“ณัฐวุฒิ” ผุดไอเดีย “จำนำข้าวสัญจร” ตระเวนกรอกหูชาวนา ตอบโต้ข่าวขาดทุน 2.6 แสนล้าน โว “ปู” เห็นดีด้วย ประเดิมพิษณุโลกจังหวัดแรก 9 มิ.ย.นี้ ตอก ปชป.ปั้นน้ำเป็นตัว กล่าวหาปั่นราคาไข่ไก่ ยันตรึงราคา 3.50 บาทได้แน่ จ่อร่อนหนังสือขอ ก.เกษตรฯ ชะลอส่งออกไข่จนกว่าจะปกติ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.กระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกระแสโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลมีการขาดทุนเป็นตัวเลข 2.6 แสนล้านบาทว่า ขณะนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวมีมาจากหลายฝ่าย ซึ่งทำให้สังคมเกิดความสับสน ทั้งนี้ ตนได้หารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยเสนอโครงการ “รับจำนำข้าวสัญจร จับเข่าคุยเกษตรกรชาวนาไทย” โดยรัฐบาลจะตระเวนลงพื้นที่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศเพื่อให้ข้อมูลของภาครัฐเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวต่อเกษตรกรชาวนาทั่วประเทศ ซึ่งนายกฯ ได้รับทราบและเห็นชอบอนุมัติเรียบร้อยแล้ว
รมช.พาณิชย์กล่าวว่า วันนี้ (4 มิ.ย.) ตนจะเรียกประชุมหน่วยงานกระทรวงพาณิชย์เพื่อกำหนดรูปแบบของการดำเนินโครงการ ทั้งเรื่องของเวที การพูดคุย และพื้นที่ที่จะลง โดยถือโอกาสประชุม ครม.สัญจร ระหว่างวันที่ 9-10 มิ.ย. ซึ่งตนจะเริ่มโครงการนี้พื้นที่แรกที่จังหวัดพิษณุโลก ในวันอาทิตย์ที่ 9 มิ.ย. อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวไม่ขาดทุนมหาศาลอย่างที่เป็นกระแส
ส่วนข้อกังวลที่ว่าประเทศไทยจะเสียแชมป์ในการส่งออกข่าวนั้น รมช.พาณิชย์ระบุว่า เราไม่ได้กังวลใจเรื่องนั้น แต่เรากังวลว่าชาวนาไทยจะติดอันดับยากจนของโลกหรือไม่ และเราควรจะยืนอยู่ในจุดที่เป็นประเทศที่ผลิตข้าวคุณภาพระดับโลกมากกว่า
ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์รายงานจากกระทรวงการคลังที่ระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวขาดทุนไปแล้ว 260,000 ล้านบาทนั้น นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่เห็นรายงานฉบับนั้น แต่ตนยืนยันได้ว่า ไม่เป็นตัวเลขที่คำนวณได้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงของโครงการ เพราะขณะนี้เฉพาะเงินที่หมุนคืนจากการระบายข้าวก็ประมาณ 140,000 ล้านบาทบวกกับกับปริมาณที่อยู่ในโกดังของโครงการที่ยังไม่ได้ระบายออกก็น่าจะได้ตัวเลขอีกจำนวนหนึ่งแต่ต้องรอความชัดเจนจากกระทรวงการคลัง ซึ่งตนทราบจากปลัดกระทรวงพาณิชย์ว่าพยายามขอข้อมูลจากกระทรวงการคลัง แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าให้ไม่ได้เพราะเป็นความลับ จะมีก็แต่เพียงคนในพรรคประชาธิปัตย์ที่ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กว่าโครงการรับจำนำข้าวขาดทุน 260,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเดียวกับรายงานของกระทรวงการคลังที่อ้างถึง
“ผมจึงแปลกใจว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ถึงได้รู้ข้อมูลได้รวดเร็ว ซึ่งผมยังไม่ได้กล่าวหาใครทั้งสิ้น แต่เมื่อกระทรวงพาณิชย์ได้รับรายงานฉบับดังกล่าว ก็ต้องมีการตั้งคณะทำงานศึกษาตรวจสอบ วิธีการคำนวณ และปิดบัญชีโครงการ และแถลงให้สังคมได้รับทราบ เพื่อให้เข้าใจข้อเท็จจริงต่อไป”
นายณัฐวุฒิยังกล่าวถึงกรณีที่ถูกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่ามีส่วนในการของบประมาณ 131 ล้านบาทเพื่อแสวงหาประโยชน์มิชอบจากสถานการณ์ราคาไข่ไก่ว่า การของบประมาณ 131 ล้านบาทเป็นมติจากคณะกรรมการพัฒนาไข่ไก่และผลิตภัณฑ์ หรือเอ้กบอร์ด โดยเป็นมติจากการประชุมเมื่อเดือน ธ.ค. 55 ซึ่งขณะนั้นไข่ไก่ล้นตลาดมีราคาตกต่ำ จึงขอเงินจากคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เพื่อมาดึงไข่ไก่ออกจากตลาดเป้าหมาย 195 ล้านฟอง สิ่งที่ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์เอามาพูดว่า ตนขอเงิน ครม.131 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 มี.ค.นั้นก็ไม่ตรงความเป็นจริง แต่เป็นเรื่องที่เอ้กบอร์ด รายงานต่อ ครม.เพื่อรับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงานโครงการดังกล่าว ไม่เกี่ยวกับกระทรวงพาณิชย์หรือตนเลย เพราะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้บริหารจัดการงบประมาณและมีผลทำให้ราคาไข่ไก่ขยับตัวสูงขึ้นได้จริง
“ผมรู้ดีว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องพยายามทุกทางในการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องแข่งกันพูดเพื่อให้ได้ลงหนังสือพิมพ์ แต่สิ่งเดียวที่ผมไม่รู้คือ ไม่รู้ว่าเขาเอาอะไรมาพูดกัน และก็ไม่มีเหตุอะไรเลยที่จะมากล่าวหาผม ผมเกลียดวิธีการทางการเมืองแบบนี้ และต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีสมาธิ ไม่ต้องมารู้สึกรำคาญกับความเท็จ พรรคประชาธิปัตย์อยู่มา 60 กว่าปีมีหลายวิชาให้เรียนรู้หลายวิชา แต่คนกลุ่มนี้ออกมานั่งหน้าจอทีวี นั่งหน้าไมค์ เลือกเรียนวิชาก้นหีบ คือการโกหกไว้ก่อน พอจับได้ก็ไปโกหกเรื่องใหม่ ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่รู้ทัน”
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สาเหตุที่ราคาไข่ไก่ตก หากไปถามเกษตรกรผู้เลี้ยงไข่ไก่ก็จะทราบว่ามีมติ ครม.เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 53 ในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้อนุมัติให้มีการเปิดเสรีการนำเข้าแม่พันธุ์ไก่ไข่ ซึ่งรัฐบาลขณะนั้นก็อนุมัติ ทั้งที่เอ้กบอร์ดไม่ได้เสนอเรื่องนี้ รมว.เกษตรฯตอนนั้นก็ได้ทักท้วงว่าไข่จะล้นตลาด และราคาจะตก แต่ก็ไม่ฟัง และในปี 54 แม่พันธุ์ไข่ไก่ที่มีการนำเข้าก็จำนวนมากขึ้นทำให้ไข่ไก่ล้นตลาด ทำให้เอ้กบอร์ดมาขอเงินจาก คชก.เพื่อแก้ปัญหาเมื่อปลายปี 55 เรื่องนี้ตนก็อยากให้เข้าใจอย่างชัดเจน ไม่ใช่ไปอ่านหนังสือพิมพ์มา 2-3 บรรทัดแล้วมามั่วยกเมฆ พูดจาให้สังคมเข้าใจไขว้เขว
สำหรับเรื่องการตรึงราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มที่ 3.50 บาท เป็นเรื่องที่ตนได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ทำหน้าที่รองประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ และในการประชุมคณะกรรมการพัฒนาโครงสร้างระบบราชการ (กพร.) ของกระทรวงพาณิชย์ ก็พบว่าสถานการณ์ไข่ไก่น่าเป็นห่วง จึงได้ให้กรมการค้าภายใน ไปเชิญผู้ประกอบการมาพูดคุยหารือ โดยผู้ประกอบการอยากให้มีการขึ้นราคาไข่ไก่ขึ้นอีก ซึ่งตนได้กำชับว่าหากจะขึ้นราคาก็อย่าให้เกินที่ 3.30 บาทและก็ตรึงราคากันอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์มีหนังสือแสดงความเห็นไปถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ชะลอการส่งออกไข่ไก่เอาไว้ก่อน เพื่อจะนำผลผลิตมาขายในตลาดประเทศ จนกว่าผลผลิตจะออกมาในระดับปกติ และไม่เกิดผลกระทบต่อไป