xs
xsm
sm
md
lg

แรงต้าน...หมอประดิษฐ์ถึงวรวัจน์ จับกระแสขรก.ก่อหวอดไล่รัฐบาล

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

 นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์
แทบไม่น่าเชื่อว่า เพียงแค่หนึ่งปีกว่าในการบริหารประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ก่อให้เกิดกลุ่มประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์มากขึ้นเรื่อยๆ

แถมไม่ใช่ประชาชนธรรมดาแต่เป็น “กลุ่มข้าราชการ”ที่นับวันมีแต่จะขยายวงมากขึ้นเรื่อยๆ

ต้องไม่ลืมว่าหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ “ระบอบทักษิณ”พังพินาศเร็วกว่าที่หลายคนคิด ก็เพราะการบริหารราชการแผ่นดินแบบลุแก่อำนาจ เอาระบบเล่นพรรคเล่นพวกมาใช้ในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและการบริหารงานในกระทรวงต่างๆ ใครไม่สยบยอมก้มหัวให้ ไม่ยอมเป็นเครื่องมือให้ระบอบทักษิณเอากลไกรัฐไปแสวงหาผลประโยชน์ ก็กลั่นแกล้งไม่ให้เติบโตและเขี่ยให้พ้นทาง

ผลก็คือตลอดห้าปีกว่าของทักษิณ ชินวัตร ได้ผลักกลุ่มข้าราชการประจำ-เจ้าหน้าที่รัฐ ออกไปเป็น“ศัตรูการเมือง” ทั้งแบบเปิดเผยและไม่เปิดเผย จนทำให้กลุ่มขรก.-เจ้าหน้าที่รัฐ อยู่ฝั่งไม่เอาระบอบทักษิณจำนวนมาก กลายเป็นแนวร่วมสำคัญทั้งกล้าออกมาประกาศตัวตน และเคลื่อนไหวในทางลับในการทำให้ระบอบทักษิณพังก่อนเวลาอันควร

แม้ตอนนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะยังไม่เจอคลื่นใต้น้ำจากกลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐที่เปิดหน้าชนกับรัฐบาลเต็มตัว แต่ปรากฏการณ์หลายอย่างก็เริ่มตั้งเค้าให้เห็นถึงทิศทางนี้แล้ว หากยังชะล่าใจ รู้เห็นเป็นใจ ขยิบตาให้รัฐมนตรีในรัฐบาลตัวเอง บริหารงานในกระทรวงแบบไร้ธรรมาภิบาล จนพวกข้าราชการในสังกัดไม่ยอมรับ สุดท้ายมันจะบานปลายลามมาถึงตัวยิ่งลักษณ์ได้

ไม่ว่า จะเป็นกรณีที่กลุ่มแพทย์ชนบททั่วประเทศได้เกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น เคลื่อนไหวไม่เอานโยบายการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน หรือที่เรียกกันว่า “พีฟอร์พี” (Pay for performance)ของนพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุขหนึ่งในรัฐมนตรีผู้ใกล้ชิดยิ่งลักษณ์และตัวแทนกลุ่มทุนของพรรคเพื่อไทย

แม้การเคลื่อนไหวของแพทย์ชนบททั่วประเทศที่มีภาพลักษณ์ในสายตาของสังคมค่อนข้างดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับนักการเมืองทั้งหลายในช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมา เพื่อต่อต้านนโยบายพีฟอร์พีจนถึงขั้นเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นขับไล่หมอประดิษฐ์ออกจากตำแหน่ง จะยังไม่ประสบความสำเร็จ

แต่ก็ยังเป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไม่เลิกรา

แม้จะไม่ทำให้หมอประดิษฐ์เก้าอี้สะเทือน แต่ก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ ของ นพ.ประดิษฐ์แน่นอน เนื่องเพราะมีแพทย์ชนบท จากโรงพยาบาลชุมชนที่ถือว่าทำงานใกล้ชิดกับประชาชนในชุมชนต่างๆทั่วประเทศ มากที่สุดออกมาต่อต้านรมว.สาธารณสุขกันทั่วประเทศแบบยืดเยื้อยาวนานเช่นนี้

ยิ่งพอมาเจอเรื่องกรณีบอร์ดองค์การเภสัชกรรม มีมติปลด นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผอ.องค์การเภสัชกรรม พ้นจากตำแหน่ง ผอ.องค์การเภสัชกรรม โดยหลายฝ่ายเห็นชัดว่าเป็นเรื่องการเมืองด้วยการยืมมือขาประจำของรัฐบาลเพื่อไทยอย่างดีเอสไอมาเป็นเครื่องมือปลดหมอวิทิตเพื่อเขี่ยให้พ้นทางในองค์การเภสัชกรรม หน่วยงานที่มีผลประโยชน์ในแต่ละปีเป็นหมื่นล้าน แล้วเตรียมเอาคนของฝ่ายการเมืองที่วางตัวไว้มารับตำแหน่งแทน

ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมานพ.วิทิตได้รับการยอมรับอย่างสูงในเรื่องการบริหารงานในองค์การเภสัชกรรม ทั้งยังเป็นต้นแบบแนวคิดให้กับแกนนำพรรคไทยรักไทยยุคเริ่มแรกอย่างนพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี หรือหมอเลี๊ยบ ในการใช้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคสมัยหมอวิทิตเป็นผอ.โรงพยาบาลบ้านแพ้ว ที่ทักษิณ ชินวัตรเคยเดินทางไปร่วมพูดคุยด้วยที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร ตอนทักษิณรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ ก่อนจะเริ่มทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเต็มตัว

แม้ผู้คนไม่ใช่แค่ในวงการสาธารณสุขก็เริ่มเห็นถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในวงการสาธารณสุขเวลานี้ ทำให้เกิดกระแสการตื่นตัวของคนหลายกลุ่มโดยเฉพาะแวดวงเอ็นจีโอประกาศยกระดับ ความเข้มข้นในการติดตามการบริหารงานในกระทรวงสาธารณสุขมากขึ้น

“ปฏิบัติการ 6 มิถุนาฯ”ที่ ชมรมแพทย์ชนบทนัดหมายรวมตัวกันที่หน้าบ้านยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพื่อเรียกร้องให้ปลดนพ.ประดิษฐ์ ด้วยการอ้างเหตุบริหารงานในกระทรวงโดยขาดความโปร่งใส่ ไม่มีธรรมาภิบาล จึงเริ่มถูกจับตามองมากขึ้น เพราะตอนนี้เห็นแล้วว่าก่อนหน้านี้ที่ฝ่ายการเมืองในกระทรวงสาธารณสุขและ พรรคเพื่อไทยคิดว่า แรงต้านต่างๆ ต่อตัวหมอประดิษฐ์จะเลิกราไปเอง เมื่อยิ่งลักษณ์ไม่ปลดหมอประดิษฐ์ คงต้องคิดหนักมากขึ้น

เพราะดูแล้วแม้พวกหมอชนบทเหล่านี้จะไม่มีทีเด็ดทีขาดใน การเคลื่อนไหวเหมือนม็อบอื่นๆ แต่ก็เป็นม็อบปัญญาชน ที่ยิ่งยื้อไปเรื่อยๆ ก็คงมีผลไม่น้อยต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลเพื่อไทย หลังเริ่มเห็นแนวร่วมกลุ่มนี้ที่มีเครือข่ายโยงใยในระดับปัญญาชนหลายกลุ่ม มากวงการชักขยายตัวอย่างล่าสุดทาง “กลุ่มเพื่อนมหิดล” ก็เปิดตัวเตรียมจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหว ของชมรมแพทย์ชนบท แสดงให้เห็นว่า ศึกนี้ยาวแน่นอน หากหมอประดิษฐ์ยังอยู่

นัดหมายชุมนุมหน้าบ้านพักยิ่งลักษณ์ 6 มิ.ย.นี้ หลายฝ่ายจึงหวั่นเกรงไม่น้อยว่าจะบานปลายหรือไม่ เพราะก็มีการออกมาขู่จากพวกเสื้อแดงผ่าน ศรรักษ์ มาลัยทอง โฆษกกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(กวป.)ที่ระบุว่ากลุ่มคนเสื้อแดงกรุงเทพมหานครทั้ง 50 เขตจะไปให้กำลังใจ ยิ่งลักษณ์ ที่บ้านพักในวันที่ 6 มิ.ย.ที่ตรงกับวันที่ชมรมแพทย์ชนบทนัดหมายไว้ล่วงหน้า

กระนั้น “ทีมข่าวการเมือง” ก็ขอให้การเคลื่อนไหวอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ควรต้องอยู่บนหลัก สันติ ไม่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อย่างที่มีการประกาศว่าจะนำคนไข้พวกที่ป่วยเป็นโรคไตไปร่วมชุมนุมหน้าบ้านยิ่งลักษณ์ด้วย เพื่อกดดันหมอประดิษฐ์ตรงนี้ ก็ควรที่กลุ่มแกนนำแพทย์ชนบทต้องคิดให้ดี อย่าให้เกิดเหตุอะไรขึ้น ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้แรงหนุนในการเคลื่อนไหว จะเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับไม่เห็นด้วยตามมาได้

ส่วนอีกหนึ่งรัฐมนตรีที่ก็กำลังมีปัญหาเช่นกันก็คือ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับปรากฏการณ์ที่แทบเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีคนในหน่วยงานสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ออกมาเคลื่อนไหวเปิดตัวพร้อมชนกับฝ่ายการเมืองเพื่อต่อต้านการบริหารงานที่ไร้วิสัยทัศน์ในการนำพาองค์กร

ในการรวมตัวกันของกลุ่มพนักงานสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งพร้อมใจกันออกมาแต่งกายชุดดำพร้อมชูสัญลักษณ์กำปั้น ระบุข้อความ Fight For Science เพื่อ แสดงออกถึงการไม่ยอมรับการเข้ามาล้วงลูกในการบริหารงานของสวทช.ของวรวัจน์

พบว่า การบริหารงานของวรวัจน์ในกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มีปัญหาแค่กับสวทช.ที่เข้าไปล้วงลูกการทำงานของสวทช.หลายเรื่อง เช่นตัดงบประมาณบางโครงการที่ไม่ตอบความต้องการของฝ่ายการเมืองจนไปกระทบกับ พันธกิจงานวิจัยขององค์กรเช่น การวิจัยเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ -การใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเร่งฟื้นฟูระบบนิเวศน์ -การวิจัยพลังงานจากชีวมวล จนส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของคนในสวทช.และข้าราชการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯที่ เกือบทั้งหมดเป็นพวกข้าราชการหัวกระทิอย่างมาก

ทั้ง ที่ประเทศที่กำลังพัฒนาและประเทศที่พัฒนาแล้ว เรื่องการวิจัย-การสร้างองค์ความรู้ เป็นเรื่องสำคัญมากในการพัฒนาประเทศ หลายประเทศรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับงบการวิจัยเป็นอย่างมาก มีแต่จะเพิ่มงบด้านนี้ให้มากขึ้นทุกปี ปีละหลายสิบเปอร์เซนต์ แต่มีข่าวว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับปรับลดงบประมาณด้านการวิจัยของ หลายหน่วยงานลงโดยเฉพาะสถาบันอุดมศึกษาหลายแห่ง

ผนวกกับเวลานี้สำนักข่าวอิศรา-www. isranews.org ก็มีการเปิดเผยเอกสารบันทึกการประชุมหารือข้อราชการของผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เมื่อวันที่ 25 มี.ค.56 ซึ่งวรวัจน์ได้ขอใช้อำนาจในการกำกับดูแลหน่วยงานภายใต้กระทรวงวิทยาศาสตร์ สั่งการให้หน่วยงานถือปฏิบัติเช่นให้รายงานเรื่องที่จะนำเข้าบอร์ดของแต่ละหน่วยงานให้รมต.ทราบก่อนทุกครั้ง,การจัดซื้อจัดจ้างเกิน 2 ล้านบาท ที่เข้าข่าย E-Auction ให้แจ้ง รมว.วท.ทราบก่อนดำเนินการทุกครั้ง,เรื่องของงานประชาสัมพันธ์ ก็ขอดูงบประมาณด้านประชาสัมพันธ์ทั้งหมดว่านำไปดำเนินการอะไรบ้าง

แม้ข้อสั่งการข้างต้น อาจมองว่าเป็นเรื่องการบริหารงานปกติของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงแต่บางเรื่องดูแล้วก็ไม่น่าที่ระดับรัฐมนตรีต้องลงมาล้วงลูกเองมากขนาดนั้น

เช่น งบประชาสัมพันธ์ ซึ่งรู้กันดีว่างบพีอาร์ของทุกกระทรวงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มากหรือน้อย มันคือช่องทางสำคัญที่ฝ่ายการเมืองจะนำไปใช้ในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับ สื่อหรือองค์กรสื่อบางแห่งเพื่อจะได้เสนอแต่ข่าวด้านบวกของตัวเองและไม่ เสนอข่าวตรวจสอบรัฐบาล รวมถึงก็มีข่าวมาตลอดว่างบดังกล่าวคือช่องทางที่ง่ายที่สุดซึ่งจะมีเครือ ข่ายต่างๆของฝ่ายการเมืองเข้าไปรับงานแล้วก็เอื้อประโยชน์กันไป

จนถึงขณะนี้ ปัญหาคลื่นใต้น้ำ –การก่อหวอดของขรก.-เจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯยังไม่ สลายตัวมีแต่จะเริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ

ทำให้ วรวัจน์ซึ่งที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในรมต.ที่โลกลืม เพราะบทบาทของรมว.วิทยาศาสตร์ฯ ในทางการเมืองแทบไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว กลายเป็นหนึ่งในรมต.ที่ถูกสังคมเพ่งเล็งไปโดยปริยาย จนทำให้เจ้าตัวดูจะร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะหากปล่อยไว้แบบนี้ ก็คงไม่เป็นผลดีกับตัวเอง

แม้นพ.ประดิษฐ์ค่ายยิ่งลักษณ์ และวรวัจน์น้องรักเจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จะมีแบ็คอัพที่ทำให้มั่นใจได้ว่า ยากจะโดนเขี่ยออก แต่หมอประดิษฐ์และวรวัจน์ก็คงลืมไปว่า ฝ่ายที่ออกมาต่อต้านแม้ทั้งหมดจะเป็นขรก.-เจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้มีการศึกษา เป็นพวกปัญญาชน เป็นขรก.ที่ถูกมองว่าไม่อิงการเมืองเหมือนกับกระทรวงอื่นๆ การออกมาชนกับผู้บังคับบัญชาตัวเองแบบนี้ แม้รู้ว่าเสี่ยง แต่ก็ยังทำ มันไม่ธรรมดาแน่นอน

น่าจับตามองว่า แรงต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากกลุ่มข้าราชการ-เจ้าหน้าที่ของรัฐ ยิ่งนานวันจะยิ่งขยายตัวมากขึ้น จนอาจเป็นหนึ่งในชนวนเหตุให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องเผชิญแรงปะทะกับคนกลุ่มนี้ แล้วปรากฏแนวร่วมขยายวงไปเรื่อยๆ เหมือนกับพี่ชายตัวเองเคยเจอมาก่อนก็ได้
วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล
นพ.วิทิต อรรถเวชกุล

กำลังโหลดความคิดเห็น