรัฐอื่นๆ ทั้งหลายไม่หัด “ตาสว่าง” ตั้งแต่นาทีนี้ เป็นต้นไป โอกาสที่ตัวเองก็จะไปค้างอยู่ระหว่างทางสองแพร่งจะมีมาก ขอพูดอย่างคนที่รักกันอยู่ว่าคนที่ถูกรถชนตายนั้น ส่วนมากจะถูกชนกลางถนน ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่บนข้างใดข้างหนึ่ง พวกไม่เลือกข้างยืนเก้ๆ กังๆ กันอยู่กลางถนนนั้นโปรดระวังรักษาตัวกันให้ดีเถิดครับ
ในตอนท้าย นายจักรภพ ยังกล่าวถึง นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดังของช่อง 3 ด้วยว่า เมื่อตั้งตนได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อปี พ.ศ.2551 ซึ่งมีหน้าที่ดูแลสื่อของรัฐ ทั้งสื่อโดยตรงและสื่อสัมปทาน หลังจากถวายสัตย์ฯ ได้ไม่นาน ช่อง 3 โดยนายสรยุทธได้เชิญตนไปออกรายการ ทั้งยังมีการถามตนด้วยว่าตนเป็นพวกรักร่วมเพศหรือไม่?
“วันนั้นคือวันที่คุณสรยุทธ หลอกล่อให้ผมคุยเรื่องนโยบายสื่อภาครัฐอยู่เกือบจบรายการ แล้วตวัดหางใส่ผมด้วยคำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า ‘คุณจักรภพเป็นเกย์หรือเปล่า?’ ผมจำไม่ได้ว่าตอบออกไปอย่างไร แต่จำได้ว่าคิดจะถามกลับให้มันครื้นเครงไปว่า ถ้าผมเป็น คุณสรยุทธ์จะมานอนกับผมหรือ” นายจักรภพระบุ
สำหรับข้อความฉบับเต็มที่นายจักรภพ เขียนลงในแฟนเพจเฟซบุ๊กมีรายละเอียดดังนี้
*****************
May 23, 2013
“ความจริงวันนี้ผมตั้งใจจะเขียนเรื่องอื่น แต่อ่านกระทู้ของท่านทั้งหลายแล้วก็รู้ว่าท่านสนใจเรื่องของช่อง 3 กันมากและอยากรู้เพิ่มอีก ผมจึงต้องขอฉลองศรัทธาท่านอีกสักครั้งในวันนี้ สื่อมวลชนที่รับใช้ระบอบอำมาตย์ศักดินาในเมืองไทยนั้นมีเบื้องหลังมากมายชนิดเล่าต่อเนื่องได้เป็นปี และไม่ได้มีแต่ช่อง 3 แต่เล่ายาวทีเดียวก็คงน่าเบื่อ และทำให้มองสังคมไม่ครบมิติด้วย เอาเป็นว่าเรามาเล่าสู่กันฟังแบบสลับกับเรื่องอื่นๆ ไปตามสถานการณ์นะครับ
วันนี้อยากเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวผมกับช่อง 3 ก่อนสักเล็กน้อย เพราะเกรงว่าท่านที่ไม่ทราบจะนึกไปว่าผมจงเกลียดจงชังอะไรช่อง 3 ถึงได้มาแก้ผ้าเขาดูทีละชิ้นอย่างนี้ เมื่ออ่านแล้วท่านจะทราบเลยว่าเหตุผลส่วนตัวระหว่างกันไม่มี มีแต่เหตุผลทางอุดมการณ์ที่ผมคิดว่าผู้บริหารช่อง 3 ปัจจุบันตัดสินใจผิดที่ไปร่วมงานกับฝ่ายทำลายการพัฒนาประชาธิปไตย เพราะนึกว่าจะเอื้อธุรกิจอันมหาศาลในปัจจุบันได้ดี หารู้ไม่ว่าต่อไปอาจจะลำบากหนัก โดยความเป็นมืออาชีพแล้ว ผมยอมรับว่าช่อง 3 เป็นธุรกิจที่รับสัมปทานจากรัฐและไปต่อยอดได้อย่างน่าทึ่งที่สุดเจ้าหนึ่งของเมืองไทย การพัฒนาธุรกิจของ “มาลีนนท์” รุ่นสอง โดยเฉพาะภายใต้คุณประวิทย์ฯ และหลังจากที่คุณประชาฯ เบนสู่การเมือง เพราะเป็นการก้าวกระโดดคู่ไปกับนวัตกรรมใหม่ทั้งด้าน software และ hardware อย่างกลมกลืน สามารถพลิกขึ้นมาสู่ความเป็นผู้ครอบงำความคิดและวิถีชีวิตของคนไทยในเมืองได้ ตอนนี้ดูกำลังคืบลงไปตลาดล่างทั้งในงานบันเทิงและงานข่าวอย่างได้ผลอีก อย่างน้อยก็เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากตลาดที่เดิมเคยถูกช่อง 7 ผูกขาดได้มาก นักศึกษาด้านสื่อกับการพัฒนาสังคมที่ปรึกษาผมเข้ามาหลายราย น่าจะจับกลยุทธ์ที่ทั้งช่องสองนี้นำมาแข่งขันกัน เจาะลงลงไปที่ตัว คุณประวิทย์ มาลีนนท์ และ คุณกฤษณ์รัตนรักษ์ คนเบื้องหลังที่มีอำนาจที่สุดของช่อง 7 ไปเลย ศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้และนำมาอธิบายความได้เลยว่า ช่อง 7 เผลอกระพริบตาอย่างไรให้ช่อง 3 เมื่อไหร่และอย่างไร จนอันดับเปลี่ยนแปลงไปจนถึงทุกวันนี้
ผมทำงานโทรทัศน์มาระยะหนึ่งแล้ว จึงได้รับชวนให้ไปเป็นผู้ดำเนินรายการในรายการใหม่ของช่อง 3 ซึ่งในขณะนั้นยังอยู่ที่อาคารวานิช รายการนั้นมีชื่อว่า “เหตุบ้าน-การเมือง” และคนช่อง 3 ที่ทำงานกับผมมากที่สุดคือ คุณสำราญ ฉัตรโท การทำงานต่างๆ เป็นไปด้วยดี รายการไม่ได้โด่งดังทะลุฟ้าแต่ไม่เลวร้าย อาจเป็นเพราะอยู่ตอนดึกมากคือราวห้าทุ่มของวันอาทิตย์ บางครั้งโดนเบียดไปถึงห้าทุ่มครึ่ง ทำให้คนดูหายไปมาก ผมสนุกกับการทำงานกับทีมช่อง 3 มาก เพราะเป็นมืออาชีพ รู้จิตวิทยาคนทั้งหน้ากล้องและหลังกล้องเป็นอย่างดี งานนี้ทำให้ผมได้รู้จักกับผู้บริหารช่อง 3 อีกหลายคน รวมทั้งคนหน้ากล้องใหม่ๆ อย่าง คุณจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ซึ่งต่อมาสังกัดสีที่ต่างกัน ผมมารู้ภายหลังว่าฝ่ายข่าวช่อง 3 ในขณะนั้นกำลังทำ “ศึก” ภายในกับฝ่ายรายการ จนคนนอกเรียกล้อๆ ว่าเป็นศึกสายเลือด เพราะต่างฝ่ายต่างเป็นลูกน้องของพี่น้องมาลีนนท์คนละคนกัน บางคนในฝ่ายข่าวขณะนั้นจึงคิดไกลไปว่ารายการ “เหตุบ้าน-การเมือง” จะเป็นตัวพลิกเกมภายในบริษัทครอบครัวนี้ได้ ผมก็ยินดีปรีดาไปด้วย เพราะพื้นที่ข่าวที่เพิ่มขึ้นก็น่าจะหมายถึงอนาคตที่ดีขึ้นของตัวผมเองด้วย
แต่แล้วผมเองก็เป็นตัวปัญหา ความจริงเป็นปัญหาเล็กๆ ที่เราคิดมุทะลุไปอย่างเด็กแท้ๆ เรื่องแรกคือผมวิจารณ์การใช้เพลงประกอบในช่วงนำเข้ารายการ “เหตุบ้าน-การเมือง” ว่าไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง เนื่องจากไปเอาเพลงประกอบภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง “The Rock” มาใช้โดยไม่ขออนุญาตเขา ผมวิจารณ์อยู่ภายในหลายครั้ง ไม่รู้เลยว่าไปขัดใจใครเข้าขนาดไหน หรือเขาจะอ้างเรื่องนี้มาเล่นงานอะไรกับเราก็ไม่รู้ สุดท้ายผมถูกปลดออกจากรายการอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่ก็ยังไม่ได้ออกจาก “สังกัด” ช่อง 3 เพราะคุณสำราญฯ ยังให้ผมไปออกรายการข่าวเที่ยงของช่อง 3 เป็นระยะๆ เพื่อวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศ มาอีกวันหนึ่งที่ผมได้รับโจทย์ให้เตรียมบทวิเคราะห์ความยาว 20 นาที แต่เอาเข้าจริงถูกเบียดจนเหลือ 3 นาที ผมจำได้ว่าโกรธมาก พอรายการจบก็ขับรถออกจากสถานีไปเลยทีเดียว ระหว่างขับรถอยู่นั้นคุณสำราญฯ โทรเข้ามาปลอบใจ แต่ผมไม่ยอมเย็นด้วย ยังรุ่มร้อนจนถึงขั้นพูดออกไปทันทีว่า “ผมคงทำงานกับช่อง 3 ไม่ได้อีก” เมื่อได้ยินคำนั้นคุณสำราญฯ ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างเรียบๆ ว่า “ขอบคุณครับ”
วลีนั้นเองที่ปิดฉากระหว่างตัวผมกับช่อง 3 มาหลายปี จนอีกหลายปีต่อมา คุณประวิทย์ฯ จึงเชิญผมไปคุยด้วยสองครั้ง แต่ผมตัดสินใจไม่รับข้อเสนอในการทำรายการเช้ามากในตอนนั้น ผมยังจำได้ว่าคุณประวิทย์ฯ เดินลงมาส่งผมถึงที่จอดรถข้างล่าง ทั้งที่ตอนนั้นผมไม่ได้มีฐานะอะไรนอกจากสื่อมวลชนคนหนึ่งที่อาจจะกลับมาเป็นลูกจ้างช่อง 3 หรือไม่เท่านั้น ทำให้ผมเรียนรู้ว่า คนใหญ่ๆ ที่ประสบความสำเร็จเขาแสดงความนอบน้อมถ่อมตนอย่างไร เรื่องนี้เด็กรุ่นหลังอย่างผมเรียนรู้จากคนรุ่นคุณประวิทย์ฯ ได้มาก
เล่ามาเสียยาวทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกเพียงว่า คนช่อง 3 เองล้วนมีน้ำใจกับผมเรื่อยมาเป็นการส่วนตัว ให้เกียรติผม ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายเข้าไปหาเพื่อรับความช่วยเหลือด้วยซ้ำ โดยส่วนตัวผมจึงไม่มีสิ่งใดค้างในใจกับช่อง 3 เลย ผมเสียอีกที่ต้องสารภาพว่า ทำอะไรมุทะลุไปเพราะความเป็นเด็กและยังรู้สึกเสียใจมาจนถึงบัดนี้ แต่ที่ต้องวิจารณ์ช่อง 3 อยู่ในขณะนี้เพราะช่อง 3 ทำผิด และเป็นการทำผิดทางสังคมที่ใหญ่หลวงจนผมไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมขอบอกช่อง 3 ผ่านทางนี้เลยว่าสังคมไทยกำลังจะเดินสู่ทางสองแพร่งในไม่ช้านี้ หากช่อง 3 และผู้รับสัมปทานรัฐอื่นๆ ทั้งหลายไม่หัด “ตาสว่าง” ตั้งแต่นาทีนี้ เป็นต้นไป โอกาสที่ตัวเองก็จะไปค้างอยู่ระหว่างทางสองแพร่งจะมีมาก ขอพูดอย่างคนที่รักกันอยู่ว่าคนที่ถูกรถชนตายนั้น ส่วนมากจะถูกชนกลางถนน ไม่ใช่คนที่ยืนอยู่บนข้างใดข้างหนึ่ง พวกไม่เลือกข้างยืนเก้ๆ กังๆ กันอยู่กลางถนนนั้นโปรดระวังรักษาตัวกันให้ดีเถิดครับ
การพัฒนาและเสริมสร้างแนวคิดใหม่อย่างปรัชญาประชาธิปไตยนั้น ต้องอาศัยความช่วยเหลือร่วมมือจากผู้เป็นสื่อมาก เพราะเราต้องปฏิรูปวัฒนธรรมทางความคิดในขั้นพื้นฐานเสียก่อน จึงจะเปลี่ยนความเชื่อและพฤติกรรมได้ ไม่อย่างนั้นเราก็เป็นประชาธิปไตยได้แต่เปลือก ใจยังอยากวิ่งกลับไปอยู่แทบเท้าเพื่อให้เขาเมตตาช่วยอุ้มเราไปทั้งชีวิตเหมือนเดิม ผมจึงพูดเมื่อปี พ.ศ.2550 ว่าระบบอุปถัมภ์แบบเก่าคืออุปสรรคสำคัญที่สุดของการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย แต่ภรรยานายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งในขณะนั้นหาเรื่อง โดยแกล้งแปลคำว่า อุปถัมภ์ ของผมมาเป็นคำว่า “พระบรมราชูปถัมภ์” ทำให้ผมได้รับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จนสำนักงานอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องไปแล้วเมื่อปีก่อน ผมเข้าใจครับว่าสื่อสัมปทานของรัฐอย่างช่อง 3 ต้องเอาใจผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐ และเราก็รู้ว่าใครมีอำนาจสูงสุดในรัฐไทยนี้ แต่ช่อง 3 ก็ไม่ควรถึงขนาดเล่นละครกับรัฐบาลที่อาจจะรู้สึกว่ามาเพียงชั่วคราว เพื่อให้รัฐมนตรีสบายใจว่าช่อง 3 สนใจและให้ความสำคัญกับเขาแบบหลอกๆ แต่ควรหาทางคุยกันอย่างจริงจังว่าจะยกระดับความมั่นใจในตัวเองของคนไทยในระบบอุปถัมภ์ขึ้นมาอย่างไร แอบคุยกันก็ได้ เพราะสังคมนี้กำลังเดินไปสู่ความเปลี่ยนแปลงแน่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ปัจจุบันนอกจากจะไม่ช่วยล้างแล้ว ช่อง 3 ยังทาสีทับลงไปอีกหลายชั้นให้ระบบอุปถัมภ์ไทยมันจำหลักแน่นและนิ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนช่วยเขาต่อต้านการพัฒนาทางความคิดแบบประชาธิปไตยอย่างกระตือรือร้น
เขียนมาถึงตอนนี้ นึกขึ้นมาได้อีกหนึ่งเรื่องเล็กๆ ก็ขอเล่าเสียให้หมดเปลือก เมื่อผมเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อปี พ.ศ.2551 ผมมีหน้าที่ดูแลสื่อของรัฐ ทั้งสื่อโดยตรงและสื่อสัมปทาน เข้าใจว่าเพิ่งจะถวายสัตย์ฯ ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงช่อง 3 ก็เชิญผมไปออกรายการสดในตอนเย็นกับคุณสรยุทธ์ฯ ผมก็รับชวนไปทันที ระหว่างแต่งหน้าก่อนเข้ารายการ ผมก็บ่นอุบอิบกับช่างแต่งหน้าว่าผู้บริหารช่อง 3 หายไปไหนกันหมด ไม่ใช่บ่นแบบคางคกขึ้นวอให้เขามาเข้าแถวพินอบพิเทา แต่อยากคุยงานสื่อของรัฐ เพราะโอกาสเจอกันน่าจะมีน้อยแล้ว ปรากฏว่าอีก 15 นาทีต่อมาคุณประวิทย์ฯ เข้ามาหาในห้องส่งก่อนที่จะสัมภาษณ์กัน ผมนึกในใจว่าผมคงสื่อสารผิดเสียอีกแล้ว เราอยากคุยงาน ไม่ได้อวดอำนาจ แต่ดูท่าแล้วจะผิดจุดกันไปไกล ผมก็เลยทักท่านอย่างสุภาพและไม่ได้แลกเปลี่ยนอะไรที่มีความหมายต่อกัน วันนั้นคือวันที่คุณสรยุทธ์ฯ หลอกล่อให้ผมคุยเรื่องนโยบายสื่อภาครัฐอยู่เกือบจบรายการ แล้วตวัดหางใส่ผมด้วยคำถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “คุณจักรภพเป็นเกย์หรือเปล่า?” ผมจำไม่ได้ว่าตอบออกไปอย่างไร แต่จำได้ว่าคิดจะถามกลับให้มันครื้นเครงไปว่า ถ้าผมเป็น คุณสรยุทธ์จะมานอนกับผมหรือ.