ผ่าประเด็นร้อน
ต้องเรียกว่าทั้งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย วันๆ ไม่ทำอะไร นอกจากคิดแต่จะช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นทั้งเจ้าของและเจ้านายเท่านั้น พอถูกสังคมรู้ทันจับได้และออกมาขัดขวางก็ถอยกลับไปชั่วคราว ล่าสุดเมื่อได้จังหวะก็ผลักดันเสนอเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้มาในรูปแบบในชื่อของร่างพระราชบัญญัติปรองดองแห่งชาติเพื่อตบตาอีกรอบ แต่เป้าหมายหลักยังไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดิม นั่นคือ ต้องการลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร แต่คราวนี้ยังมีความหมายชัดเจนไปกว่านั้นอีกก็คือ ต้องคืนเงินที่เคยถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยึดไปจากคดีคอรัปชั่นจำนวนกว่า 4.6 หมื่นล้านบาทกลับคืนมาด้วย
สำหรับคนที่รับอาสาเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวก็ยังเป็นคนเดิม คือ รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เพียงแต่ว่ามีความพยายามในการปิดช่องโหว่โดยหาเสียงสนับสนุนจากพวกเดียวกันให้มากกว่าเดิม อีกทั้งยังใช้กลไกรัฐเข้ามาช่วย โดยเฉพาะตำรวจเข้ามาป้องกันฝูงชนที่จะออกมาคัดค้านเอาไว้ล่วงหน้า
ในร่างพระราชบัญญัติในชื่อปรองดองดังกล่าวมีเนื้อหากระชับสั้นๆ แค่ 5-6 มาตราเท่านั้น หากฟังจากคำอธิบายของคนที่ “อาสารับงาน” มาทำคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สรุปว่าเป็นการล้างความผิดทางการเมืองให้กับทุกคนทุกสีที่ถูกดำเนินคดีตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงการชุมนุมครั้งสุดของกลุ่มพิทักษ์สยามเมื่อปลายปี 2555 ก็จะได้อานิสงส์ไปด้วย ความหมายก็คือ ทุกคน “หลุดหมด” นี่นคือใครที่ถูกดำเนินคดี หรือกำลังจะสั่งฟ้อง กำลังพิจารณาคดีในศาล ก็จะยุติเรื่องทั้งหมด ถือว่าไม่มีความผิด หรือไม่ได้กระทำความผิด อ้างว่านี่คือการปรองดอง เลิกแล้วต่อกันเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า และที่สำคัญเป็นการยุติความขัดแย้งเสียที
ในวัตถุประสงค์สำคัญ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ยังแจกแจงอีกว่า การปรองดองดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึงคำสั่งหรือกฎหมายที่ออกโดยคณะรัฐประหารคือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) โดยเฉพาะคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ถือว่าไม่มีผล หรือไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งนี่แหละสำคัญที่สุดอีกประเด็นหนึ่ง เพราะเกี่ยวข้องกับ ทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก นั่นคือคดีทุจริตที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งยึดทรัพย์กว่า 4.6 หมื่นล้านบาท ที่ คตส.รวบรวมหลักฐานและส่งฟ้อง รวมไปถึงคดีทุจริตอื่นๆที่ค้างอยู่ในศาลมากมายยาวเป็นหางว่าวก็ต้องยุติและที่ตัดสินไปแล้วก็จะลบล้างผิดให้
ความหมายก็คือ เมื่อคำสั่งของ คมช.ไม่ชอบ ถูกยกเลิก มันก็ตีความได้ไม่ยากว่า เมื่อไม่มีคำสั่ง หรือคำสั่งมิชอบ ก็ไม่มีความผิด เมื่อไม่มีความผิดก็ต้องคืนทรัพย์สินจำนวนดังกล่าวพร้อมกับดอกเบี้ยให้กับเจ้าของ คือ ทักษิณ ชินวัตร ในทันที และทีนี้ก็สามารถกลับบ้านอย่างเท่ตามที่ฝันเอาไว้เสียที เพราะ ร.ต.อ.เฉลิม ย้ำว่าจะเสนอเข้าสภาในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้ เพื่อให้ทันการบรรจุเข้าวาระพิจารณาแบบรวบรัด 3 วาระรวดในสมัยประชุมหน้าในเดือนสิงหาคม
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เครือข่ายลูกน้องดำเนินการแบบคู่ขนานกันมาก็คือ การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรองรับการผูกขาดอำนาจไว้ล่วงหน้า ซึ่งนาทีนี้สังคมรับรู้กันไปแล้ว เพียงแต่ว่ายังมีอุปสรรคขัดขวางอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องตีความว่าการแก้ไขมาตรา 68 ที่จะตัดสิทธิของประชาชนทำได้หรือไม่ กำลังลุ้นวุ่นวายใจอยู่ในเวลานี้ เพราะแม้จะมีการข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีการใช้กลไกรัฐที่เป็นพวกเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ หรือแม้แต่แจ้งความกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ช่วยขัดขวางศาลฯ ก็ยังไม่เป็นผล ซึ่งอีกไม่กี่วันศาลฯ ก็จะมีการพิจารณาชี้ออกมาแล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันเฉพาะร่างพระราชบัญญัติปรองดอง (ลบล้างความผิด) ที่กำลังเร่งรัดอยู่ในเวลานี้ต้องเรียกว่าเป็น “กฎหมายอุบาทว์” โดยแท้ เป็นการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของบ้านเมืองอย่างป่นปี้ เพราะมีเป้าหมายหลักเพียงเพื่อช่วยเหลือคนเพียงคนเดียวคือ ทักษิณ ชินวัตร หรือแม้แต่คนในครอบครัวของเขาที่ถูกดำเนินคดี ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเท่านั้น เพียงแต่ว่าเพื่อให้ดูดีและหวังจะตบตาคนอื่นให้คล้อยตามจึงต้องพ่วงล้างผิดให้คนอื่นพร้อมกันไปด้วย
ทั้งที่หากพิจารณาตามหลักการและเหตุผลแล้ว หากต้องการปรองดองอย่างแท้จริงก็ต้องค้นหาความจริงกันก่อน ซึ่งทางที่ดีที่สุดก็คือให้ศาลเป็นผู้พิจารณาชี้ขาดตามกระบวนการยุติธรรม จากนั้นเมื่อได้ผลประการใดก็ค่อยมาว่ากันอีกทีว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะในเมื่อทุกฝ่ายมั่นใจในความถูกต้อง ใครถูกหรือผิดก็ต้องให้ศาลชี้ขาดเสียก่อน อีกทั้งกรณีของ ทักษิณ หากว่าไปแล้วส่วนใหญ่เป็นคดีทุจริต และคดีอาญา ไม่ได้เป็นคดีการเมือง อีกทั้งที่กล่าวหาว่า คตส.ตั้งธงไม่ยุติธรรมนั้น คตส.ทำหน้าที่เพียงพนักงานสอบสวนและอัยการที่รวบรวมหลักฐานแล้วส่งฟ้อง และศาลเป็นคนพิจารณาตามหลักฐานและพิพากษาความผิด ซึ่งบางคดีก็ยกฟ้อง
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ถือว่ามีเจตนาช่วยเหลือทักษิณ ชินวัตร และคนในครอบครัวชินวัตรเป็นการเฉพาะ ถือว่าย่ำยีและทำลายหลักนิติรัฐ อย่างไม่ใยดี ถือว่า “เอาเปรียบอย่างอุบาทว์” ที่สุด เชื่อยิ่งผลักดันเร็วเท่าไหร่ยิ่งหายนะเร็วเท่านั้น เพราะหากคนในสังคมยอมให้ผ่านไปได้ก็เท่ากับว่า บ้านเมืองนี้จบสิ้นแล้ว เพราะถึงขนาด “ล้างผิดแล้วคืนเงินให้โจร” สามารถทำได้โดยง่าย ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่กันอย่างไรแล้ว!!