xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : ย้อนรอย “เด้งถวิล” ...ผลงานอัปยศของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์”!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ อดีตเลขาฯ สมช.ขณะฟังคำพิพากษาศาลปกครองกลาง(31 พ.ค.)
อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน

ยังคงไม่มีความชัดเจนว่า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะยื้อการคืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.แก่ “ถวิล เปลี่ยนศรี” ด้วยการอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางหรือไม่ แต่สิ่งที่ชัดเสียยิ่งกว่าชัดก็คือ การเด้ง นายถวิล พ้นเลขาฯ สมช.ไม่เพียงเป็นตัวอย่างของนักการเมืองที่รังแกข้าราชการประจำที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ แต่ยังเป็นผลงานสุดอัปยศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ละทิ้งคุณธรรมเพียงเพื่อให้เครือญาติของตัวเองได้ดิบได้ดีอีกด้วย

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

หลังรอความเป็นธรรมมานานนับปี ในที่สุด ศาลปกครองกลางก็ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 31 พ.ค.เพิกถอนคำสั่งของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่โยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ เมื่อวันที่ 7 ก.ย.2554 รวมทั้งสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ที่ยกคำร้องทุกข์ของนายถวิลเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2555 เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า กระบวนการโอนนายถวิลดำเนินการอย่างเร่งรีบ ไม่เป็นไปตามขั้นตอน จึงเชื่อได้ว่า ที่มาของการโยกย้ายนายถวิล เพื่อต้องการให้ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ดำรงตำแหน่งอยู่ ว่างลง เพื่อแต่งตั้งให้คนอื่นดำรงตำแหน่งแทน

ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ส่งผลให้นายถวิลจะได้กลับคืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.อีกครั้ง แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่? เพราะแม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 30 วัน แต่ในคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ก็ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลฯ ด้วยว่า เมื่อศาลฯ เพิกถอนคำสั่งของนายกฯ โดยให้มีผลย้อนหลัง ย่อมมีผลทางกฎหมายว่า นายถวิลไม่ได้พ้นจากตำแหน่งเลขาฯ สมช.ดังนั้นผู้เกี่ยวข้องจึงต้องดำเนินการให้นายถวิลสามารถปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งเลขาฯ สมช.โดยเร็ว!

แต่ผ่านมา 6-7 วันแล้ว ก็ยังไม่มีคำตอบจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าจะคืนตำแหน่งเลขาฯ สมช.ให้นายถวิลเมื่อใด? รวมทั้งยังตอบไม่ได้ว่า จะอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางหรือไม่? โดยอ้างว่าต้องฟังคำแนะนำจากที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายก่อน คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจน

ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน ต่างดาหน้าออกมาดิสเครดิตนายถวิลเป็นการใหญ่ โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี อ้างว่า การโยกย้ายข้าราชการเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าประเทศไหนก็ไม่มีใครใช้หน่วยข่าวของอีกรัฐบาล พร้อมดิสเครดิตพรรคประชาธิปัตย์ด้วยว่า พรรคประชาธิปัตย์ก็เคยโยกย้ายเลขาฯ สมช.และรองเลขาฯ สมช.เช่นกัน ก็ไม่เห็นมีใครออกมาโวยวาย

ด้านนายถวิล ส่งสัญญาณว่า หากนายกฯ อุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลาง ตนอาจต้องปกป้องสิทธิของตัวเองด้วยการยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่านายกฯ ปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

ก่อนจะรู้ผลว่า นายกฯ จะอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางหรือไม่ เราลองมาย้อนรอยการเด้งนายถวิลพ้นจากตำแหน่งเลขาฯ สมช.กันอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำความไร้คุณธรรม จริยธรรม และทำเพื่อพรรคพวกเครือญาติตัวเองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้แถลงหลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีว่า พร้อมจะทำงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ อดทน ไม่เกรงกลัวต่อความยากลำบากใดๆ รวมทั้งจะจดจำเจตจำนงและเหตุผลของการเข้ามารับใช้แผ่นดินเกิดในครั้งนี้ ด้วยความภาคภูมิใจในความรักของประชาชน และจะใช้ความเป็นมืออาชีพ สร้างสุข สลายทุกข์ ให้แก่พี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถ พร้อมสัญญาว่า จะไม่ทำเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทำเพื่อประเทศไทยของทุกคน

แต่ให้หลังไม่ถึงเดือน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ถูกมองเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ออกลายด้วยการจ้องดันเครือญาติของตัวเองขึ้นเป็น ผบ.ตร.แทน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ที่ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในขณะนั้น เครือญาติที่ว่าก็คือ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.พี่ชายคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แต่การจะให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นนั่งเก้าอี้ ผบ.ตร.ได้ ก็ต้องทำให้ตำแหน่ง ผบ.ตร.ว่างลง รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงหาทางโยก พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งตำแหน่งอื่น แต่กฎหมายไม่เอื้อให้ทำเช่นนั้น เพราะ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ระบุว่า การจะโยกย้าย ผบ.ตร.ได้ ต้องให้เจ้าตัวสมัครใจ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จึงใช้วิธีกึ่งบีบกึ่งเจรจาให้ พล.ต.อ.วิเชียร ยอมทิ้งเก้าอี้ ผบ.ตร.ซึ่ง พล.ต.อ.วิเชียร ได้ออกมายอมรับเมื่อวันที่ 31 ส.ค.2554 ว่า ตนถูกการเมืองบีบให้พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร.จริง พร้อมออกอาการต่อรองว่า ส่วนตัวพร้อมไปนั่งเก้าอี้ใหม่ แต่ต้องเป็นตำแหน่งที่เหมาะสม มีเกียรติและศักดิ์ศรีพอสมควร เพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด!

กระทั่งหวยไปออกที่ตำแหน่งเลขาฯ สมช.ที่นายถวิล ดำรงตำแหน่งอยู่ ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มองว่า พล.ต.อ.วิเชียร น่าจะยอมรับตำแหน่งนี้ได้ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ได้ช่วยการันตีว่า พล.ต.อ.วิเชียร เหมาะสมกับตำแหน่งเลขาฯ สมช.พร้อมพูดเหน็บนายถวิลเพื่อให้ยอมทิ้งตำแหน่งเลขาฯ สมช.แต่โดยดีว่า หากตนเป็นนายถวิล จะขอย้ายตัวเอง เพราะที่ผ่านมาทำหน้าที่เป็นเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ดังนั้นรัฐบาลคงไม่ต้องการให้อยู่ในตำแหน่งเลขาฯ สมช. ร.ต.อ.เฉลิม ยังหลุดปากด้วยว่า เหตุที่ต้องย้ายนายถวิล เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งเลขาฯ สมช.เพื่อจะได้เอา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. !!

แม้ พล.ต.อ.วิเชียร จะรับได้กับตำแหน่งเลขาฯ สมช.แต่คนที่ต้องรับกรรมอย่างนายถวิล รับไม่ได้ ที่จะต้องถูกเด้งไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ เพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด นายถวิล จึงออกมาประกาศว่า ตนทำงานที่ สมช.ด้วยความซื่อสัตย์มากว่า 30 ปี หากถูกโยกย้ายโดยไม่เป็นธรรม ตนจะร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองและคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ฟังเช่นนั้น จึงออกมาบอกว่า จะหาเวลาคุยกับนายถวิล แต่ภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนใจไม่คุย และให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี ไปคุยแทน ซึ่งหลังจากคุย พล.ต.อ.โกวิท ไม่ยอมเผยผลหารือแต่อย่างใด ขณะที่นายถวิล บอกว่า “ถ้าผมไปนั่งในตำแหน่งที่ไม่ตรงกับความสามารถ เท่ากับว่าไปนั่งตบยุงอยู่เฉยๆ นั่งกินเงินเดือนเปล่าๆ คงไม่มีประโยชน์อะไร”

แต่ดูเหมือน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะไม่ฟัง และในที่สุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 ก.ย.2554 ได้มีมติโยกย้ายนายถวิลไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชประจำ โดยการโยกย้ายครั้งนี้เป็นไปอย่างรวดเร็วและรีบเร่ง ซึ่งนายถวิล ได้เปิดแถลงข่าวในวันรุ่งขึ้นหลังรู้ผลมติ ครม.โดยชี้ว่า กระบวนการย้ายตนให้พ้นตำแหน่งเลขาฯ สมช.เป็นไปในลักษณะที่ฝ่ายการเมืองบางคนมีอคติและลุแก่อำนาจ “ท่วงทำนองเป็นไปอย่างเยาะเย้ยถากถางต่อผม ซึ่งตรงนี้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผมนั้น ก็ไม่ได้ออกมาปกป้องหรือดูแลผมแต่อย่างใด ทั้งที่ผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกฯ ซึ่งผมรู้สึกเสียใจ”

นายถวิล ยังบอกด้วยว่า ตนจะใช้สิทธิของตัวเองด้วยการร้องขอความเป็นธรรมต่อ ก.พ.ค.ภายใน 30 วันตามที่ระเบียบกำหนด โดยจะร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติงานของนายกรัฐมนตรี พร้อมเชื่อด้วยว่า คนที่รังแกตน ยังไงก็หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น “สิ่งที่สำคัญคือกฎแห่งกรรม กฎธรรมชาติ ที่ทุกคนต้องได้รับทั้งนั้น ท่านต้องต่อสู้ ผมเองต้องต่อสู้ ท่านที่รังแกผมก็ต้องต่อสู้กับความเที่ยงแท้แน่นอนของกฎแห่งกรรมและกฎธรรมชาติ”

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังนายถวิลถูกเด้งพ้นเลขาฯ สมช.ปรากฏว่า ข้าราชการ สมช.ได้ทำหนังสือถึงสื่อมวลชนโดยยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการย้ายนายถวิลไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ พร้อมชี้ว่า การย้ายเลขาธิการ สมช.ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ สมช.เพราะที่ผ่านมา แม้จะเคยมีการย้ายเลขาธิการ สมช.และรองเลขาธิการ สมช.ไปประจำตำแหน่งอื่น แต่บุคคลเหล่านั้นเป็นคนภายนอกที่เข้ามารับตำแหน่งด้วยเหตุผลทางการเมือง กรณีที่เกิดขึ้นกับนายถวิลจึงส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและขวัญกำลังใจของข้าราชการ สมช.ทุกคน

หลังเด้งนายถวิลไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ และโยก พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งเลขาฯ สมช.แทนแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ก็เดินหน้ากระบวนการเพื่อดัน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นนั่งตำแหน่ง ผบ.ตร.โดยที่ประชุม ก.ต.ช.เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2554 ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นประธาน ได้มีมติเอกฉันท์ (11 คน) ตามที่นายกฯ เสนอให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร. โดยอ้างว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีความประพฤติ และผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์

ด้านนายถวิล ได้เดินหน้าร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมจาก ก.พ.ค.แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะ ก.พ.ค.มีมติเสียงข้างมากยกคำร้องของนายถวิล โดยอ้างว่า ไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่านายกฯ โยกย้ายโดยใช้อำนาจตามอำเภอใจ หรือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ก้าวก่ายแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น และมีกระบวนการโยกย้ายเป็นไปตามขั้นตอนแล้ว

นายถวิล พูดถึงเหตุผลที่ ก.พ.ค.ยกคำร้องของตนด้วยว่า “กรรมการก็เห็นโดยย่อว่า นายกฯ มีเหตุผล เพราะนายกฯ ได้แถลงต่อสภาว่า จะเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนหนึ่งก็คือ มีนโยบายความมั่นคงอยู่ด้วย ทั้งเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ปัญหาภาคใต้ การก่อการร้าย อะไรต่างๆ พวกนี้ ก็เห็นว่านายกฯ มีอำนาจตามนั้นที่จะย้ายผมได้ และนายกฯ แก้คำร้องทุกข์บอกว่า ผมมีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นก็ย้ายผมเพื่อทำงานในระดับที่สูงขึ้นในระดับนโยบาย”

ทั้งนี้ นายถวิล รู้สึกข้องใจในกระบวนการวินิจฉัยยกคำร้องของ ก.พ.ค.เนื่องจาก ก.พ.ค.ได้ตั้งคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ชุดเล็กขึ้นมาพิจารณา ซึ่งกรรมการ 2 ใน 3 เห็นว่าคำร้องของตนฟังขึ้นว่าตนถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความเป็นธรรม การโยกย้ายตน เพราะต้องการให้ พล.ต.อ.วิเชียร มานั่งแทน เพื่อให้ตำแหน่ง ผบ.ตร.ว่างลง เพราะต้องการให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.แต่เมื่อคณะกรรมการชุดเล็กส่งเรื่องให้ ก.พ.ค.ชุดใหญ่ลงความเห็น ปรากฏว่า การโหวตครั้งแรก กรรมการฝ่ายที่เห็นว่าควรยกคำร้องกับฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรยกคำร้องมีคะแนนเท่ากัน 3 ต่อ 3 จากนั้นนายศราวุธ เมนะเศวต ประธาน ก.พ.ค.ซึ่งใช้สิทธิออกเสียงไปแล้ว ได้ใช้สิทธิออกเสียงอีกครั้งโดยอ้างว่าเพื่อชี้ขาด จึงน่าสงสัยว่าประธาน ก.พ.ค.มีสิทธิออกเสียง 2 ครั้งหรือไม่ ซึ่งตนรู้สึกว่าการวินิจฉัยด้วยวิธีดังกล่าวไม่น่าจะเป็นธรรม และเหมือนตัวเองถูกจับแพ้ทางเทคนิค “ผมเห็นว่า ถ้าการใช้อำนาจของนายกฯ และรัฐมนตรีไม่มีข้อจำกัด ต่อไปข้าราชการจะไม่มีทางร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมได้ หากกรณีของผมไม่เรียกว่าถูกกลั่นแกล้งแล้ว จะมีกรณีของข้าราชการคนใดบ้างที่ได้รับความเป็นธรรม ถ้าการเมืองเป็นแบบนี้ จะหวังให้ระบบราชการเป็นกลไกพัฒนาบ้านเมืองได้อย่างไร นอกจากทำให้กลายเป็นเบี้ยล่างของฝ่ายการเมืองที่จะจัดการอย่างไรก็ได้”

เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรมจาก ก.พ.ค.นายถวิล จึงได้ร้องขอความเป็นธรรมจากศาลปกครอง เพื่อให้เพิกถอนคำสั่งโยกย้ายของนายกรัฐมนตรี และเพิกถอนคำสั่งของ ก.พ.ค.ที่ยกคำร้องตน ซึ่งในที่สุด นายถวิลก็ได้พบกับความเป็นธรรมเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา (31 พ.ค.) นายถวิล สรุปคำพิพากษาของศาลให้ฟังว่า “ศาลได้ให้นายกฯ คืนตำแหน่งกลับให้ผมโดยเร็ว ในรายละเอียด ศาลได้มีคำวินิจฉัยในทางกฎหมายอยู่ 2 แง่คือ ชอบด้วยกระบวนการและวิธีการทางกฎหมายหรือไม่ ในการย้ายข้าราชการตามระเบียบราชการ ต้องได้รับการยินยอมจากหน่วยที่สังกัดอยู่ คือ สมช.กับหน่วยที่รับโอนผมคือสำนักเลขาธิการนายกฯ ศาลเห็นว่ามีการปฏิบัติไม่ชอบ ไม่เป็นไปตามขั้นตอน มีการปกปิดข้อเท็จจริง และในแง่ที่ 2 คือ การวินิจฉัยเรื่องของดุลพินิจ ตำแหน่งเลขาฯ สมช.มีฐานะสูงกว่าที่ปรึกษานายกฯ มีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินการ และเหตุที่นายกฯ อ้างว่าผมมีความรู้ความสามารถในเรื่องของความมั่นคง ก็สามารถไปช่วยในเรื่องนโยบายได้ ศาลเห็นว่าอยู่ที่ตำแหน่งเลขาฯ สมช.ก็ดำเนินงานได้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องโอนตำแหน่ง และตำแหน่งเลขาฯ สมช.ตอบสนองการทำงานด้านความมั่นคงได้ดีกว่า ฉะนั้นศาลเห็นว่าการย้ายครั้งนี้เป็นการลดบทบาทหน้าที่ของผม”

หลังจากนี้ต้องติดตามว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางหรือไม่ และหากอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาทันก่อนที่นายถวิลจะเกษียณอายุราชการในปี 2557 หรือไม่ บางที...ความยุติธรรมที่ล่าช้าหรือมาไม่ทันเวลา ก็ทำให้การคืนความเป็นธรรมให้กับคนบางคนที่รออยู่ กลายเป็นสิ่งไร้ค่าได้!!
นายถวิล แถลงเปิดใจหลังรู้ผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง(31 พ.ค.)
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี เคยยอมรับว่า ถูกการเมืองบีบให้พ้นตำแหน่ง ผบ.ตร.เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นรั้งตำแหน่งแทน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เคยยอมรับว่า การย้ายนายถวิลเพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร ไปนั่งเลขาฯ สมช.จะได้เอา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขึ้นเป็น ผบ.ตร.
กำลังโหลดความคิดเห็น