xs
xsm
sm
md
lg

ศึกรัฐบาลชนผู้ว่าฯแบงก์ชาติ คนดีแพ้ไม่ได้ชาติบรรลัยทันที

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว

ปรากฏการณ์ “วีรชัยฟีเวอร์” อันเกิดจากการทำหน้าที่ของทูตวีรชัย พลาศรัย หัวหน้าทีมกฎหมายไทยในการสู้คดีปราสาทพระวิหารกับกัมพูชา เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทยในการต่อสู้ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮกในระหว่างวันที่ 15-19 เมษายน 2556 นั้น สะท้อนถึงความโหยหาคนดี มีฝีมือ ที่พร้อมเสียสละเพื่อชาติ ซึ่งในยามนี้หายากเต็มที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ข้าราชการที่ทำตัวเป็น “ขี้ข้านักการเมือง”มากกว่าจะเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อทูตวีรชัย ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยไม่ให้นโยบายฝ่ายการเมืองที่พยายามทำตัวเป็นเบี้ยล่างกัมพูชามาตลอดโดยท่องคาถาเดียวคือ “ต้องรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ”

แต่ในการหักล้างข้อมูลของฝ่ายกัมพูชา ทูตวีรชัยและทีมกฎหมายได้แสดงให้คนไทยทั้งประเทศประจักษ์ถึงการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาแทรกแซงแนวทางการต่อสู้

กระทั่งกระชากหน้ากากความเจ้าเล่ห์ของกัมพูชาให้ทั่วโลกได้เห็นว่า ทั้งเจ้าเล่ห์ กลับกลอก ไร้ความซื่อสัตย์ ปลอมได้แม้กระทั่งแผนที่ที่ส่งให้ศาลพิจารณาประกอบการตัดสินคดี

สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า รางวัลครุฑทองคำที่ ทูตวีรชัยได้มานั้นมีความเหมาะสม อย่างยิ่ง และข้าราชการอื่นที่หมอบราบคาบแก้วอยู่ใต้อุ้งตีนขงระบอบทักษิณ ก็ควรจะได้ตระหนักว่า การเป็นข้าราชการที่ดีมีคุณค่ามากกว่าการรับใช้การเมืองเพื่อผลประโยชน์

เพราะแม้ว่าหลายคนจะได้ดิบได้ดีจากการรักษาประโยชน์ให้นักการเมืองมากกว่าคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ แต่คนเหล่านั้นไม่มีวันที่จะได้สัมผัสความภาคภูมิใจที่คนไทยทั้งประเทศมอบความไว้วางใจให้เหมือนที่ทูตวีรชัยได้รับ

อีกบุคคลหนึ่งที่สมควรจะต้องหยิบยกมาพูดถึงคือ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าแบงก์ชาติ ที่กำลังถูกพายุการเมืองถาโถมเข้าใส่แบบไม่ยั้ง ตั้งแต่ กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ออกปากว่า “อยากปลดผู้ว่าแบงก์ชาติทุกวัน เพราะไม่ยอมสนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย”

ที่หนักหนาสาหัสไปกว่านั้นคือ คนเป็นข้าราชการอย่าง นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาผสมโรงร่วมด้วยช่วยกระทืบ โดยอ้างถึงขนาดว่า เกิดความเสียหายจากค่าเงินบาทแข็ง เทียบเท่ากับวิกฤตต้มยำกุ้ง และเสนอให้ใช้เป็นเหตุผลในการปลดประสาร ออกจากตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ เพราะทำให้เกิดความเสียหายรุนแรง

พฤติกรรมเยี่ยงนี้ไม่ต่างจาก “นายว่าขี้ข้าพลอย” ทั้ง ๆ ที่คนเป็นถึงรองปลัดกระทรวงการคลัง ควรจะเข้าใจถึงความจำเป็นในการดำรงความเป็นอิสระของแบงก์ชาติเป็นธนาคารกลางของประเทศ ว่า ไม่ควรปล่อยให้การเมืองเข้ามาล้วงลูกเนื่องจากเสียงต่อการสร้างความเสียหาย

เพราะการเมืองมักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้น แต่หน้าที่ของแบงก์ชาติคือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจแบบฉาบฉวย
บรรยากาศเช่นนี้จึงอาจเรียกได้ว่าไม่แตกต่างไปจากในยุคที่ นักโทษชายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งในสมัยนั้นมีการปลด ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หรือ หม่อมเต่า ออกจากการเป็น ผู้ว่าแบงก์ชาติ โดยเจ้าตัวเคยอธิบายถึงเหตุผลที่ถูกปลดว่า

เป็นเพราะไม่สนองนโยบายที่รัฐบาลต้องการให้แบงก์ชาติสั่งการให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี แถมยังไปออกกฎเกณฑ์ที่ทำให้การปล่อยสินเชื่อต้องมีความระมัดระวังมากขึ้นด้วย
เมื่อการดำเนินการสวนทางกับความต้องการของฝ่ายการเมืองที่หวังเพียงประโยชน์ระยะสั้นแต่ไร้ความรับผิดชอบต่อประเทศระยะยาว ผลจึงออกมาว่า หม่อมเต่า ถูกปลด มีการตั้ง ม.ร.ว.ปริดิยาธร เทวกุล มาดำรงตำแหน่งแทน

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.2544 แต่เริ่มงานจริง 4 มิ.ย. เพียงสัปดาห์แรกก็สนองความต้องการรัฐบาลทันที ด้วยการประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหรืออัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) 14 วัน จาก 1.5% เป็น 2.5% ตามที่รัฐบาลในขณะนั้นต้องการให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

ล่าสุด หม่อมเต่าออกมาบอกถึงชะตากรรมในครั้งนั้นของตัวเองว่า “ผมถือเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติคนสุดท้ายที่ถูกปลด แต่การจะปลดผู้ว่าแบงก์ชาติในปัจจุบันไม่ง่าย เพราะมีกฎหมายคุ้มครองว่าการจะปลดผู้ว่าแบงก์ชาติออกจากตำแหน่งจะต้องมีเหตว่าผู้ว่าแบงก์ชาติกระทำความผิด ความเสียหาย หรือทุจริตจนเกิดความเสียหายกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างร้ายแรง

จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปลด ประสาร ออกจากตำแหน่ง กิตติรัตน์ จึงทำได้เพียงแค่คิดอยากปลดทุกวัน และสร้างแรงกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทางสาธารณะ เพื่อให้ประสารสยบยอมต่อฝ่ายการเมือง ซึ่งต้องเรียกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง

เพราะการออกมาแสดงความไม่ลงรอยระหว่าง รมว.คลังที่ดูแลนโยบายด้านการคลัง กับผู้ว่าแบงก์ชาติที่ดูแลนโยบายด้านการเงิน ย่อมส่งผลต่อความเชื่อมั่นในภาพรวมว่า ธนาคารกลางของประเทศกำลังจะถูกบงการโดยฝ่ายการเมือง และนั่นอาจนำไปสู่ผลกระทบด้านความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีแต่นโยบายประชานิยมบ้าคลั่ง ที่นำไปสู่การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้เข้าประเทศ จนส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินของประเทศ

ไม่ว่าจะเป็น โครงการจำนำข้าวที่ทำให้เกิดความเสียหายแล้วกว่าสองแสนล้านบาท และการที่รัฐบาลเตรียมจะกู้เงินนอกงบประมาณอีก 2 ล้านล้านบาท สร้างหนี้ 5.16 ล้านล้านบาทให้ประชาชนแบกภาระหนี้ยาวนานถึง 50 ปี หรืออาจนานถึง 100 ปี จากการส่งสัญญาณของสำนักบริหารหนี้สธารณะที่เตรียมจะออกพันธบัตรร้อยปีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ทั้งนี้เมื่อย้อนดูจุดยืนของ ประสาร ในฐานะผู้ว่าแบงก์ชาติ ในฐานะคนไทยต้องขอแสดงความชื่นชมที่ได้พยายามอย่างยิ่งในการรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม จากการสู้กลับแนวคิดมักง่ายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์มาเกือบตลอดสองปี

เพราะวิธีคิดของรัฐบาลมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อหาคะแนนนิยมทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวที่จะเกิดกับเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่ประสารยืนหยัดแนวคิดในการทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ

ศึกหนักที่ผู้ว่าแบงก์ชาติสู้กับฝ่ายการเมืองอย่างเหนื่อยยาก คือ กรณีที่รัฐบาลพยายามจะผลักภาระหนี้เงินต้นของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.14 ล้านล้านบาท ไปให้แบงก์ชาติแบกรับแทน เพื่อลดภาระการจัดงบประมาณของภาครัฐในเรื่องการชำระหนี้ก้อนนี้ และต้องการผลักให้หนี้ดังกล่าวไปเป็นของแบงก์ชาติ โดยไม่ให้มาเป็นส่วนหนึ่งของหนี้สาธารณะ แต่สุดท้ายก็ไม่ถึงฝั่งฝัน ทำได้เพียงแค่โอนภาระหนี้มาเท่านั้น แต่หนี้ก้อนนี้ยังคงถือเป็นหนี้ของประเทศ ที่คอยเตือนรัฐบาลว่ายังมีภาระไม่ใช่ว่าจะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยโดยไม่อนาทรร้อนใจต่อรายจ่ายที่ประเทศพึงมี

ประสาร ยังประสบความสำเร็จในการรักษาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ นำไปจัดตั้งกองทุนมั่งคั่ง เหมือนที่พยายามมาตลอดตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาล ไม่เช่นนั้นป่านนี้คลังหลวงก็อาจร่อยหรอย่อยยับคามือรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปแล้ว

ความเป็นมืออาชีพของประสารที่ไม่โอนอ่อนผ่อนตามการเมือง แต่มุ่งรักษาประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ยังสะท้อนผ่านการแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับอันตรายจากประชานิยมบ้าคลั่งของรัฐบาล ที่ส่งผลให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้น เงินออมประชาชนน้อยลง และที่สำคัญคือเริ่มเห็นสัญญาณของปัญหาฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์

กระทั่งล่าสุด กิตติรัตน์ ก็เปิดศึกรอบใหม่ หลังไม่ได้ดั่งใจจากการพยายามบีบให้แบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเคยถึงขนาดทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนจะพัฒนามาเป็นคำพูดว่า อยากปลดผู้ว่าแบงก์ชาติออกจากตำแหน่งทุกวัน

ในขณะที่ประสาร ชี้แจงมาโดยตลอดว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายจะมีผลกระทบให้เกิดปัญหาฟองสบู่และทำให้ประชาชนก่อหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวม นอกจากนี้ดอกเบี้ยนโยบายก็ไม่ใช่เครื่องมือเดียวในการแก้ปัญหา ค่าเงินบาทแข็ง หรือการไหลเข้าของเงินนอก แต่ยังมีเครื่องมือตัวอื่นที่สามารถดำเนินการได้เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม

สังคมไทยต้องให้กำลังใจคนดี เปิดพื้นที่ให้คนดีมีที่ยืนในระบบเพื่อรักษาประโยชน์ชาติ ถ้าคนไทยเห็นว่าทูตวีรชัย ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทยจนควรค่าต่อการยกย่อง ก็ต้องไม่ลืมที่จะเป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็กให้กับคนชื่อประสาร ได้มีพละกำลังในการเป็นขุนพลของชาติรักษาแนวรบด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศ

เพื่อไม่ให้สถานะของชาติตกอยู่ในความเสี่ยงจากความมักง่ายและประชานิยมบ้าคลั่งของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง
กำลังโหลดความคิดเห็น