“จ่าประสิทธิ์” อภิปรายหนุนแก้รัฐธรรมนูญ อ้างมุกเดิมไม่เป็นประชาธิปไตย ชาติเดินไม่ได้ โวพวกอิจฉาเขียนจำกัดคนดีคนเดียว ป้อง “แม้ว” ไม่ได้ทำอะไรผิด จวกกฎหมายเผด็จการจากไอ้หน้าแหลมฟันดำ ด่าพวกค้านแก้ ม.68 ไอ้พวกรับของโจร “ส.ว.สมชาย” ลุกขอแจง “นิคม” ป้อง ชมสมุนแม้วพูดเรื่องจริง ประชาธิปัตย์รุมประท้วง สุดเอียงปล่อยโจกแดงจ้อนอกสาระ “อภิชาติ” ท้าลงเก้าอี้
วันนี้ (2 เม.ย.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 15.30 น. การประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา 3 ฉบับ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ทำหน้าที่ลุกขึ้นอภิปรายว่า ตนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่รัฐสภาได้เสนอ เพราะเป็นผลพวงมาจากเผด็จการที่ยึดอำนาจประชาชน ทำให้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าเป็นไปได้ตนอยากให้แก้ทั้งฉบับ ยกเว้นหมวด 2 พระมหากษัตริย์ เพราะไม่เช่นนั้นประเทศชาติก็จะเดินไปไม่ได้ ทั้งที่ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกของประชาชน มีผู้นำที่ดี แต่เมื่อเห็นว่าเขาทำดี ประชาชนนิยมรักเขาเยอะ ก็ทำใจไม่ได้ อิจฉาเขา มายึดอำนาจเขา แบบนี้มันไม่ยุติธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง เมื่อมีการสลับทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมเป็น นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานรัฐสภา และเกิดการประท้วงของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ในการอภิปรายของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ อาทิ น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม และนายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่ลุกขึ้นประท้วงประธานในที่ประชุมว่า ปล่อยให้ จ.ส.ต.ประสิทธิ์อภิปรายไม่อยู่ในเนื้อหาสาระ ปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นกลาง โดยที่พฤติกรรมของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ไม่ดี ซึ่งนายนิคมก็ขอให้ จ.ส.ต.ประสิทธิ์อภิปรายในประเด็น และให้มีการอภิปรายต่อ
จ.ส.ต.ประสิทธิ์อภิปรายต่อว่า ตนเคารพคำพูดของประธานในที่ประชุม ไม่ใช่วันดีคืนดีลุกขึ้นมาลากเก้าอี้ประธานรัฐสภา ตนอภิปรายอยู่ในข้อบังคับและเป็นจริงอย่างที่อภิปราย ตนขอเตือนให้ประธานระวังตัวเพราะเป็นคนเดียวกับที่ลากเก้าอี้ประธานลงมา และยืนยันว่ากฎหมายรัฐธรรมนูญมีการออกแบบมาเพื่อจำกัดคนดีเพียงคนเดียว เพียงเพราะเขาทำดีเกินหน้าเกินตาจนอิจฉาเขา โดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดจนบ้านนี้เมืองนี้วุ่นวายทั้งประเทศ อีกทั้งยังทำทุกวิถีทางทำให้พี่น้องคนเสื้อแดงของตนตายร้อยกว่าศพ บาดเจ็บพันกว่าคน เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญบ้าๆ ซึ่งเป็นกฎหมายเผด็จการจากไอหน้าแหลมฟันดำ
“อย่างไรก็ดี ในมาตรา 68 เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข เพราะมีคนถือโอกาสเสียดายของที่โจรปล้นมาแล้วตัวเองรักษาไว้ เพราะรู้พวกเราจะพรากไปจึงเสียดาย เลยวิ่งไปขอศาลรัฐธรรมนูญไอ้พวกรับของโจรทั้งหลาย เพราะไม้รู้จักคำว่าประชาชน ไม่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ แต่มาจากการคัดเลือกของ 7 คน เมื่อพวกเราตัวแทนประชาชนลุกขึ้นมาก็จะขัดขวางตลอด เห็นได้จากการที่รีบไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความ ดังนั้น เราต้องกำจัดโจร คืนทรัพย์สินให้ประชาชน” จ.ส.ต.ประสิทธิ์กล่าว
ทันทีที่ จ.ส.ต.ประสิทธิ์อภิปรายเสร็จสิ้น ทำให้นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ขอใช้สิทธิพาดพิง แต่นายนิคมจะไม่อนุญาต โดยยืนยันว่าเรื่องที่ จ.ส.ต.ประสิทธิ์พูดเป็นความจริง แต่นายสมชายขอโอกาสให้ได้อธิบายก่อน โดยกล่าวว่าโดยส่วนตัวไม่มีปัญหา พวกท่านก็รอไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องการเลือกตั้งตนก็ไม่ให้ราคา ถ้า จ.ส.ต.ประสิทธิ์จะมาเลือกตั้งแข่งกับตนที่เขต กทม.ก็ยินดี ทำให้นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ประท้วงการทำหน้าที่ประธานทันทีว่าไม่เป็นกลาง เพราะไปยืนยันคำพูดของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ว่าถูกต้องได้อย่างไร พร้อมกับขอท้าเดิมพันกับนายนิคมว่า ถ้าเรื่องที่ท่านพูดเป็นความจริงก็ขอให้ลาออกจาประธานวุฒิสภา แต่ถ้าตัวเองพูดไม่จริงจะเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต แต่ถ้าท่านไม่กล้า ท่านไม่ต้องลาออก แค่ไม่ต้องทำหน้าที่เป็นประธานในการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็พอ ท่านกล้าหรือไม่
ทั้งนี้ นายนิคมพยายามตัดบทโดยขอให้นายอภิชาตินั่งลง พร้อมกับบอกว่าเรื่องคำท้าไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับตน และให้มีการดำเนินการอภิปรายต่อไป
นายแพทย์เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายเพื่อชี้ให้เห็นถึงเหตุผลที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 3 มาตรา โดยเฉพาะในมาตรา 68 ที่มาของ ส.ว. จะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเห็นว่าตำแหน่งของ ส.ว. สรรหาเป็นการแต่งตั้งขึ้นโดยรัฐบาลสมัย คมช. ที่มีการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน เพราะถือเป็นการเสียเปรียบเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรในจังหวัดใหญ่ ดังนั้นส่วนตัวมีการสนับสนุนว่าการเลือกตั้ง ส.ว. จะต้องนำจำนวนของประชากรมาเปรียบเทียบว่าควรจะมี ส.ว. ทั้งหมดกี่คนในพื้นที่นั้น ส่วนอีก 2 มาตรา ก็เห็นควรที่จะต้องมีการแก้ไข เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เปรียบเสมือนเป็นการผลัดใบไม้ในป่าถึงเาที่ประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ควรจะมาจากประชาชน
ขณะที่นายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ไม่ควรที่จะเดินหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ แต่ควรที่จะแก้ไขปัญหาของประชาชนที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนี้มากกว่า