xs
xsm
sm
md
lg

“คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 10 พ.ค. 2556 (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ช่วงที่ 2

จินดารัตน์ - กลับมาช่วงที่ 2 คุยทุกเรื่องกับสนธินะคะ หลายคนรอเรื่องนี้

กมลพร - รอเรื่องนี้ เขายังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไร จะรอเรื่องนี้ได้ยังไง

จินดารัตน์ - ไม่ โปรยไว้แล้วหลายครั้ง เพราะวันนี้พลาดไม่ได้เด็ดขาดเลยนะคะ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราก็เห็นข่าวกันมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที องครักษ์พิทักษ์นายกฯ

กมลพร - หูย ออกมาขยันขันแข็งมาก หลังจากที่มีบรรดาเฟซบุ๊กไปว่า ซึ่งก็ไม่ได้ระบุตัวนะว่าใคร แล้วหลังจากนั้นก็มีแฮกเกอร์เข้าไปแฮกสำนักปลัดสำนักนายกฯ แล้วก็มีรูปมีภาพขึ้นมา เขาก็ออกมาแอคทีฟ ทำงานตั้งแต่จะไล่จับ ไล่ปิดเฟซบุ๊ก จนถึงกระทั่งสั่งปิดเว็บไซต์

จินดารัตน์ - แล้วอะไร สรุปสุดท้ายออกมาบอกว่าตัวเองไม่มีอำนาจ

กมลพร - ไม่มีอำนาจสอย

จินดารัตน์ - สุดท้าย คือมันมาจากคำนี้แหล่ะ วลีเด็ดของคุณชัย ราชวัตร ก็ร้อนตัวกันไปว่าเป็นใคร ว่านายกฯ ทำไม "กะหรี่แค่ขายตัว แค่หญิงชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ"

สนธิ - thank you thank you thank you

กมลพร - three times

จินดารัตน์ - thank you three times. ก็เลยเป็นที่มาว่ารัฐมนตรีกระทรวงไอซีทีขยันขันแข็งทำงาน แล้วก็มีคนแฮกเข้าไปในเว็บไซต์ของสำนักนายกฯ ปรากฏว่าล่าสุดมีหลายคนบอกว่า เอ๊ะ ตกลงพรรคเพื่อไทยเขาพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่าคุณชัย ราชวัตร ว่านายกฯ ว่าเป็นผู้หญิง ... ดูถูกเพศแม่ ดูถูกผู้หญิงโสเภณีหากิน

กมลพร - ตอนแถลงน้ำตารื้นเลยนะ

จินดารัตน์ - ดราม่าได้อีก วันนี้เราก็เลยอยากจะรบกวนคุณสนธิค่ะ ในฐานะ .. ก็รู้ทุกเรื่อง

กมลพร - นักประวัติศาสตร์ แหม เขาเรียนประวัติศาสตร์มา

จินดารัตน์ - คือคำว่ากะหรี่ มีที่มาที่ไป เราพูดกันตรงๆ นะ คือคำนี้มันไม่ใช่คำหยาบคายอะไร มันเป็นคำเรียกผู้หญิงที่มีอาชีพค้าประเวณี แต่ถามว่าคำว่ากะหรี่มันมายังไง ทำไมเขาถึงเรียกกะหรี่

กมลพร - อันนี้พูดจริงๆ มันมีความสับสนเกิดขึ้น เรายังเคยคุยกันในหมู่ว่า สรุปคำนี้มันมาจากไหน มันมีเรื่องโจ๊กถึงขนาดไหน โปรดิวเซอร์เราบอกว่า เขาว่ากันว่าผู้หญิงอาชีพนี้ไปยืนทำมาค้าขายอยู่หน้าร้านขายข้าวแกงกะหรี่ เขาก็เลยเรียกผู้หญิงพวกนี้ว่ากะหรี่

จินดารัตน์ - ใช่เหรอคะ

สนธิ - ไม่ใช่หรอก ผมไปค้นเรื่องนี้มา เขาเป็นการวิจัย รีเสิร์ชที่มีความหมายและสนุกสนานที่สุด โสเภณีมันมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว นานมาแล้ว สมัยก่อนไม่ได้เป็นเรื่องต่ำช้านะ สมัยนั้น สมัยดึกดำบรรพ์ ผู้หญิงคนไหนถ้าไม่ได้เสียตัว คุณไปแต่งงาน ไปกินอยู่กับสามีคุณ สามีคุณไม่ชอบนะ เขาชอบผู้หญิงที่เสียตัวมาแล้ว

จินดารัตน์ - คือพูดกันตรงๆ ก็คือมีประสบการณ์

สนธิ - มีประสบการณ์ แล้วก็ ถึงจุดๆ หนึ่ง ผู้หญิงบางคนเคยมีอะไรกับผู้ชายมาแล้ว ไปมีสามี ต้องพยายามหาทางที่จะมีสัญลักษณ์อะไรบนตัวบางอย่าง เพื่อให้สามีตัวเองรู้ว่าตัวเองผ่านมาแล้ว แล้วยุคนั้นสมัยนั้นมันก็ไม่ได้เป็น ... สมัยนั้นผู้หญิงที่เสียตัวให้ฟรีๆ สมัยก่อนต้องเสียตัวฟรีก่อนนะ แล้วค่อยคิดเงินนะ เสียตัวคิดเงินยังไม่มีนะ สมัยนั้นเสียตัวในทางศาสนา ในยุคหนึ่งในอินเดียตอนนั้น เสียตัวเพื่อบูชาเจ้าแม่กาลี ซึ่งในยุคนั้นเขาเรียกทุรคาบูชา คือการเสียตัวเพื่อเสียพรหมจารีย์ คือพูดง่ายๆ ว่า นั่งอยู่ในศาลเจ้าแม่กาลี แล้วมีใครแปลกหน้าเดินเข้ามา แล้วให้เขาเลือก พอเลือกก็ยอมเสียให้เขา พอเสียให้เขาเสร็จตัวเองก็กลับบ้าน ไปมีสามีได้ ในยุคนั้น

ในยุคสมัยเมืองจีน นานมาแล้ว เขาเรียกยุคจ้านกั๋ว ยุคเลียบก๊ก ยุคสมัยที่สามก๊ก ก่อนสามก๊ก ยุคพวกนั้นผู้หญิงเหมือนกับไม่มีค่า ไม่มีราคา สมมุติว่าเรามีนางทาส หรือมีนางระบำอยู่ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นถึงอ๋อง หรือเป็นฮ่องเต้ หรือเจ้าครองแคว้นอะไร แค่คหบดีก็จะมีนางระบำของตัวเอง เกิดอยากจะยกนางระบำคนนี้ มีแขกมาเยือน ชอบใจ ชอบแขก หรือจะเอาใจแขก เอ้า ยกนางระบำที่สวยที่เซ็กซี่ ท่านเอาไปเลย ก็คว้าไป คือเป็นเพศซึ่งต้องทำใจ แล้วในสังคมของคนซึ่งอยู่นอกกำแพงเมืองจีน สังคมพวกซึ่งผมให้อ่านหนังสือเรื่องขุนศึกคู่บัลลังก์ ก็จะเห็นได้ชัดว่าเมีย เมียท่านข่าน ท่านข่านคือหัวหน้าเผ่า ท่านข่านเสียชีวิต ลูกท่านข่านขึ้นมาเป็นข่านแทนพ่อ ก็สามารถเอาเมียพ่อไปเป็นเมียตัวเองได้เช่นกัน เหมือนกับว่ายอมกัน เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ไม่ได้ถือสาอะไรกันทั้งสิ้น

เจงกิสข่าน เมียตัวเอง ก่อนที่ตัวเองจะเป็นเจงกิสข่าน เมียตัวเองโดนฉุดคร่าไป แล้วก็ไปเป็นเมียของหัวหน้าเผ่าอีกคนหนึ่ง จนกระทั่งฉุดเมียตัวเองกลับมาได้ทีหนึ่ง ต่อสู้ ฆ่าหัวหน้าเผ่ากลับมา เมียตัวเองก็ท้องกับหัวหน้าเผ่าคนนั้น ก็ยังเลี้ยงลูกจนกระทั่งโตขึ้นมา แต่เผอิญเจงกิสข่านพอลูกโตแล้วรู้ความก็ฆ่าทิ้ง อะไรทำนองนี้นะครับ

ถ้าตามที่ผมไปค้นมา มันมีประเพณีของ การเสียสละพรหมจารีย์โดยการร่วมประเวณีกับชายแปลกหน้า แล้วก็เริ่มมีสิ่งตอบแทนในยุคบาบิโลน คือผู้หญิงจะนั่งอยู่ในวิหาร เขาเรียกวิหารเจ้าแม่อีชตาร์ นั่งอยู่แล้วจะมีผู้ชายเดินเข้ามา ถ้าชอบผู้หญิงคนไหนก็จะโยนตังค์ให้ ผู้หญิงคนนั้นก็จะลุกตามผู้ชายไป

จินดารัตน์ - อ๋อ นั่นคือที่มาของการเสียสตางค์

สนธิ - แต่นั่นเป็นการเสียสตางค์เพื่อให้ผู้หญิงยอมเสียพรหมจารีย์ เมื่อเสียพรหมจารีย์แล้ว ผู้หญิงถือว่ามีโชควาสนา ถึงจะเป็นชายแปลกหน้าไม่รู้จัก ก็กลับบ้านได้เลย แล้วก็ไปแต่งงานมีผัว แล้วเขาถือว่าจะมีโชคลาภ ส่วนผู้หญิงที่หน้าตาไม่ดีก็นั่งรอไปเรื่อยๆ ก็อาจจะมีประเภทรอจนแก่เฒ่า
ทีนี้ ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือพอมาในอินเดียมันมีเรื่องสมัยกามนิต กับวาสิฏฐี มันมีชื่อ เขาเรียกว่านางนครโสเภณี นางนครโสเภณีก็คือนางงาม หญิงงามเมือง นางนครโสเภณี เป็นเหมือนกับเป็นซ่องกะหรี่ อันแรกที่อยู่ในนั้น เอามาบริการผู้ชาย เอามาบริการคนโน้นคนนี้ อยู่ที่กรุงอุชเชนี มีชื่อมาก จนกระทั่งแคว้นต่างๆ มีการอิจฉาริษยากัน ว่าทำไมที่กรุงอุชเชนีถึงมีนางนครโสเภณี มีนางงามเมืองได้ นี่ก็เป็นที่มาที่พัฒนาไปเรื่อยๆ พอพัฒนาไปเรื่อยๆ ไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ก็เริ่มมีซ่องอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นสมัยกรีก คือมีนักปรัชญาคนหนึ่งมีความรู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นถ้าจะต้องควบคุมให้ผู้ชายไม่ไปมีชู้กับคนโน้นคนนี้ ควรจะตั้งซ่องขึ้นมา เอาผู้หญิงขึ้นมา แล้วผู้ชายไปเที่ยวก็จะต้องเอาเงินให้ผู้หญิง แล้วผู้หญิงก็ต้องเอาเงินนั้นมาทำบุญ แล้วก็มาเก็บภาษีด้วย ทั้งทำบุญและรัฐ รัฐก็เก็บภาษีจากผู้หญิงคนนั้น นั่นคือที่มาของการทำมาหากิน

ส่วนเมืองไทย คำว่าช็อกการี หรือกะหรี่ มันมาสมัยอยุธยา สมัยอยุธยาจะมีแขกมาจากอิหร่าน และแขกมาจากอินเดีย เขาเรียกผู้หญิงหากินว่า โฉกาฬี เมืองไทยก็เลยเปลี่ยนเป็นช็อกการี แล้วก็กลายเป็นกะหรี่ไป ในที่สุด แต่สรุปมันก็คือหญิงงามเมืองนั่นเอง แต่จริงๆ แล้วเขา prefer ที่จะให้เรียกว่าหญิงงามเมืองมากกว่า

มันก็มีคำว่ากะหรี่ เผอิญมันก็ไปเหมือนกับที่นายใหม่เขาบอกว่า ตำนานมีคนเล่าให้ฟังว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งไปยืนหากินอยู่หน้าร้านขายแกงกะหรี่ เลยเรียกว่ากะหรี่ จริงๆ แล้วไมใช่ แต่ถ้าร้านขายแกงกะหรี่น่ะ มันมี ที่แพร่งสรรพศาสตร์ ตรงถนนหน้าศาลเจ้าพ่อเสือ ถนนที่ตัดเข้าไปหาเจ้าพ่อเสือ ถ้าวิ่งถนนเส้นนั้นมา จะมาทะลุตรงศาลาว่าการ มันจะมีร้านขายแกงเนื้อ แกงกะหรี่ แกงไก่ อยู่เจ้าหนึ่งเก่าๆ แล้วแหล่งนั้นเป็นแหล่งซ่องโสเภณีเลย เต็มไปหมดเลยแถวนั้น ข้างหน้า ข้างหลัง เต็มไปหมดเลย ผมจำได้ที่เจอกับตัวผมเอง ผมไปนั่งแล้วผมสั่งแกงไก่ พี่เอาอะไร แกงไก่ 1 เนื้อ 2 แล้วมันหันไปที่โต๊ะๆ หนึ่ง มีผู้หญิงนั่ง 3 คน มันหันไปชี้เลย พี่ผู้หญิงกะหรี่ 3 ใช่ไหม ผู้หญิงบอกใช่ แล้วหนักหัวพ่อมึงเหรอ นี่เรื่องจริง คือตำนานบอกว่า เพิ่งมาทำงานแล้วลงมากินข้าว มากินร้านนี้ มันไม่รู้ไงว่าเขาเรียกกัน กะหรี่ 1 กะหรี่ 2 อ้าว หรี่ 2 อีนี่เห็น 3 คนเข้าใจว่า สั่งกะหรี่ นี่คือที่มาตำนานคำว่า กะหรี่ หมายถึงโสเภณี มาจากคำว่า นครโสเภณี คือหญิงงามแห่งนคร หรือที่คนโบราณเขาเรียก หญิงงามเมือง

เพราะฉะนั้นแล้วราชบัณฑิตสถานมีให้บอกว่า หญิงงามเมือง หญิงคนชั่ว เป็นเพราะผู้หญิงพวกนี้อาศัยเมือง หรือ อาศัยนครเป็นที่หาเลี้ยงชีพ ตามชนบทนั้นไม่มี เพราะการเป็นโสเภณีเป็นที่รังเกียจของสังคม ผู้หญิงพวกนี้จึงอาศัยชุมชนเป็นที่หากิน อีกประการหนึ่งในเมือง หรือคนนั้นมีลูกค้ามากมายเป็นการสะดวกแก่การค้าประเวณี ภาคอีสานเขาเรียกพวกนี้ว่าอะไรรู้ไหม หญิงแม่จ้าง คือผู้หญิงที่รับจ้างกระทำชำเรา สำส่อนโดยไม่รับเงิน หรือผลประโยชน์เป็นค่าจ้าง

เพราะฉะนั้นแล้วจริงๆ คำว่า นครโสเภณีมันมาจากอินเดียสมัยกามนิตวาสิฏฐี ผมเล่าให้ฟังแล้ว ทีนี้เมืองไทยโสเภณีมีมานานแล้ว เป็นอาชีพที่เกิดขึ้นเองนะ ตามธรรมดาของชุมชน หรือได้รับอิทธิพลจากอินเดีย แต่เมืองไทยมันไม่ใช่เป็นอาชีพที่น่าชื่นชม กลับเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจ คนบอกว่าผู้หญิงดีๆ ทำไมต้องมาขายเนื้อขายตัว แต่การขายเนื้อขายตัวตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณคือ อาชีพชนิดหนึ่งที่ไม่ต้องลงทุน ใช้ตัวเองเป็นการลงทุน เพราะคนถ้าไม่มีทุนในการทำมาค้าขายบางทีเวลามันจะอดตายมันนึกอะไรไม่ออก แต่ว่าการขายเนื้อขายตัว การยอมให้ตัวเองต้องเสียเนื้อเสียตัว หรือโดนชำเรา หรือโดนรุกรานทางเพศในประเทศจีนในยุคสงครามมีอยู่ประจำ ผู้หญิงที่ไม่มีข้าวกิน ผู้หญิงที่ต้องการจะช่วยสามี ช่วยลูกให้พ้นจากความตายจากทหารญี่ปุ่น ต้องยอมให้ทหารญี่ปุ่นเข้าไปชำเราเพื่อแลกอิสรภาพ

แม้กระทั่งสุนทรภู่ อาชีพนี้มีมาเรื่อยๆ จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีแหล่งประจำอยู่ที่สำเพ็งนะ นิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่เคยพูดถึงเมื่อสุนทรภู่เดินทางไประยองในตอนยาม 2 นั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา ได้ยินเสียงผู้หญิงเหล่านี้ขับร้องเพลงออกมา สุนทรภู่บอกว่า ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน มีซุ้มซอกตรอกนางเจ้าประจาน ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง ลูกค้าของสมัยนั้นคงเป็นคนจีน พอคนจีนมาจากเมืองจีน หาเมียไม่ได้ สมัยก่อนคนจีนจะแต่งงานกับคนจีนด้วยกัน แต่หาไม่ได้ก็ต้องมาเที่ยวผู้หญิงงามเมือง

ทีนี้ตำนานโสเภณีจำได้ไหมตำนานยายแฟง วัดคณิกาผล ยายแฟงมีอาชีพค้าขาย และเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่อมนางโลม ก็มีความรู้สึกว่าอยากจะสร้างวัด เพื่อให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 สนใจ เลยสร้างขึ้นมา เขาก็เรียกว่าวัดใหม่ยายแฟง เสร็จแล้วพระเจ้าอยู่หัวก็สนใจ ยายแฟงเลยไปกราบบังคมทูลขอให้ตั้งชื่อหน่อย พระองค์ท่านตั้งชื่อว่า วัดคณิกาผล วัดที่มีผลมาจากการทำธุรกิจแบบนี้ แล้วสมัยนั้นเขาเรียกกันว่า คุณแม่ และพอพักหนึ่งที่ญี่ปุ่นเข้ามาเมืองไทยเยอะ เลยเปลี่ยนคำว่า คุณแม่ เป็นมาม่าซัง แล้วตอนหลังจะมีเปลี่ยนเป็นในสมัยรัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 พวกซ่องกะหรี่กลายเป็นสำนักโคมเขียว ติดโคมสีเขียว

ฉะนั้นถ้าใครอยากสนุกๆ ก็เอาโคมเขียวติดไว้หน้าบ้านก็ได้ สำนักนี้ถูกแขวนกระจกเขียวเป็นเครื่องหมาย สมัยนั้นมันมีตะเกียง มีแหล่งที่ขึ้นชื่อมาก เขาเรียกว่าสำนักตรอกเต๊า อยู่เจริญกรุง ตรอกเต๊า จะมีบ้านสีเขียว แขวนโคมเขียว สะอาดสะอ้าน เป็นพวกเจ้าคุณ คุณพระไปเที่ยวกัน หนีคุณนายคุณหญิงไปเที่ยว แล้วสำนักโคมเขียวที่มีชื่อ ชื่ออะไรรู้ไหม สำนักยี่สุ่นเหลือง เป็นซ่องมีระดับ เป็นตึกใหญ่ มีรั้วรอบขอบชิด อยู่ลึกไปจากถนนเจริญกรุง ตรงข้ามตรอกเต๊า สะอาดสะอ้าน แล้วขุนวิจิตรมาตรา หรือที่ชื่อ กาญจนาคพันธุ์ เขาเขียนถึงตรอกเต๊าอย่างนี้ เป็นการค้นคว้าที่ผมมีความสุขที่สุด

ในตรอกเต๊านี้ เป็นห้องแถวยาวติดต่อกันไปตลอดตรอก ทุกห้องแขวนโคมเขียวไว้หน้าห้องเป็นแถว และเวลาก่อนค่ำ จะเห็นพวกโสเภณีเขาจุดรูปราวกำมือหนึ่ง ประมาณสัก 20 ดอก มาลนที่ใต้โคมเขียวหน้าห้อง บอกลนทำไม เขาบอวก่าลนให้แขกเข้ามามากๆ

จินดารัตน์ - เหมือนขายของได้แบงก์แล้วมาตบๆ สินค้า

สนธิ - แล้วคนเขียนเขาบอกว่า ราคาของผู้หญิงสมัยนั้น 6 สลึง หรือ 2 บาท ใช่ไหม 6 สลึงถึง 2 บาทเท่านั้นเอง ทีนี้ตอนหลังซ่องโสเภณีในปี 2500 มีซ่องโสเภณีเกิดขึ้นเยอะเลย ย่านที่ดังมากๆ อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ย่านแพร่งสรรพศาสตร์ไง ที่ร้านขายข้าวกะหรี่ ข้าวมันไก่ โบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้าซ่องแถวบางลำภูที่เราอยู่แถวนั้นมี ส่วนมากจะไปเรียกชื่อตามสถานที่ต่างๆ เช่น ซ่องตรอกไข่ ซ่องตรอกหน้าโรงหวย ซ่องสะพานถ่าน ซ่องสะพานยาวนางเลิ้ง ซ่องซอยกลางสุขุมวิท บางทีก็เรียกชื่อตามชื่อแม่เล้า เช่น ซ่องตาหยิบ ซ่องป้าอบ ซ่องน้าเก๋ ซ่องตาเพิกศรีย่านอะไรอย่างนี้นะครับ มีหมดเลย แล้วก็ย่านแพร่งสรรพศาสตร์จะมีเยอะ มีตรอกเล็กเรียก ตรอกสาเก เต็มไปหมดเลย เขาบอกว่า สมัยก่อนโรงแรมเมื่อ 40 ปีที่แล้ว โรงแรมแถวบางลำภูทุกโรงแรมเลย ซ่องกะหรี่หมดเลย แล้วคนที่เป็นซ่องกะหรี่คือ อาโก ทำไมถึงเรียกโก เพราะว่าโกนี่คือชื่อ แปลว่า พี่ชายในภาษาไหหลำ คนไหหลำเป็นเจ้าของซ่องกะหรี่เยอะที่สุด อาชีพคนไหหลำ 1.เจ้าของซ่องกะหรี่ 2.เจ้าของร้านขายข้าวมันไก่ 3.ร้านซักรีด 4.โรงแรม ถ้าโรงแรมคือ คนไหหลำแต่ก่อนทำเรื่องโรงแรม ตั้งแต่ใหญ่ไปถึงโรงแรมซ่อง มีหมดเลย อาโกสมัยก่อนคนโบราณเขาเที่ยว จะมีผู้หญิงรวมอยู่ในห้อง เป็นผู้หญิงสมัยก่อนจะเป็นผู้หญิงที่มาจากเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน เต็มไปหมดเลย มาแล้วนั่งรวมในห้อง ขึ้นไปก็ไปเลือก พอเลือกเสร็จพาไปที่ห้อง อาโกจะเดินเข้ามาเคาะประตู และถือขวดข้างในจะเป็นกระโถนนำขวดน้ำ เอาไว้

กมลพร - อ่อ โรงแรมสมัยก่อนไม่มีห้องน้ำ

สนธิ - ไม่มีสมัยก่อนไม่มีห้องน้ำ

จินดารัตน์ - ไม่มีห้องน้ำในตัว

สนธิ - เพราะฉะนั้นแล้วบางลำภูสมัยก่อนมีหมด โรงแรมบางลำภูทุกโรงแรมเป็นซ่องหมด ยกเว้นโรงแรมเดียวคือ โรงแรมตรัง เคยเห็นใช่ไหมโรงแรมตรัง ที่บางลำภูไม่มี แถวบางขุนพรหมก็มีชื่อ เก๋ ก็รู้เชียงใหม่เขามีกำแพงดิน

กมลพร - ใช่ กำแพงดิน

สนธิ - อุตรดิตถ์มีบ้านยายรำ มีชื่อมาก

กมลพร - ลำปางนี่ต้องบ้านแม่สอน

สนธิ - ยายรำเป็นแม่เล้าที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในยุคหนึ่ง เป็นที่เชื่อถือในหมู่นักเที่ยวว่า เด็กของที่นี่ดีจริงไม่ย้อมแมว แล้วถ้าหากถามถึงซ่องที่ดังที่สุดของกรุงเทพฯ ในยุคนั้น เขาบอกต้องซ่องย่านแม้นศรี และ 30 ปีก่อน เขามีเขาเรียกโสเภณีเรือแจว

จินดารัตน์ - ยังไงเรือแจว เรืออย่างนี้หรอคะ

สนธิ - เขาร่วมเพศในในเรือเลย อยู่ตรงสะพานเฉลิมโลก ย่านประตูน้ำไง นั้นแหละโรงแรมประตูน้ำ เขาบอกสภาพซ่องลอยน้ำอยู่ในเห็นตอนปลายยุคให้ฟังว่า จะมีเรือแจวมาจอดเรียงรายใต้สะพาน แล้วคนแจว และโสเภณีอยู่ในเรือ ใครจะเที่ยวอะไรต้องตกลงราคาก่อนค่อยลงเรือ และเขาก็พายลงไปกลางคลองแสนแสบเหม็นก็เหม็น และก็ปิดม่าน ดูไอ้ช่างกล้องหูผึ่งเลย

กมลพร - ขำกันใหญ่เลย

สนธิ - ใช่ไหม แล้วพอเสร็จเรียบร้อยก็พายกลับมา และเป็นที่เรียกกันว่า เรือยอร์ช ก็เลยเป็นที่มาของคำแผลงที่คนเรียกว่า 7 เรือยอร์ช

จินดารัตน์ - ของเราเสียงดังไปไหมน้อง

กมลพร - ไม่ใช่เสียงหัวเราะของร็อกนะ ของช่างภาพหนุ่มๆ

สนธิ - พอผ่านไปพักนึง วัตถุนิยมเริ่มเข้ามาเยอะ เริ่มมีฝรั่งมังค่าเข้ามา ซ่องพวกนี้จะเริ่มหายไปและ ก็ถูกพัฒนากลายเป็นสถานอาบอบนวดแถวเพชรบุรี แถวรัชดา ค็อกเทลเลาจน์ สมัยสงครามในเวียดนามมีทหารจีไอเข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศไทย ยกระดับจากซ่องธรรมดาขึ้นไป ไปเป็นตลาดบนเป็นรูปค็อกเทลเลาจน์ อาบอบนวด จากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เพิ่งตัดเสร็จในยุคนั้น สถานบริการอาบอบนวดก็ผุดขึ้นมาบนถนนสายนี้เต็มไปหมด กลายเป็นถนนโลกีใช่ไหมครับ อาชีพนี้มันเป็นอาชีพที่ตอนหลังมันถูกพัฒนาไปเป็นในรูปแบบของออนไลน์ ก่อนที่พวกเราจะเริ่มเล่นไอโฟน ที่ญี่ปุ่นมันจะมีโทรศัพท์ระบบของญี่ปุ่น โดยผู้บริการระบบชื่อ โคโดโมะ โคโดโมะเขาจะมีส่งรูปทางโทรศัพท์ได้ ในยุคนึงญี่ปุ่นโสเภณีจะค้าขายกันโดยส่งรูปทางโทรศัพท์ ปุ๊บเปิดดู ปุ๊บเปิดดู และโทรศัพท์ติดต่อกันเลย และนัดกันไป

โสเภณีช่วงหลังมันเลยถูกพัฒนากลายเป็นแหล่งที่ทำมาหากิน สำหรับคนที่ต้องการหาลำไพ่พิเศษ เมื่อสังคมมันมีค่าใช้จ่ายมากขึ้น คนไม่รู้จักพอ คนอยากมีไอโฟนกัน ผู้หญิงตัวน้อย อย่างที่ขอนแก่นคนที่ไม่รู้ ขอนแก่นเป็นศูนย์กลางบันเทิงที่ดุเดือดมากกว่ากรุงเทพฯ นะ มีศูนย์กลางบันเทิงที่ครบรูปแบบทุกอย่าง และคนที่เข้าไปบริการรู้ไหมใคร ส่วนใหญ่นักศึกษาทั้งนั้น เพราะขอนแก่นเป็นศูนย์รวม ถัดขอนแก่นไปวิ่งรถไม่ถึงชั่วโมงคือ

กมลพร - อุดรฯ

สนธิ - ก็คือสารคาม และกาฬสินธุ์ เพราะฉะนั้นแล้ว จะมีลักษณะนักศึกษาจากสารคาม กาฬสินธุ์ นั้งรถเหมารถมาแล้ว มาทำงานในขอนแก่น ทำเสร็จเช้าตรู่รวบรวมกันแล้วกลับ ไปเรียนหนังสือต่อนี้เป็นความจริง แล้วพัฒนาไปอาบอบนวดแล้วคนที่เปิดฉากลุยอาบอบนวด เจ้าแรกที่พระรามเก้าคือใครละ ชูวิทย์ไง ชูวิทย์นี่คือตัวดี การที่มีอาชีพนี้ต่อไป คือแหล่งทำมาหากินแล้วช่วงหลังนี้ คนที่มีบทบาทมาก ในเรื่องของการหาผู้หญิง คือใครรู้ไหม กระเทยช่างแต่งหน้า เพราะกระเทยจะแต่งหน้าให้พวกพริตตี้ นางแบบ ระหว่างคุยกันจะถามโน้นนี้นั้น แหมพี่กลุ้มใจจังเลย จะเปิดเทอมไม่รู้จะหาตังค์ที่ไหน พี่แนะนำผู้ใหญ่ให้คนหนึ่งเอาไหม คือมันจะเริ่มแบบนี้ จริงๆ นะ แล้วนัดไปเจอที่โรงแรมบ้าง แล้วกระเทยจะเอา 30 เปอร์เซ็นต์ มันก็เลยเกิดเครือข่ายขึ้น ก็มีเจ้าของร้านขายทองร้านหนึ่งอยู่เยาวราช ชื่อเล่นเป็นชื่อฝรั่ง จะมีกระเทยประจำตัวนี่กินเงินเดือนเลยนะ มีหน้าที่คอยแสวงหาเด็กมาให้

เพราะฉะนั้นวิวัฒนาการช่วงหลังเลยพัฒนามาเป็นบาร์โคโยตี้ คือเป็นบาร์จะขายความเป็นนักศึกษา ทำงานแต่ไม่ให้ออฟนะ แต่ว่าคุยกันเอง ชอบอกชอบใจไปกันเอง มันก็คือซ่อง อีกลักษณะหนึ่งทั้งหมดทั้งนี้ทั้งนั้น มันเกิดขึ้นจากสิ่งซึ่งคนเราไม่รู้จักพอ จริงจะไปว่าคนพวกนี้ก็ไม่ได้ คนพวกนี้จะขายตัวจะไม่ขายวิญญาณ ผู้หญิงบางคนอยากได้เงินใจแบบขาดแต่มีเงื่อนไขเหมือนฝรั่งบอกว่า มึงจะTake Me To Bed ได้ต้องเท่านี้นะ แต่โนวิตถาร อย่างน้อยที่สุดกะหรี่ยังมีจรรยาบรรณถูกมั้ย สมัยหนึ่งพวก GI เข้ามาในเมืองไทย ที่พัฒน์พงษ์ก็จะมีพวกสาวอะโกโก้ ฝรั่งชอบ เต็มไปหมดเลย แล้วก็หิ้วสาวพวกนี้ไป ฉะนั้นจะเห็นว่าสาวอะโกโก้ หรือสาวบาร์ ไม่ว่าจะเป็นบาร์ที่พัทยา บาร์ที่พัฒน์พงษ์ หรือบาร์ที่อุดรฯ สมัยที่พวกทหารอยู่ พวกคนไทย ผู้หญิงไทย จะพูดภาษาอังกฤษ พูดภาษาอังกฤษที่มันค่อนข้างที่จะตลก

จินดารัตน์ - รู้เป็นคำๆ ใช่มั้ยคะ

สนธิ - รู้เป็นคำๆ ไป พวกนี้ก็จะเลี้ยง พอพวกนี้กลับบ้าน ไอ้พวกนี้ก็จะเขียนจดหมาย ก็จะจ้างคนที่พอรู้ภาษาอังกฤษเขียนจดหมายถึงฝรั่ง ขอเงิน บอก I am difficult, no money. Please, send me ... เท่าไรก็ว่ากันไป เขาก็ส่งมาให้กัน แต่ความเป็นผู้หญิงที่ขายตัวเพื่อแลกเงิน ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้หญิงที่เขาเดือดร้อน พวกหมอนวดจะมาจากต่างจังหวัด หมอนวดที่รูปร่างหน้าตาดี สวย ขาว ก็จะมีเสี่ยเข้ามาจองเวลา จองเลยนะ ทั้งวันเลย สมมุติว่าชั่วโมงหนึ่งเขาคิด 300-400 เสี่ยนี่จะเหมาเลย เริ่มงานกี่โมง มันเหมาทั้งคืนเลย ไม่ให้ไปยุ่งกับใครเลย ยุ่งกับมันคนเดียว
หลายคนติดพันหมอนวดถึงขนาดที่ทิ้งเมียตัวเอง ซึ่งเมียก็สวย นิสัยก็ดี แต่อาจจะบริการทางเพศได้ไม่ดุเดือดเท่ากับหมอนวด หลายคนเลิกไปเลยนะ เมียดี นิสัยดี ทุกคนยังงงเลย แล้วไปคบกับหมอนวด ซึ่งก็คือคนที่ไม่มีการศึกษา แล้วเพื่อนๆ ของผัวรับไม่ได้ ซึ่งอันนี้ผมไม่ตำหนิใครทั้งสิ้น เพราะผมถือว่าทางใครทางมัน โลกใครโลกมัน แต่ก็มีผู้หญิงอีกประเภทหนึ่ง ขายตัวเพื่อชื่อเสียง ขายตัวเพื่อตำแหน่ง มีผู้หญิงคนหนึ่ง เคยเป็นรัฐมนตรี แต่ยอมให้หัวหน้าพรรคเอา เพื่อตัวเองจะได้เป็นรัฐมนตรี มีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง มีชื่อ ผมจำได้ ผมรู้จักพี่น้อย พี่น้อยเสียชีวิตไปแล้ว ชื่ออุดมศักดิ์ อุชิน พี่น้อยแกขายหัวรถจักรรถไฟให้กับการรถไฟแห่งประเทศไทย แกเหมือนพ่อค้าอาวุธ แต่แทนที่แกจะขายอาวุธ แกขายหัวรถจักรรถไฟ แกรวย แล้วแกไปติดพันผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นอดีตนางงาม สวยมาก อดีตนางงามคนนี้ถูกลูกสาวของอดีตนายธนาคารใหญ่ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว พาไปให้พ่อตัวเองสัมผัส ครั้งเดียว ด้วยเงิน 10 ล้านบาท แล้วคนนี้ก็เลยไปติดต่อ พี่น้อยก็ไปจีบ พี่น้อยก็เอามาเลี้ยงดูปูเสื่อ ให้ตังค์ เสร็จแล้วอดีตนางงามคนนี้ก็ทิ้งพี่น้อยไป แล้วก็ไปหาเศรษฐีอีกคนหนึ่งซึ่งรวยกว่าพี่น้อย ลงทุนให้ทำธุรกิจ พี่น้อยแกก็แค้น ผมจำได้ ผมอยู่ที่สนามบินดอนเมือง สนามบินดอนเมืองสมัยก่อนไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยก่อนเวลาขาออก ลงจากเครื่องบินปั๊บ คนจะเดินออกมา ก็จะมีรั้วกั้น คนก็จะออกันเต็ม เหมือนสมัยโบราณ พี่น้อยยืนอยู่ ผู้หญิงคนนี้เดินออกมา ความที่แกแค้น แกชี้หน้าเลยนะ แกตะโกน "เฮ้ย มึงรู้มั้ย อีนี่เป็นกะหรี่ที่แพงที่สุดในโลก" อดีตนางงาม สวยสง่า เดินก้มหน้างุด เดินหนีไปเลย เพราะฉะนั้นแล้ว คำว่ากะหรี่มันไม่ได้หมายถึงคนซึ่งขายเนื้อขายตัวสำหรับเอาชีวิตตัวเองรอด แต่มันก็อาจจะหมายถึงคนซึ่งขายจิตวิญญาณด้วย เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองได้

สรุปว่าตัวเองมีกินดีอยู่ดีอยู่แล้ว อย่างพวกหมอนวดนะ 10 คน พอรวยขึ้นมาแล้วจะมีแค่ 2 คน เก็บเงินเก็บทอง ตั้งใจเลย ทำงาน เหนื่อย 5 ปี ทำตั้งแต่อายุ 18-19 พอ 25-26 แล้ว ประมาณสัก 6 ปี สะสมเงินเป็นล้าน เอาเงินก้อนนี้กลับไปซื้อบ้านให้แม่ แล้วไปเปิดร้านข้าวเหนียว ไก่ย่าง ส้มตำ 10 คนมีแค่ 2 คน เกิดอะไรขึ้น อีก 8 คน หนึ่งติดยาเสพติด สองมีผัวเด็ก โดนผัวไถ คือมันเวรกรรมไง ไปหลอกผัวแก่ แล้วเอาเงินมาปรนเปรอผัวหนุ่ม มันก็เลยจะมี 10 คน ที่หมอนวดจะมีเหลือแค่ 2 คน แล้วก็มีประเภทมีบริการทางเพศใหม่ ที่ผมรู้นี่ไม่ใช่ผมไปเที่ยวนะ ไอ้เด็กๆ ที่ออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นคนโน้นคนนี้ที่นั่งกินกาแฟตอนเช้า มันเล่าให้ผมฟัง

กมลพร - มีไม่กี่คนนะ

สนธิ - หลายคนๆๆ มันก็บอกว่ายุคใหม่นี้มันมีผู้หญิงที่ไปทำไซด์ไลน์ ซึ่งเป็นนักศึกษา เป็นพวกไม่ต้องเปลืองตัว เขาเรียกว่าอาชีพนวดกระปู๋ นวดแต่กระปู๋อย่างเดียว

จินดารัตน์ - ที่เขาฮิตๆ กันตอนนี้ ถึงขั้นลงออนไลน์

สนธิ - นั่นล่ะ นวดกระปู๋เลย แล้วก็จะมีเวรนะ ประเภทจะเข้าไปทำงานเมื่อไรก็ได้ โทรศัพท์ไป หนูว่าง เข้ามาเลย น้องนิ้งมาแล้ว อยู่ที่โน่นที่นี่ เรียนที่ ม.โน้น ม.นี้ รับไป 3 พัน แอน .. วันละ 3,000 เดือนละ 90,000 นะ เด็กพวกนี้ขี่บีเอ็มฯ บางคนขี่เบนซ์

จินดารัตน์ - อยู่คอนโดฯ หรูๆ

สนธิ - นี่คือสังคมเมืองไทย แต่ว่าจะอย่างไรก็ตาม มันมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง (ยังมีเวลาใช่มั้ย..รู้สึกติดใจเหมือนกันนะ)

กมลพร - ดูเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ มีที่มาที่ไป ชอบ

สนธิ - มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ มาตาฮารี เคยได้ยินชื่อมั้ย มาตาฮารี เป็นผู้หญิงดัตช์ เกิดมาประมาณปี 2419 ตอนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มาตาฮารี สวย พ่อรวย ตอนหลังพ่อล้มละลาย แม่ตาย ก็เลยไปอยู่โรงเรียนเด็กกำพร้า บ้านเด็กกำพร้า แล้วเขาก็ฝึกให้เป็นครู ไม่ต้องการเป็นครูก็เลยออกไป ความที่สวยก็เลยไปได้สามีเป็นทหารฝรั่งเศส แต่ว่ามีเชื้อสายสกอต แล้วผัวก็ย้ายไปอยู่อินโดฯ พอย้ายไปอยู่อินโดฯ ก็ไปชอบวัฒนธรรมอินโดฯ ไปเรียนเต้นรำ เต้นรำเหมือนกับระบำหน้าท้อง ก็เลยตั้งชื่อว่า มาตาฮารี

มาตาฮารี ตอนหลังก็เลยกลายเป็นคนซึ่งชอบเต้นรำมาก และหลงใหลในวัฒนธรรมบาหลี ผัวเผอิญเจ้าชู้ ก็เลยมีเมียเยอะ มีลูกหลายคน ผู้หญิงคนนี้ก็ทนไม่ไหว เพราะว่าเมียน้อยคนหนึ่งเอายาพิษฆ่าลูกของเขาตาย เขาก็เลยหย่ากับผัวแล้วกลับไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ก็ไปเป็นนางระบำ เต้นแบบที่เคยเรียน ที่เขาเรียกเต้นแบบมาตาฮารี ก็เลยดังขึ้นมา พอดังขึ้นมาก็เลยถูกเชิญไปเต้นตามไนต์คลับต่างๆ ช่วงนั้นก็เลยไปรู้จักพวกนายทหาร นักการทูต ก็เลยไปคบกับทหารเยอรมัน ทหารเยอรมันก็จ้างให้เป็นสายลับเพื่อจะสืบราชการลับกับทหารฝรั่งเศส ตอนนั้นเยอรมันกับฝรั่งเศสไม่ถูกกัน แล้วตอนหลังมาตาฮารีก็ไปได้สามีเด็ก คือผู้หญิงระดับนี้ชอบกินเด็ก ผู้หญิงที่วัยเลย 30 กว่า ชอบกินเด็กทุกคน

จินดารัตน์ - ไม่ทุกคนนะ

สนธิ - ก็เป็นทหารรัสเซีย แต่เขารักกันมาก และเขาจะแต่งงานกัน แต่ทหารรัสเซียคนนี้บาดเจ็บ ตาเสียข้างหนึ่ง มาตาฮารีเขาหลงใหลทหารรัสเซียคนนี้มาก เขาก็พยายามจะเข้าไปเยี่ยมทหารรัสเซียคนนี้ เข้าไม่ได้ เพราะมันต้องอ้อมผ่าน สมัยก่อนมันมีป้อมปราการ มันมีเขตแดน มีทุกอย่าง ในที่สุดก็เลยไปเจรจากับทหารฝรั่งเศส หน่วยสืบราชการลับฝรั่งเศสก็จะให้มาตาฮารีสืบราชการลับเยอรมันให้ โดยที่จะให้เข้าไปเยี่ยม แล้วให้เงินอีก 1 ล้านฟรังค์ มาตาฮารีก็เลยเป็นผู้หญิงที่เป็นสายลับทั้ง 2 ด้าน ทั้งฝรั่งเศสและเยอรมัน และในขณะเดียวกัน ก็นอนกับทหารฝรั่งเศส และนอนกับทหารเยอรมัน เพื่อแลกความลับตลอดเวลา เพราะฉะนั้นแล้ววันหนึ่งมาตาฮารีก็โดนจับได้ เยอรมันก็เลยสั่งประหารชีวิต มาตาฮารีก็ตาย วันที่เขาตายเขาอายุ 41 แล้ว เขาถูกยิงเป้า มาตาฮารีบอกว่า ไม่ต้องมัดตาฉัน ยิงฉันเลย ฉันยินดีที่จะไม่มัดตา โดยเปิดตาดู มาตาฮารีเรียกโสเภณีไหม มันก็ใช่ในลักษณะหนึ่ง แต่ว่าเขาทำเพื่อจารกรรมข้อมูลเป็นสายลับสองหน้า ที่นี้มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อไซซี เกิดในยุคของจ้านกั๋ว ยุคนั้นมีแคว้นสองแคว้นคือ แคว้นอู๋กับแคว้นเยว่ แคว้นอู๋โจมตีแคว้นเยว่จนแคว้นเยว่พังทลาย เลยจับเจ้าครองแคว้นเยว่ไป เป็นเชลยชื่อโกวเจี้ยน เป็นเชลยจับไปทรมาน เจ้าครองแคว้นเยว่โกวเจี้ยนก็ยอมทุกอย่าง ยอมล้างขี้ม้า จากตัวเองเป็นกษัตริย์แล้วเวลานอนก็มีเกลือห้อยอยู่ตรงลิ้น เพื่อให้ตัวเองได้รู้ถึงรสความข่มขื่นจะได้ไม่ลืมความอัปยศที่ตัวเองมี ทำทุกอย่างจนเจ้าครองแคว้นอู๋เชื่อว่า ไม่มีพิษมีภัยแล้ว ก็ส่งเจ้าครองแคว้นเยว่กลับไป เจ้าครองแคว้นเยว่ ไปตั้งตัวที่จะล้างแค้นแคว้นอู๋ การล้างแค้นแคว้นอู๋ เขาก็มี 3 วิธีคือ 1.ฝึกทหาร 2.พัฒนากสิกรรม 3.เขาคัดเลือกผู้หญิงเข้าไปเป็นสายลับ เพื่อเข้าไปทำให้เจ้าครองแคว้นอู๋หลงใหล ในที่สุดก็ไปเจอชื่อ ซีซือ ชื่อจีนกลาง แต่แต้จิ้วเขาเรียกไซซี เขาบอกความงามของไซซี เป็นตำนานว่ากันว่าเธอมองลงในน้ำปลายังต้องว่ายหนี เพราะว่าปลาทนไม่ไหวกับความงามของเธอ เลยเอาไซซีมาฝึกรำ วิธีรินเหล้า วิธีเอาใจ วิธีฉอเลาะ ฝึกอยู่ 3 ปี ก็ส่งไซซีเข้าไปถวายเจ้าครองแคว้นอู๋ เจ้าครองแคว้นอู๋ เห็นความงามก็ตะลึงเลย เลยลุ่มหลง หลงใหล ไซซีเลยทำให้เจ้าครองแคว้นอู๋มัวเมาอยู่ในความงาม มัวเมาอยู๋ในการเริงระบำ ในการมีเพศสัมพันธ์กัน จนกระทั่งในที่สุดการบ้านการเมืองไม่สนใจ จนในที่สุดทหารเอกคู่ใจของเจ้าแคว้นอู๋ก็เตือนว่า อยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้นะ ชาติจะพังเพราะผู้หญิงคนนี้ มีอยู่วันหนึ่งเจ้าแคว้นอู๋ก็ตื่นมาตอนเช้าบอกว่า ตนเองฝันว่า น้ำในมหาสมุทรแห้ง ดอกไม้ไม่ออกดอก พระอาทิตย์ตก ตัวทหารเอกคู่ใจเลยบอกว่านี้คือ ลางร้ายที่ผู้หญิงคนนี้นำมา ไซซีก็บอกว่าไม่ใช่ลางร้าย เป็นลางดี พระอาทิตย์ตกเพราะว่า ดวงดาวธรรมราชากำลังขึ้น บอกว่าน้ำเหือดแห้งคือพลานุภาพแผ่กระจายไปจนกระทั่งศัตรูพ่ายราบคาบไป มีคำแก้ได้หมด จนกระทั่งทหารคู่ใจทนไม่ไหว ฆ่าตัวตายไปด้วยความแค้น ไซซีเลยอยู่กับเจ้าแคว้นอู๋ 12 ปี พอครบ12ปีแคว้นเยว่ ก็เข้มแข็งแล้ว แคว้นอู๋อ่อนแอมาก เจ้าแคว้นเยว่ ก็ยกทัพมาล้มล้างแคว้นอู๋หมดเลย เจ้าแคว้นอู๋ฆ่าตัวตายด้วยความช้ำพระทัย หลังจากตายแล้ว ไซซีก็หายไป ไม่มีใครรู้ว่าหายไปไหน ตำนานก็บอกว่าหนึ่ง เป็นไปได้ที่ชาวบ้านที่อยู่ในแคว้นอู๋โกรธไซซีจึงจับเธอถ่วงน้ำ แต่อีกตำนานก็บอกว่าคนรักของไซซีแท้จริงคือ ที่ปรึกษาขุนพลคู่ใจของเจ้าแคว้นเยว่ ซึ่งตัดสินใจไปค้นพบไซซี และเลือกไซซีไป และ 2 คนนั้นไปอยู่ร่วมกันในป่าเขาลำเนาไพร เรื่องไซซีเป็นเรื่องจริง แต่ว่าไซซีขายตัวเอาตัวให้ผู้ชายบำเรอ เพื่อกู้ชาติไม่ได้ขายชาติ ไซซีไม่ได้ไปด่าแคว้นเยว่ให้เจ้าแคว้นอู๋ฟัง ไซซีเข้าไปรับใช้ เพื่อให้เจ้าแคว้นเยว่มีโอกาศได้สั่งสมอาวุธ สั่งสมกำลัง พัฒนาเศรษฐกิจทางด้านกสิกรรมให้เจริญก้าวหน้ายกทัพมาล้างแค้น

เพราะฉะนั้นไซซี ไม่เคยไปปาฐกถาที่ไหนว่า แคว้นเยว่ ที่โดนแคว้นอู๋ล้มล้างนั้น เพราะใช้ไม่ได้ ไม่เคยว่า ไซซีเสียสละชีวิต ตัดสินใจเลย นึกดูนะผู้หญิงที่สวยที่สุด ต้องทนทุกทรมาน 12 ปี ร่ายรำระบำเป็นที่รองรับอารมณ์ทางเพศ เอาใจเพียงเพื่อเป้าหมายเดียวที่ตั้งมั่นอยู่ในใจอย่างเดียวเลย คือช่วยชาติตัวเองสามารถล้มล้างแคว้นอู๋ได้ เพื่อเป็นการล้างแค้นที่แคว้นอู๋ไปล้มล้างแคว้นเยว่แล้วไปทำร้ายประชาชนที่นั้น

จินดารัตน์ - กะหรี่ไม่ใช่หญิงคนชั่ว

สนธิ - ก็ไม่ใช่ไง ถามว่าไซซีเป็นกะหรี่ไหม เป็นหญิงงามเมืองไหม ก็บอกว่าเป็น แต่ว่าไซซีมีเป้าหมายในการเป็นหญิงงามเมือง เหมือนหญิงงามเมืองทั่วไปที่มีเป้าหมายเพื่อมีชีวิตอยู่เอาเงินเอาทองไปให้พ่อแม่ หรือแม้กระทั่งที่ไปนวดกระปู๋ เด็กมหาลัยบางคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อมีเงินมีทองไปเรียนหนังสือไม่ใช่ผู้หญิงชั่วจบข่าวไหม

กมลพร - หญิงคนชั่วและ ที่จะเร่ขายชาติได้ อันนั้นละถูกต้อง

จินดารัตน์ - ความหมายของคุณชัย ราชวัตร ถูกต้องแล้ว วันนี้น่าจะมีคนเดือนร้อนหลายคน ป่านนี้คงนั้งไม่ติดแล้ว

สนธิ - ใคร

จินดารัตน์ - ที่นั่งกินกาแฟตอนเช้าๆ

สนธิ - แต่ผมไม่บอกนะใคร ผมไม่กล้าเอ๋ยชื่อ เพราะกลัวเมียดูรายการนี้ มึงตายละงานนี้

จินดารัตน์ - ไม่ใช่แก้ตัวแทน อาชีพพวกนี้ เขาเป็นนักข่าวไง

กมลพร - ฟังคนอื่นมาเล่า เอาคนอื่นมาอ่าน แต่นักข่าวจริงๆ ต้องลงพื้นที่เองนะ

จินดารัตน์ - พักก่อนนะ ช่วงหน้า กลับมาจากหญิงชั่วขายชาติแล้ว เราจะไปเจอชายโฉด พักกันสักครู่ค่ะ

ช่วงที่ 3

จินดารัตน์ - กำลังเถียงกันเรื่องเวลาว่า ทำไมมันผ่านไปเร็วจัง

กมลพร - เจ้าของรายการบอกว่า จบแล้วไม่ใช่หรอรายการ

จินดารัตน์ - เจ้าของรายการจัดมาตั้งนานไม่รู้จบ 4 ทุ่มครึ่ง สติกเกอร์นี้นะคะ คนอยากได้เยอะมาก เข้ามาในหน้าแฟนเพจเยอะนะ

กมลพร - วิธีการก็ง่ายๆ ถ้าเกิดตอนนี้ใครอยากได้จริงๆ นะคะ สามารถไปซื้อเอเอสทีวีสุดสัปดาห์ได้ ในเล่มออกวันเสาร์

จินดารัตน์ - เขาจะมีแทรกในเล่มให้เลย

กมลพร - ดูดีๆ นะคะ ไม่ใช่เจ้าของร้าน

จินดารัตน์ - เอาออกมา

กมลพร - จะมีอยู่ทุกเล่มเลยนะคะ

จินดารัตน์ - หรือถ้าเกิดว่าไปหาซื้อไม่ได้หมดแล้ว มาที่ ASTV SHOP บ้านเจ้าพระยา แผ่นละ 20 บาท มีจำนวนจำกัด ถ้าอยากได้ต้องมาซื้อ แต่ว่ารายการเราแจก ในหน้าแฟนเพจ 20 ใบ 20 คน วงเล็บมาด้วยนะคะ สติกเกอร์ และจดหมายมาให้ 10 ท่าน และก็อะไรนะ

กมลพร - SMS

จินดารัตน์ - SMS วันนี้จะเลือก 10 ท่านแจกให้

สนธิ - ก็ Thank you Thank you Thank you

จินดารัตน์ - แจกหญิงชั่วเร่ขายชาติแล้วมาถึง ชายโฉดเป็นโรคที่รักษาไม่หาย

กมลพร - ชายโฉดพี่เขา หรือว่าโฉดก่อนหน้านี้

จินดารัตน์ - โฉดทั้งหมดเลย เป็นโรคเดียวกันหมดเลย คือโรคตอแหลลงตับรักษาไม่หาย ตายสถานเดียว โรคนี้ดูมีอาการรุนแรง คิดดูจากน้องสาวมาแล้ว น้องสาวไปต่างประเทศมาเกือบครบทุกประเทศทั่วโลก จะไปญี่ปุ่น

กมลพร - จะไปอีกแล้วคะ จะไปพูดเรื่องเศรษฐกิจ

จินดารัตน์ - อ่อหรอ จะพูดรู้เรื่องไหมนะ จากคุณยิ่งลักษณ์ไปสุนทรพจน์ที่ประเทศมองโกเลีย แล้วจะไปหาคำพิพากษาของศาลฎีกากันก่อนนะคะ ศาลฎีกาได้เลื่อนการพิพากษาอดีต กกต.สามหนาห้าห่วงที่จัดการเลือกตั้งปี 49 โดยมิชอบออกไป เลื่อนไปเป็นวันนี้เท่าไรนะ 15 มิถุนายนใช่ปะ

กมลพร - 16

จินดารัตน์ - 13 มิถุนาฯ 9 โมงเช้า หนึ่งใน กกต.ทั้ง 4 ชุดไปแล้วและอีกคนนึงก็ผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีคือ คุณปริญญา นาคฉัตรีย์ มาที่ศาลคนเดียวคือ คุณวาสนา เพิ่มลาภ

กมลพร - ใช่ค่ะ

จินดารัตน์ - คุณวีระชัย แนวบุญเนียร เสียชีวิตไปแล้ว

กมลพร - คุณวาสนามาหน้าตาก็ไม่ได้สดใสนะ คนเรามันผ่านพ้นวันที่มีฎีกาแล้ว

จินดารัตน์ - ฎีกาแล้วที่สุดแล้ว วันที่ 13 จะชี้ชะตาแล้ว

กมลพร - แต่ว่าแนวคำสั่งเก่าๆ ในชั้นศาลชั้นต้น ศาลอาญา ไอ้คำสั่งที่ลงมามันน่าสนใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตอนนั้นมีการเปิดรับสมัครใหม่ทั้งที่ไม่มีอำนาจ และอนุญาตผู้สมัครรายเดิมเวียนเทียนลงสมัครข้ามเขต เพื่อช่วยให้ผู้สมัครของไทยรักไทย คู่แข่ง และจะได้เลี่ยงกฎเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ในนั้นศาลท่านบอกว่า จำเลยเป็นบุคคลในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญมีอำนาจมาก ใช้คำนี้มีอำนาจมาก ตรรกะกระทำผิดเอง ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

จินดารัตน์ - ศาลชั้นต้นพิพากษาเอาไว้จำคุกคนละ 4 ปี ไม่รอลงอาญา เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปีนะคะ ซึ่งศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น มาวันนี้ศาลฎีกาต้องเลื่อนไปเพราะว่า จำเลยบางคนไม่พร้อม ก็ต้องเลื่อนไปเป็นวันที่ 13 รอกัน พูดถึงเรื่องของศาล เราคือเวลามีคำพิพากษาของศาลแต่ละศาลออกมา เกี่ยวกับคดีการเมืองนะคะคุณสนธิ ไอ้คนๆนึงที่มันอยู่ต่างประเทศ เวลามันได้ประโยชน์มันชื่นชมศาลว่า ศาลมีความยุติธรรม พอวันไหนที่ศาลพิพากษาออกมาไม่เป็นประโยชน์กับมัน มันตีโพยตีพาย

สนธิ - เอาตัวอย่างมาดูสิแอน

จินดารัตน์ - มีๆ คะ

สนธิ - วันนี้ให้ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายให้แอนกับเก๋ว่าไปเลย แล้วผมจะคอยคอมเม้นท์ให้ฟัง แต่ขอพูดเรื่อง กกต.นิดนึง เรื่องของ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ กับนายปริญญา นาคฉัตรีย์ และนายวีระชัย แนวบุญเนียร โชคดีที่ตายไปก่อน มันเป็นบทเรียนนะพิสูจน์ให้ชัดอะไรบ้าง เวรกรรมอย่างไรก็ตามมันมีจริง แล้วมันเป็นเรื่องของความเป็นอนิจจัง คนที่มีอำนาจอยู่ทุกวันนี้ น่าจะเอาเรื่องของคุณวาสนา เพิ่มลาภ มาเป็นอุทาหรณ์ อันนี้คืออุทาหรณ์จริง ไม่ใช่อย่างที่ยิ่งลักษณ์ ไปพูดที่มองโกเลียว่า จะพูดให้เป็นอุทาหรณ์ และเรื่องที่คุณยิ่งลักษณ์ไปพูดว่า เป็นอุทาหรณ์ให้คนไทยจำไว้ ผมอยากจะพูดเป็นร้อยเรื่อง พี่ชายคุณเอาเป็นอุทาหรณ์เหมือนกัน ให้สังคมไทยจำเอาไว้ว่า คนประเภทนี้ในที่สุดจะต้องรับเวรรับกรรม วันที่มีอำนาจจะไม่เคยรู้สึกว่า ตัวเองวันนึงจะไม่มีอำนาจ เวลามีอำนาจขึ้นมามีความรู้สึกว่า ตัวเองเป็นอมตะ นิรันดร แต่พอวันที่ลงมาจากอำนาจแล้ว ตัวเองจะเรียกร้องขอความเห็นใจ สู้ตัวเองเอาธรรมนำหน้า ยืนอยู่บนธรรม ยืนอยู่บนหลักการแห่งความถูกต้อง คนที่ยืนอยู่บนความถูกต้อง หรือคนที่เห็นว่า ความยุติธรรมนั้นมาช้า ต้องเข้าใจอย่างนะว่า ถ้ามองในหลักพุทธแล้ว คนทำกรรมย่อมได้รับกรรม แต่คนบอกว่าเดี๋ยวนี้ไม่เชื่อ คนทำชั่วได้ดีมีถมไป ใช่ไหม ถ้ามองในหลักพุทธแล้ว มันยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะได้รับกรรม พ่อแม่ครูอาจารย์ก็บอกบางทีความดีที่เขาเคยทำในชาติก่อนยังไม่หมด

กมลพร - บุญยังมี

สนธิ - แต่บุญยังมีอยู่ แล้วไม่หมั่นทำบุญต่อไป ในที่สุดเมื่อบุญหมดก็ต้องเจอ ถ้าบุญมีอยู่แล้วทำบุญต่อไปก็ย่อมไม่ทำกรรม ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องรับกรรมไง ใช่ไหม ผมเห็นอย่างทักษิณ ชินวัตร ต้องถือว่ายังรับกรรมอยู่ และผมยังไม่รู้ว่า ความที่พยายามที่จะดิ้นรนกลับมาในที่นี้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผมยังไม่รู้ว่าจะได้กลับจริงหรือเปล่า และเวรกรรม และทุกคนที่แข่งขันกัน พยายามทำทุกอย่างให้ทักษิณ ชินวัตร ทำเพื่อเอาใจทักษิณ ชินวัตร ลึกๆ แล้วพวกนี้ไม่อยากให้ทักษิณกลับ ใช่ไหม ถ้าวันนี้ทักษิณมองว่า ตัวเองมี มีอยู่อย่างเดียวคือ มีกิเลศในตัวคือ มีเงินมีทอง แต่เงินทองมันหาความสุขไม่ได้ และเขาพูดจาอะไรก็ตามมันสะท้อนถึงจิตใต้สำนึกเขาในลึกๆ ออกมา เช่น เขาบอกว่าเขาให้อภัยคน แต่พูดยังไม่ทันครบ 2 บรรทัดเลย บอกว่า แต่ผมจะไม่รู้จักคำว่าแพ้ แพ้ไม่เป็น สะกดไม่เป็น คืออันนี้มันสะท้อนถึงความจิตไม่ปกติของคนอย่างมากๆเลย ผมเตือนสติไปหลายคนแล้ว ผมเตือนสติคนอย่างเฉลิม อยู่บำรุง แม้กระทั่งคนอย่างคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง หรือพวกยิ่งใหญ่ทั้งหลายในรัฐบาลชุดนี้ ปลอดประสพ สุรัสวดี พวกนี้ แล้ววันหนึ่งก็จะรู้ เพราะว่าผมเห็นมาหมดแล้วเก๋ ผมเห็นคนที่ใหญ่จริงๆ วันนี้วันหนึ่งสมัยที่ผมยังสู้กับพวกรุ่น 5 อยู่ สมัยที่เขามีการปฏิวัติโดยรุ่น 5 วันนั้นคนใหญ่จริงๆ คือ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ วันนี้แกหายไปไหนแล้ว แกตายไปแล้ว คนไม่พูดถึงแกเลย แล้วคนพูดถึงแกในเชิงเหยีดหยาม ดูถูก เพราะฉะนั้นจะทำอะไรก็ตามอย่าทำเพื่อตัวเองวันนี้คิดถึงลูกหลานที่ตัวเองมีอยู่ หรือใครก็ตาม ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วเป็นทหารใหญ่ โกงบ้านโกงเมืองไม่ทำหน้าที่ตัวเอง ไม่ดูแลปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วขี้โกงเงินค่าคอร์รัปชั่นจนกระทั่งตัวเองไปซื้อบ้านที่เมืองนอก 2-3 หลัง บางคนกำลังสร้างบ้านหลังเบ้อเร้ออยู่ในเมืองไทย ซ่อนเงินไว้เป็นร้อยๆล้าน แล้วคุณมีความสุขเหรอกับของพวกนั้น คุณเอาเงินกี่พันล้านมาแลกกับให้คนไม่ก่นด่าคุณ มีแต่คนก่นด่าคุณทั้งนั้น คุณไม่รู้สึกเลยว่าเขาด่าโคตรพ่อโคตรแม่คุณขนาดไหน เข้าใจไหมแอน ผมเลยอยากจะยกตัวอย่างของ กกต.วาสนา เพิ่มลาภ ให้เห็นว่าเวรกรรมมันมีจริง แล้วผมจะบอกให้รู้ว่า กกต.ชุดนี้ บางคนก็คอยระวังตัว เวรกรรมมีจริงเช่นกัน

จินดารัตน์ - นักการเมืองบางคนก็เอาเงินไปสร้างบ้านอย่างกับคฤหาสถ์ให้เมียน้อย กำลังหลงเมียน้อย เมียหนีไปบวช เมื่อไหร่จะเลิกสร้างเวรสร้างกรรมเสียที เขาบอกคนในพื้นที่ก็เอือมระอาเต็มที่แล้ว พอคนที่รอวันที่เขาตายก็ออกมาแซ่ซ้องสรรเสริญ ถึงขนาดนั้นเลยนะวันนี้ เขาฝากมาบอกค่ะ คนในพื้นที่

สนธิ - อยู่แถวๆ ภาคกลางใช่ไหม

จินดารัตน์ - ใช่ค่ะ น้ำไม่ท่วมด้วย ไปดูคนอย่างทักษิณ ชินวัตร สิคะว่า กลับไปกลับมาไม่รู้จิตวิปริตอะไรช่วงนี้ เคยชมศาลด่าศาล ชมศาลด่าศาล สลับกันอย่างนี้ ลองย้อนไปดู เรามีหน้าที่ทำให้คนจดจำ คดีซุกหุ้นปี 44 ทักษิณว่าอย่างไรเก๋

กมลพร - ทักษิณบอกว่า วันนี้ต้องขอบใจ ขอบคุณตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก ที่้ให้ความเป็นธรรมกับผม เพื่อจะได้ประกาศกับชาวโลกว่า ประเทศไทยยังปกติดีอยู่ ที่คนไม่ทุจริตไม่ต้องถูกออกจากการเมือง หากไม่เป็นเช่นนั้น มันคงสับสนพอสมควร เป็นการสับสนพอสมควรว่า คนที่ไม่ทุจริตต้องออกจากการเมือง

จินดารัตน์ - ทีนี้มาปี 55 ชมศาลล้วนๆเลยนะ ขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญอีกครั้ง กรณีการวินิจฉัย การออก พ.ร.ก. 2 ฉบับ คือ พ.ร.ก กู้เงิน 350,000 ล้าน เพื่อการจัดการน้ำ และ พ.ร.ก โอนหนี้ 1.14 ล้านล้าน บอกว่าไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ทักษิณก็เลยวิดีโอลิงก์เข้ามาในงานคอนเสิร์ตคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปีที่แล้วนี่เอง มีคลิปไหมคะ มีปล่อยเสียงเลยค่ะ

***************คลิปทักษิณ ชินวัตร*******************

จินดารัตน์ - อันนี้คือชมศาล พอศาลท่านตัดสินออกมาวินิจฉัยออกมา ตัวเองได้ประโยชน์ ทีนี้มาดูด่าศาลบ้าง ด่าศาลเรื่องอะไรน้องเก๋ เมื่อเร็วๆนี้เองที่สไกป์เข้ามา ที่บอกว่าศาลเดี๋ยวนี้ไม่มีอีกแล้ว ศาลที่เคารพนับถือไม่มีอีกเล้ว โปรดิวเซอร์มีคลิปนี้ไหม เมื่อเร็วๆนี้เอง ไม่กี่วันนี้ ที่ทักษิณพูดกับคนเสื้อแดง พูดว่า ด่าศาลเอาเป็นเอาตายและปลุกระดมคนเสื้อแดง วันที่ 10 เมษายน ปี 53 ก่อน เขาบอกว่า ในสมัยก่อนศาลสูงจะเป็นที่เคารพมาก เพราะคำพิพากษาจะใช้ในการปฏิบัติของศาลล่าง แต่วันนี้ศาลสูงบางคนไปละเมิดหลักการของกฎหมาย ไปพิพากษาจนศาลชั้นต้นหัวเราะเยาะ บางคนทำให้วิชาทางนิติศาสตร์ สอนในมหาวิทยาลัย ไม่ได้ เพราะความเอนเอียงทางการเมืองเท่านั้น ลองฟังเสียง ไปค่ะ

***************คลิปทักษิณ ชินวัตร*******************

จินดารัตน์ - ก็เป็นคนเดียวนี่

กมลพร - พฤติกรรมเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้นค่ะ เหมือนที่ตอนชมศาลว่า เรากู้เงิน 2 ล้านล้านแล้วมันจะดีต่อประเทศ แต่ก่อนหน้านี้ตัวเองก็เป็นคนพูดเองว่า ผมเนี้ยไม่เคย ไม่กู้ ผมไม่ใช่พวกชอบกู้ ไม่จำเป็นจะต้องกู้

จินดารัตน์ - ขนาดไอเอ็มเอฟยังใช้หนี้หมดแล้วเลย ไม่ต้องกู้หรอก แต่ต่อมามันก็กู้ตลอดเวลา มันเป็นโรคตอแหลลงตับเหมือนกันหมดเลยนะคุณสนธิ

สนธิ - ผมว่าเป็นโรคจิต คนที่เป็นนักการเมืองถึงระดับนี้แล้ว พูดแบบนี้ ถ้าคนมีปัญญาและคิดเป็น จะต้องรู้ว่าคนแบบนี้ถ้ามาเล่นการเมือง มาบริหารชาติบ้านเมือง หรือว่ามามีส่วนร่วมในการบริหารชาติบ้านเมือง ถ้าชาติไม่ฉิบหายวันนี้จะฉิบหายวันไหน มันใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะว่ามันโกหกแบบ ภาษานักเลงเขาเรียกว่า เหี้ยได้ใจ จริงๆ คือของแบบนี้ถ้าคนมีปัญญาจะต้องเห็นแล้ว ยังจะไปเทิดทูนยังจะไปบูชามัน ผมถึงบอกว่าผมรับไม่ได้กับพวก ส.ส.หลายคนพรรคเพื่อไทย คนทีดูเหมือนจะมีสติปัญญา และก็มาเทิดทูนคนประเภทนี้ ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมถึงบอกว่า เมืองไทยมันอาจต้องถึงเวลาล่มสลายจริงๆในเมื่อเรามีคนแบบนี้อยู่

จินดารัตน์ - ทักษิณเคยพูดหลายเรื่องนะคะ คุยโม้ไว้ว่า จัดการปัญหายาเสพติดให้ได้ภายใน 12 เดือน จัดการเรื่องรถติดให้ได้ภายใน 6 เดือน ทุกสิ่งพูดมา วันนี้มันเป็นหนังคนละม้วนเลย ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากอีกพรรคหนึ่งใช่ไหมคะ

สนธิ - เผื่อแผ่กันให้ครบ คู่แฝด

จินดารัตน์ - มิน่า นิสัยคล้ายๆกัน

กมลพร - พี่สวมกับพี่ตอเคยบอกไว้ว่า เราต้องสู้ในระบบนะ เราเชื่อในระบบรัฐสภา

จินดารัตน์ - แต่วันนี้ ปรากฏว่าดีเอสไอส่งเจ้าหน้าที่ไปแจ้งความ ข้อกล่าวหาคุณสุเทพ กับคุณอภิสิทธิ์ กรณี 91 ศพ ปรากฏว่าคุณสุเทพออกมาพูดอย่างนี้ค่ะ ให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้การใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายอย่ายอมให้มีการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม และไม่ถูกต้อง อย่ายอมให้ใช้พวกมากเขียนกฎหมายยกเว้นโทษ ลบล้างความผิดให้โทษตัวเอง เพราะนั่นคือการทำลายหลักการที่สำคัญของบ้านเมือง และจะทำให้บ้านเมืองมีปัญหาต่อไปไม่สิ้นสุด ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันองค์กรทุกองค์กรต้องไม่หวั่นไหว แต่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ โดยเชื่อว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังถูกกดดันในขณะนี้ก็จะไม่หวั่นไหวเช่นเดียวกัน และบอกด้วยว่าบรรยากาศทางการเมืองตอนนี้กำลังนำไปสู่ปัญหา ซึ่งพรรคก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง และประชาชนก็ต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาประเทศด้วย เอาไงพี่

กมลพร - ตอนปี 53 พี่บอกว่า อย่าไปสู้นอกสภาฯ ทำประชาชนเดือดร้อน เราต้องเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา เข้าใจไหม

จินดารัตน์ - มันเป็นคู่แฝดกันจริงๆ เนอะ

กมลพร - พี่สวม กับพี่ตอ

สนธิ - ตะเหล่ง ตะเหล่ง เต็งเต๊งเต่งเต็งเตงเต๊ง ถุ้ย นักการเมืองไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ตาม สันดานเหมือนกันหมด โกหกตอแหลลงตับ ขอโทษนะครับ เหี้ยได้ใจทั้งคู่เลย วันนี้บทพิสูจน์ชัดเจน ชัดเจนหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นแล้วสิ่งที่ผมจะพูดคือว่า อย่าไปไว้วางใจนักการเมืองไม่ว่าจะพรรคไหนก็ตาม เพราะว่าวันนี้พิสูจน์ชัดด้วยหลักฐานข้อมูล ข้อเท็จจริงว่า ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย มันทำลายชาติทั้งสิ้น มันพูดโกหกกับประชาชน มันไม่มีสัจจะอะไรเลยกับประชาชนเลยแม้แต่นิดเดียว พูดวันนี้พรุ่งนี้ลืม ตัวเองเมื่อวานนี้เป็นคนเริ่มอันนี้ พอวันนี้คนอื่นเขาสวมตอตัวเองต่อ ตัวเองมาด่าเขา ตัวเองไม่เคยผิด คือพูดง่ายๆ ว่า ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ทำอะไรแล้วจะต้องไม่ผิด ไม่ใช่แค่เพื่อไทยอย่างเดียวนะ ทักษิณโกหกหน้าด้านๆ อภิสิทธิ์ สุเทพก็โกหกหน้าด้านๆ เช่นกัน เหมือนกันไม่มีผิด

จินดารัตน์ - สงสัยมันไม่มีต่อมที่จะคิดถึงชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่น้อยนะคะ คุณสนธิ

สนธิ - ลำบากคนพวกนี้ คนพวกนี้หลงตัวเอง คนพวกนี้ไปยึดติดกับระบบที่ตัวเองคิดว่า เมื่อประชาชนเลือกตัวเองเข้ามาแล้ว ตัวเองมีสิทธิ

จินดารัตน์ - จะทำอะไรก็ได้

สนธิ - ก็เพราะว่า ตัวเองคิดจะทำอะไรก็ได้ในยุคนั้น เพราะว่าตัวเองคิดว่า ตัวเองจะมีอำนาจต่อไป ตัวเองถึงทำหมดทุกอย่างเผื่อไว้ แต่พอตัวเองไม่มีอำนาจ คนอื่นเขามีอำนาจตัวเองก็ไปด่า ไอ้คนขึ้นมาใหม่ที่มีอำนาจเพื่อไทย ก็คิดว่าตัวเองจะมีอำนาจตลอดไป พี่ชายจะได้กลับมามีอำนาจต่อ และจะเป็นรัฐบาลต่อไปตราบชั่วนิจนิรันดร เลยทำเหี้ยอะไรก็ได้ ที่ตัวเองต้องการทำ ถ้าใครมาขวางไม่เห็นด้วย พอศาลไปขวางก็ด่าศาล คือพูดง่ายๆ ว่า พวกมึงทำอะไรไม่มีวันผิดหรอก

จินดารัตน์ - แอนพยายามจับกระแสความรู้สึกคนตอนนี้นะคะ คุณสนธิ ที่อาจจะไม่ใช่พันธมิตรฯ 100% อาจจะคือไม่ชอบพรรคเพื่อไทยแหละ แต่ก็ไม่ใช้พันธมิตรฯ เริ่มรู้สึกอึดอัด และเหมือนรู้สึกเริ่มอยู่ไม่ได้แล้ว เริ่มถามเรา คุณแอนบ้านเมืองมันไม่มีขื่อมีแปเนอะ ทำอย่างไรดี แอนเลยย้อนถามว่า แล้วพี่คิดว่าเราควรจะทำอย่างไรดีคะ เขาก็อึ้งๆ ตอบไม่ได้

กมลพร - หรือไม่ก็ประโยคที่ได้ยิน เมื่อไรพันธมิตรฯ จะออก

จินดารัตน์ - มักจะพูดคำนี้เสมอ แต่อารมณ์ความรู้สึกคนมันเริ่ม อุณหภูมิมันเริ่มสูงขึ้น มันเหมือนน้ำเดือดที่มีฝาหม้อปิดเอาไว้

สนธิ - อุณหภูมิมันยิ่งสูงเท่าไร ผมยิ่งเย็นลงเย็นลง ผมยิ่งสงบมากขึ้น เพราะว่าผมเห็นสัจธรรม เหตุการณ์บ้านเมืองทุกวันนี้มันสอนผมเยอะมาก สอนธรรมะขั้นสูงให้ผมรู้เลย ว่านี่คืออนิจจังที่แท้จริง

จินดารัตน์ - เพราะเราผ่านมาหมดแล้ว

สนธิ - เราผ่านมาหมดแล้ว

จินดารัตน์ - หนักหนาสาหัส

สนธิ - มันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น

จินดารัตน์ - ก็รับกรรมกันไปแล้วกัน มาถึงคำถามเนอะ

กมลพร - เอาอันไหน

จินดารัตน์ - อันนี้ ลุงสนธิครับ

******สัญญาณดับ********

จินดารัตน์ - จะขอเช่าอันนี้ละกันจุดประสงค์

สนธิ - องค์ 9 นิ้วน่าจะมีนะ

จินดารัตน์ - มีไหมคะ

สนธิ - แต่ว่าจะเรียนคุณจิราภานิดนึงว่า พระศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่เรา ถ้าเราเชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ และท่านจะศักดิ์สิทธิ์เพราะเหตุอะไร ท่านศักดิ์สิทธิ์เพราะ 1.เราประพฤติดี ปฏิบัติดีท่านก็ศักดิ์สิทธิ์ จบเท่านั้นเอง ไม่ได้อยู่ที่ใคร

จินดารัตน์ - งั้นสุดท้ายละกันเนอะ

กมลพร - อันนี้อยากรู้

จินดารัตน์ - สุดท้ายมีคนอยากให้คุณสนธิ เล่าเรื่องคุณโสภณ ว่าคุณสนธิรู้จักกันได้อย่างไร ผมชอบคุณโสภณมากครับ

กมลพร - ตอนแรกกะว่าจะเป็นคำถามแรกเลยนะ เลยกังวล

สนธิ - โสภณนี่รู้จักเขาอยู่ในเครือเนชั่นมาก่อน และทักทายกันคนมีวิชาชีพเดียวกัน โสภณเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่หยิ่ง ไม่ค่อยยอมใครง่ายๆ

จินดารัตน์ - มากด้วยคะ

สนธิ - และเป็นคนซึ่งบางครั้งปากแข็ง ลำบากไม่ยอมพูด เหมือนผมเลย นิสัยเหมือนกันเลย เหมือนกันมาก เป็นคนดี เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่มีจิตวิญญาณ มีหลักการ มีอุดมการณ์ ถึงแม้จะเชียร์พรรคประชาธิปัตย์มากไปหน่อย แต่ไม่ว่ากัน เพราะว่าสิทธิของการชอบพรรคการเมือง หรือไม่ชอบเป็นเรื่องของคน แต่ว่าโดยหลักการแล้วคุณโสภณจะไม่ยอมให้ความชั่ว

จินดารัตน์ - มาครอบงำ

สนธิ - มาครอบงำ เพียงแต่คุณโสภณให้ตรรกะว่า ตอนนี้ที่ต้องเชียร์พรรคประชาธิปัตย์เพราะว่า มันยังดีกว่าพรรคอื่น ซึ่งผมคิดว่า ถ้าคุณโสภณยังอยากทานขี้ผสมข้าวก็ปล่อยคุณโสภณไป ผมไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมอาชีพแล้วถือว่า คุณดีมาก มีอยู่เรื่องเดียวที่ผมพยายามจะถามคุณโสภณคือ ผมพยายามที่จะยุคุณโสภณออกมานำมวลชน แทนที่จะมาเชียร์อยู่ในจอทีวี ผมอยากเห็นคุณโสภณขึ้นเวทีนำมวลชนเลย เพราะคุณโสภณจะยุให้คนโน้นคนนี้ออก แต่ผมอยากให้คุณโสภณนำเสียที และผมจะตามคุณโสภณ

กมลพร - ให้พี่โสเป็นแกนนำ

จินดารัตน์ - เพราะพี่โสยังไม่โดนคดีเหมือนพวกเราไง

กมลพร - ตอนนี้โดนหมดแล้ว เดี๋ยวอีกรอบก็พี่โสแล้ว และเราก็เป็นคนตาม

จินดารัตน์ - ถามเขายังอะ เดี๋ยววันพุธไปถามให้นะ หมดและวันนี้ ยิ้มอะไรละ

กมลพร - สนุกวันนี้สนุกมาก

จินดารัตน์ - ต้องเข้าไปอ่านคอมเม้นท์ในเฟซบุ๊ก อย่างฮาเลยคะ เรื่องที่มาที่ไปของโสเภณีวันนี้ หลายคนเขาบอกว่า เออเนอะไม่เคยรู้ว่า คำนี้มาจากไหนอย่างไร เมื่อก่อนคนอาจจะมีความรู้สึกไม่ดีกับผู้หญิงที่ต้องทำอาชีพนี้ แต่บางคนเขามีความจำเป็นนะคะ ยังดีกว่าผู้หญิงชั่วขายชาติ

กมลพร - ใช่ อันนี้ถูกต้อง

จินดารัตน์ - และวันนี้ขอบคุณคุณสนธินะคะ ขอบคุณคุณผู้ชมนะคะ วันนี้ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ/ครับ





กำลังโหลดความคิดเห็น