“อภิสิทธิ์” ขอระวังหลังเหตุ “การุณ-แทนคุณ” ปะทะกัน หวั่นเลือกตั้งซ่อมเดือด รับยากแต่สู้เต็มที่ เชื่อกระทบถึง รบ. บี้รัฐฯ หยุดสาวกโชว์ถ่อยหลังป่วนเวทีผ่าความจริง ปชป. เข้าใจ ตร.ลำบากใจ ถามจะป่วนไปตลอดหรือไม่ ซัดค้นรถทำตัวเหนือ กม. รบ.ให้ท้ายสองมาตรฐานซะเอง คาดดันเงินกู้ 2 ล้านล้านเข้าสภาปลายเดือนนี้ ชี้สอบไม่ได้อย่างที่พูด แนะแจงเพื่อโปร่งใส หนุนคำ “ชูชาติ” รบ.กดดันศาล หวั่นกู้ไม่ผ่าน ยันเจอกันที่ศาล รธน.
วันนี้ (12 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเป็นห่วงกรณีที่เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างนายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.กทม. กับนายแทนคุณ จิตต์อิสระ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 12 ในงานประชุมประชาคมเอสเอ็มแอลที่ดอนเมือง โดยขอให้ทุกฝ่ายระมัดระวังเพราะไม่อยากให้กระบวนการเลือกตั้งทำให้เกิดความขัดแย้งหรือความรุนแรง ดังนั้นทุกฝ่ายจึงต้องระมัดระวังในการปฏิบัติและหาทางหลีกเลี่ยงอย่าให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักการเมืองและพรรคการเมืองทุกฝ่ายต้องช่วยกันอย่าทำให้เกิดบรรยากาศความขัดแย้งหรือความตึงเครียด เพราะกระบวนการเลือกตั้งเป็นกระบวนการสำคัญในระบอบประชาธิปไตยควรดำเนินไปในบรรยากาศที่ไม่มีความขัดแย้ง แต่ไม่หนักใจที่ กกต.กำหนดวันเลือกตั้งเร็วทำให้มีเวลาหาเสียงสั้น ส่วนอิทธิพลในพื้นที่ของนายการุณจะมีผลต่อการเลือกตั้งซ่อมหรือไม่นั้น ตนเห็นว่าพรรคและผู้สมัครต้องไม่หวั่นไหวเพราะมีหน้าที่ในการทำงาน เสนอตัว เสนอความคิดแก่ประชาชนจะหวั่นไหวไม่ได้ แต่การจะทำอะไรต้องระมัดระวัง อย่าให้เกิดการกระทบกระทั่งจะดีที่สุด
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (13 พ.ค.) คณะกรรมการบริหารพรรคจะพิจารณาตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมเขตดอนเมือง ซึ่งนายแทนคุณก็เสนอตัวมาแล้ว และทำงานในพื้นที่มาต่อเนื่อง แต่ต้องรอดูมติกรรมการบริหารพรรคก่อน โดยพรรคมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่าจะดูจากคนที่มีความตั้งใจในการรับใช้พี่น้องชาวดอนเมืองในฐานะ ส.ส. มีคุณสมบัติเป็นนักการเมืองที่ดี โดยจุดขายของพรรคยังมีเรื่องของความเป็นพรรคการเมืองด้วย เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะเป็นการแข่งกันระหว่างสองพรรคใหญ่
ทั้งนี้ พรรคยืนยันว่าแม้ไม่มีโอกาสได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในพื้นที่นี้มานานมากแต่ก็พยายามที่จะเข้าไปทำงานรับใช้ประชาชน และการเลือกตั้งซ่อม ส.ก.ที่ผ่านมาก็ได้ ส.ก.ในเขตดอนเมือง ดังนั้นพรรคจะทำเต็มที่เพราะคิดว่าเป็นโอกาสแม้จะทราบว่าเป็นพื้นที่ที่ยากที่สุดพื้นที่หนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ก็จะทำเต็มที่ แม้ว่าในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งที่ผ่านมาคะแนนในเขตนี้พรรคจะได้น้อยกว่าพรรคเพื่อไทยแต่ก็ไม่คิดว่าจะทำให้โอกาสในการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ลดลง เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นคนละสนาม และเชื่อว่าผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะมีนัยไปถึงการทำงานของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลก็คาดหวังในการเลือกตั้งซ่อมไม่ต่างจากฝ่ายค้าน
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อถึงกรณีที่แดงเชียงรายปิดทางออกสนามบินเชียงราย และแดงพะเยาบุกป่วนเวทีผ่านความจริงของพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 11 พ.ค.ที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาฯ ในฐานะ ส.ส.พะเยา ระบุว่าจะไม่มีการป่วนเวที ว่า ตนไม่ทราบข้อเท็จจริงว่ามาจากเขตไหนอย่างไร เพราะมีหลายเขตเลือกตั้ง และนายวิสุทธ์ก็เป็น ส.ส.ในเขตหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ขอย้ำว่าไม่ว่าจะมาจากไหนหากผู้นำพรรคเพื่อไทยที่เป็นเนื้อเดียวกับคนเสื้อแดงมีความตั้งใจจริงที่จะเปิดโอกาสให้แต่ละพรรคการเมืองได้ทำงาน เหตุการณ์อย่างนี้จะไม่เกิด และไม่เกินวิสัยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.ที่จะดูแลไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่สนามบินเชียงรายที่มีความพยายามขัดขวาง ค้นรถคณะของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม จึงขอเรียกร้องไปยังพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลว่าทำไมจึงไม่มีความพยายามที่จะหยุดสิ่งเหล่านี้ ทั้งนี้ตนเห็นใจเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ซึ่งพยายามทำงานแต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก วางตัวยาก ดังนั้นดีที่สุดฝ่ายการเมืองต้องเป็นคนหยุดพฤติกรรมเหล่านี้
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่การ์ดของเวทีผ่าความจริงทนไม่ได้ชกคนเสื้อแดงที่เข้ามาป่วนหน้าเวทีว่า ถ้าแต่ละฝ่ายให้สิทธิในการเคลื่อนไหวโดยไม่ไปปั่นป่วนหรือก่อกวนก็จะไม่เกิดเหตุการณ์บานปลาย แต่ยังดีที่ฝ่ายที่ไม่ใช่เสื้อแดงมีความอดทนอดกลั้น เพราะฝ่ายเสื้อแดงจะรุกเข้าไปในการทำกิจกรรมของคนอื่นแต่ก็ผ่านกันมาได้ อย่างไรก็ตามต้องถามกลับไปว่าพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงจะทำงานการเมืองอย่างนี้ตลอดไปใช่หรือไม่ เพราะเห็นว่าคนอื่นอดทนอดกลั้นจึงใช้วิธีการขัดขวาง ก่อกวน ยั่วยุตลอด หากฝ่ายอื่นทำบ้างบ้านเมืองก็จะวุ่นวายไปหมด ดังนั้นจึงต้องถามว่าทำไมจึงไม่อยู่ในกติกา มารยาทเดียวกัน ซึ่งในขณะนี้คนอึดอัดเยอะเพราะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ใช่แค่เกิดกับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ยังรวมถึงการปฏิบัติต่อศาล และสื่อมวลชนบางส่วนด้วย เมื่อมากเข้าก็มีความอึดอัดสะสมเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งมีสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ทำผิดกฎหมาย ตำรวจเกรงใจ รัฐบาลให้ท้าย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ส่วนจะยุติภาวะนี้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่าจะหยุดหรือยัง เพราะตนไม่ขัดข้องเรื่องการใช้สิทธิแสดงออกตามกฎหมาย แต่ตนไม่คิดว่าใครจะมีสิทธิค้นรถผู้อื่นหากไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจตามกฎหมาย และทำไมจึงมีคนใช้รถกระจายเสียงมาก่อกวนการปราศรัยได้ อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าสิทธิเสรีภาพ
ทั้งนี้ เห็นว่าสภาพบ้านเมืองในปัจจุบันนั้นกระบวนการทางกฎหมายมีสภาพบังคับใช้ได้จริงกับคนบางกลุ่มเท่านั้นไม่ไดับังคับใช้อย่างเสมอภาค แต่เป็นสองมาตรฐานอย่างที่พวกเขาเคยเป็นคนใช้คำพูดนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมเลย ตนมั่นใจว่าหากคนกลุ่มอื่นทำคงถูกดำเนินการหมด ไม่ต่างอะไรจากการที่มีความรุนแรงเกิดขึ้นกับคนที่วิจารณ์นายกรัฐมนตรี
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุถึงร่าง พ.ร.บ.กู้เงินสองล้านล้านบาทของรัฐบาลว่า อยากให้ประชาชนจับตาว่าอาจจะมีการนำกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาในสภาสมัยวิสามัญที่จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ปลายเดือนนี้ เพราะมีการเร่งรัดพิจารณาในกรรมาธิการฯ มาก แม้กระทั่งจะมีการตั้งที่ปรึกษาคนนอกเข้ามาช่วยตรวจสอบก็ถูกปฏิเสธจากฝ่ายรัฐบาลทั้งที่บอกตลอดเวลาว่าพร้อมที่จะให้ตรวจสอบแต่กลับไม่สามารถตรวจสอบได้จริง อีกทั้งรายชื่อที่ปรึกษาซึ่งมีการเสนอไปนั้นมีชื่อตัวแทนขององค์กรต่อต้านการคอร์รัปชันของเอกชนที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม เคยไปลงนามข้อตกลงคุณธรรมว่าจะให้มีการตรวจสอบการกู้เงินสองล้านล้านบาทอย่างโปร่งใสด้วย ทำให้เป็นปัญหาว่ารัฐบาลโฆษณาว่าอยากทำงานเรื่องความโปร่งใสกับภาคส่วนต่างๆ แต่เมื่อถึงเวลากลับปิดกั้น ซึ่งตนพูดมาโดยตลอดว่าตั้งแต่งบกลาง 1.2 แสนล้านบาท เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท มาจนถึงเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ยังไม่เห็นความจริงใจของรัฐบาลที่จะให้คนเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงคุณธรรมจริงๆ ก็ควรเปิดรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการเงินกู้ทั้ง 3.5 แสนล้านบาท และ 2 ล้านล้านบาทอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้คนนอกเข้าถึงข้อมูล แสดงความเห็นได้
ส่วนกรณีที่นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาออกมาตั้งข้อสังเกตว่า การคุกคามศาลรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพราะรัฐบาลเกรงว่าจะเกิดปัญหากับเงินกู้สองล้านล้านบาทในชั้นศาลรัฐธรรมนูญจนไม่สามารถบังคับใช้ได้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนย้ำมาโดยตลอดว่ารัฐบาลรู้ตัวว่าพยายามทำหลายเรื่องที่หมิ่นเหม่ต่อการขัดรัฐธรรมนูญ จึงพยายามกดดันศาลล่วงหน้าเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่ากฎหมายกู้เงินสองล้านล้านบาทหลีกเลี่ยงกระบวนการงบประมาณและการใช้จ่ายเงินตามรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นจะต้องมีข้อโต้แย้งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญแน่นอน