xs
xsm
sm
md
lg

“ปู” อ้อนนักลงทุนญี่ปุ่น ลงทุน 3 โครงการใหญ่ รบ.นำไทยเป็นศูนย์กลาง AEC

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ภาพมากจากเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra
นายกฯ ร่วมงาน Tokyo Roadshow 2013 ขอบคุณเจโทรหนุนคลังจัดงาน หวังทำความเข้าใจแผนลงทุน 2 ชาติ แจงถกนายกฯญี่ปุ่นพัฒนาเศรษฐกิจ และครบรอบสัมพันธ์ 126 ปี รับ 2 ชาติซี้กัน ญี่ปุ่นลงทุนไทยอันดับ 1 เผยนั่งนายกฯ ร่วมฝ่าน้ำท่วมจนเศรษฐกิจโตร้อยละ 6.4 ขอบคุณญี่ปุ่นช่วย ชี้ ลงทุนจนตะวันออกไทย เป็นนิคมอุตสาหกรรม สร้างรายได้ชาติ ขอสานฝันชวนลงทุน วางรากฐานรับ AEC ทั้งการลงทุนจัดการน้ำ 3.5 แสนล.ลงทุนพื้นฐาน 2 ล้านล้าน และท่าน้ำลึกทวาย

วันนี้ (22 พ.ค.) เมื่อเวลา 15.00 น.(ตามเวลาท้องถิ่น) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน “Tokyo Roadshow 2013” ในหัวข้อ “Building a Strong Foundation for Thailand and ASEAN” ซึ่งกระทรวงการคลังจัดขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนญี่ปุ่น ถึงศักยภาพการบริหารประเทศเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ เพื่อเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงของอาเซียน รวมทั้งการสนับสนุนโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวแสดงความเชื่อมั่นว่า การจัดงานครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับนักลงทุน นักธุรกิจ ตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทย พร้อมทั้งแสดงความขอบคุณองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ที่ช่วยสนับสนุนการดำเนินการของกระทรวงการคลังไทย ซึ่งเป็นเจ้าภาพการจัดงานวันนี้ และเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้งานประสบความสำเร็จ มีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก

นายกฯ กล่าวอีกว่า ความตั้งใจของรัฐบาลไทยในการจัดงานในครั้งนี้ ก็เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับแผนการลงทุนขนาดใหญ่ของไทยหลายโครงการที่ประเทศไทยต้องการเห็นความร่วมมือในการลงทุนของประเทศญี่ปุ่น และมั่นใจว่าแผนงานโครงการเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาของทั้งสองประเทศ รวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของภูมิภาค ปกป้องการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทย และทำให้การลงทุนที่มีอยู่แล้วมีศักยภาพสูงขึ้น มีผลตอบแทนที่ชัดเจนและเพิ่มพูน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเข้าร่วมการประชุมนานาชาติ “The Future of Asia” ของบริษัท Nikkei เพื่ออธิบายถึงภาพรวมของการเจริญเติบโตของเอเชียในอนาคตในมุมมองของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องและสอดคล้องกับแผนการลงทุนของประเทศไทย

สำหรับการหารือกับนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ซึ่งต่อเนื่องจากการเยือนประเทศไทยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา นับเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และการกำหนดแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันทั้งในภาครัฐและเอกชน ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่นนั้นมีมายาวนาน ปีนี้นับเป็นปีที่ครบรอบ 126 ปีแห่งความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ คนญี่ปุ่นและคนไทยมีความสนิทสนมเป็นเพื่อนกันต่อเนื่องมาหลายรุ่น ทุกวันนี้มีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่หรือทำงานในประเทศไทยมากกว่า 50,000 คน โดยมีคนไทยในจำนวนที่เท่าๆกันอาศัยและทำงานในญี่ปุ่น ในด้านการลงทุน ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มาลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่งมีมูลค่าถึง 1.3 ล้านล้านเยน และการค้าระหว่างไทยและญี่ปุ่นมีมูลค่าสูงถึง 7.5 ล้านล้านเยนในปีที่แล้ว โดยมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศกว่า 1.6 ล้านคนเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน และการที่ประเทศทั้งสองมีประวัติศาสตร์ของการอยู่ร่วมกันยาวนาน มีความเจริญเติบโตในด้านการค้าการลงทุนในระดับสูง จึงทำให้ความไว้วางใจกันของรัฐต่อรัฐ ระหว่างบริษัทห้างร้านธุรกิจภาคเอกชน และระหว่างประชาชนต่อประชาชน

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อถึงการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปลายปี 2011 ว่า ท่ามกลางวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ถือว่าใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งส่งผลกระทบกับภาคการผลิตของไทยอย่างรุนแรง ทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2011 โตเพียงร้อยละ 0.1 แต่รัฐบาลร่วมกับประชาชนคนไทยก็ได้ฟันฝ่าภัยพิบัตินั้นมาได้ จนเศรษฐกิจกลับมาเติบโตถึงร้อยละ 6.4 ในปี 2012 ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องการย้ำถึงความประทับใจที่นักลงทุนชาวญี่ปุ่นนอกจากจะให้การช่วยเหลือผู้ที่ต้องประสบภัยแล้ว ก็ยังไม่เคยสูญเสียความมั่นใจในการลงทุน และมีหลายโรงงานที่กลับขยายการลงทุนในประเทศไทยด้วยซ้ำ

นายกฯ กล่าวอีกว่า นักลงทุนญี่ปุ่นนั้นลงทุนในประเทศไทยมานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงทศวรรษ 1980 ที่ประเทศไทยริเริ่มโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ Eastern Seaboard ประเทศญี่ปุ่นได้ร่วมลงทุนร่วมสร้างกับประเทศไทยตั้งแต่ยังเป็นที่ว่างเปล่า จนบัดนี้ 30 ปีต่อมา พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทยได้พัฒนาเป็นชุมชนที่มีนิคมอุตสาหกรรม โรงงาน ท่าเรือน้ำลึก และโครงข่ายพื้นฐานที่พรั่งพร้อม เป็นแหล่งอุตสาหกรรมและประตูสู่การส่งออกของไทยไปทั่วโลก สร้างรายได้ให้กับประเทศและนักลงทุนจำนวนมาก ญี่ปุ่นได้ร่วมมือกับไทยในการสร้างอนาคตที่สดใสสำเร็จมาแล้วสาหรับคนรุ่นปัจจุบัน และการที่ตนเดินทางครั้งนี้เพื่อเชิญชวนให้ทุกท่านช่วยกันสานฝันเพื่อสร้างอนาคตให้กับลูกหลานของสองประเทศอีกครั้ง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างการวางรากฐานการพัฒนาประเทศโดยมีแผนพัฒนาขับเคลื่อนประเทศในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า และเตรียมพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2015 ซึ่งการดำเนินการตามแผนจะพาให้ประเทศไทยเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ปกป้องการลงทุนของผู้ที่ลงทุนในประเทศไทย ทั้งจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางความเชื่อมต่อของภูมิภาค (Connectivity) ทั้งในอาเซียนและสู่ตลาดโลก

โครงการแรก คือ โครงการลงทุนด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในวงเงิน 350,000 ล้านบาท โดยโครงการนี้เป็นการบริหารจัดการน้ำอย่างครบวงจรที่จะช่วยปกป้องเขตเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมแล้ว ยังจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสาหรับภาคการเกษตร ซึ่งเป็นสาขาการผลิตที่มีความสำคัญที่เป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทย โครงการนี้จะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านน้า (Water Security) สำหรับการเกษตร อุตสาหกรรม และการอุปโภคบริโภค และเป็นการป้องกันอุทกภัยขนาดใหญ่ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

โครงการที่สอง คือแผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงข่ายพื้นฐานด้านการขนส่งของไทยเข้ากับฐานการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเกษตรหรืออุตสาหกรรมภายในประเทศ และเชื่อมโยงสู่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาค ทั้งนี้ จะเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางในภูมิภาค (Regional Hub) ทำให้เกิดการเจริญเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีโครงการลงทุนที่สำคัญ อาทิเช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟรางคู่ และรถไฟใต้ดิน การปรับปรุงถนนสายหลัก ด่านศุลกากรและเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน สนามบิน ตลอดจนโครงข่ายพื้นฐานอื่นๆ

โครงการที่สาม คือ โครงการนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกทวาย ในประเทศเมียนมาร์ ซึ่งเป็นความร่วมมือของสองประเทศ ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง และนายกรัฐมนตรี ได้ตกลงที่จะพัฒนา โดยเชื่อว่าจะเป็นโครงการที่สำคัญ ก่อให้เกิดการค้า การลงทุนและการเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค เนื่องจากทวายเป็นหนึ่งในสามเขตเศรษฐกิจพิเศษที่สำคัญที่สุดของเมียนมาร์ในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะเป็นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กว่า 200 ตารางกิโลเมตร ที่สามารถรองรับอุตสาหกรรมได้หลายรูปแบบแล้ว ท่าเรือน้ำลึกทวายจะเป็นประตูการค้าขนาดใหญ่ออกสู่มหาสมุทรอินเดียเชื่อมต่อไปยังตลาดฝั่งตะวันตกของโลก ได้แก่ เอเชียใต้ เอเชียตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป

อย่างไรก็ตามทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการที่ต้องการการลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งมีโครงการที่ต้องรองรับในหลายมิติ ตนและรัฐบาลไทยจึงต้องการที่จะเชิญชวนนักลงทุนจากประเทศต่างๆ เข้าร่วม อีกทั้งความสำคัญของการร่วมมือระหว่างเพื่อนที่มีความเชื่อมั่น จริงใจ และไว้วางใจกัน ว่า ประเทศไทยและญี่ปุ่นใช่ใครอื่นไกล ด้วยความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศของเราทั้งสองประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น