หน.ปชป.ย้ำ ม.190 ให้สภามีส่วนร่วมถกสัญญา ตปท.ควรมี ชี้อนาคตฝ่ายนิติฯ มีส่วนมากขึ้น เหตุกระทบ ปชช. อย่าปิดช่องสอบ ย้อนดูบทเรียนแถลงการณ์ร่วมหนุนเขมรขึ้นทะเบียนพระวิหาร หวั่น รบ.คิดแค่ทำงานยุ่งยาก ไม่สนประโยชน์ชาติ ให้กำลังใจศาล รธน.หนักแน่นไม่หวั่นจ่าฝูงแดงนำสาวกบุกป่วน บี้ รบ.รับผิดชอบ “ปู” ต้องขวางพฤติกรรมไร้ ปชต.
วันนี้ (24 เม.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ว่า ตนมาให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาภาพรวมของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งจะมีทั้งฝ่ายที่เคยอธิบายแล้วว่ามีปัญหา รวมทั้งผู้ที่มีความเห็นว่าเหตุใดจึงมีการพัฒนามาตรา 190 มาเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน จึงยังไม่ได้ลงรายละเอียดในเนื้อหา แต่เป็นเรื่องแนวคิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่สภาควรมีโอกาสมีส่วนร่วมพิจารณาว่าควรมีขอบเขตอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวยืนยันว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านวาระ 1 ของรัฐสภาที่มีการตัดข้อตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับเศรษฐกิจและสังคมออกไปทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ เพราะแนวโน้มของโลกจะเห็นได้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะเข้ามามีส่วนร่วมเกี่ยวกับข้อตกลงการค้ามากขึ้น เพราะกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศมากที่สุด แต่เมื่อมีการตัดในส่วนนี้ออกไปก็เท่ากับว่าฝ่ายบริหารกำลังรวบและตัดอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการตรวจสอบ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาได้ง่าย เพราะทุกข้อตกลงย่อมมีผลกระทบภายในประเทศ จึงอยากให้รัฐบาลนำบทเรียนจากแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่ไปสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยต้องเก็บเกี่ยวบทเรียนอย่างถูกต้องว่าเมื่อมีความสุ่มเสี่ยง จึงจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบ แต่ตนเกรงว่ารัฐบาลจะสรุปบทเรียนแบบผิดๆ โดยคิดว่ามาตรา 190 เป็นอุปสรรคของฝ่ายบริหารทำให้เกิดความยุ่งยาก แทนที่จะดูในแง่ประโยชน์ส่วนรวม ทั้งที่ความจริงไม่ใช่ แต่มาตรา 190 ช่วยให้การบริหารเป็นไปอย่างถูกต้องและเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงกรณีที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ประกาศชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดง 5 หมื่นคนเพื่อกดดันศาลรัฐธรรมนูญว่า ตนขอเป็นกำลังใจให้ฝ่ายตุลาการ และองค์กรศาลว่าอย่าหวั่นไหว ส่วนใครจะมาแสดงออกต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งตุลาการก็ต้องไม่หวั่นไหว เพราะหากปล่อยให้การกดดันมีผลต่อการพิจารณาของตุลาการ บ้านเมืองก็จะไม่มีหลัก จึงขอให้ทุกฝ่ายทำหน้าที่ตรงไปตรงมา ส่วนที่มีการขู่ว่าจะมีการล้อมศาลนั้น ทุกคนก็ต้องแสดงออกถึงความหนักแน่นมั่นคงว่าจะปฏิบัติหน้าที่เต็มที่โดยไม่กังวลต่อแรงกดดัน และรัฐบาลมีหน้าที่ดูแลให้ทุกองค์กรสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนเองตามกฎหมายได้ และจะหลีกหนีความรับผิดชอบไม่ได้
สำหรับกรณีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ระบุว่าคนเสื้อแดงสามารถชุมนุมกดดันศาลรัฐธรรมนูญได้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีต้องสั่งการดูแลให้ทุกอย่างเรียบร้อยไม่ให้เกิดปัญหาต่อการทำหน้าที่ตุลาการ และต้องส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่าจะไม่ปล่อยให้มีการใช้มวลชนมาข่มขู่การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการ เพราะขณะนี้ไม่ใช่องค์กรศาลที่ก้าวก่ายฝ่ายนิติบัญญัติ แต่เป็นเพราะรัฐบาลหยิบประเด็นที่กระทบต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ทำให้มีการร้องไปที่ศาล ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหารพยายามรุกคืบที่จะหยิบทุกกลไก จึงทำให้มีการใช้มวลชนมากดดันด้วย สังคมต้องไม่ยอมสิ่งเหล่านี้ ไม่อย่างนั้นจะกระทบต่อการตรวจสอบถ่วงดุลและการคานอำนาจ จนนำสู่การไม่เป็นประชาธิปไตยในที่สุด