“โดนัลด์ แมกเร” ทนายฝ่ายไทย ยืนยันพิกัดอาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร คือเส้นแนวรั้ว ตามมติ ครม.ปี 05 เตรียมยื่นข้อมูลให้ผู้พิพากษา “ยูซุฟ” ระบุคำตัดสินศาลโลกเดิมแค่ต้องการให้ถอนทหารจากตัวปราสาท ไทยจึงล้อมรั้วแล้วถอนกำลังออกมาอยู่ด้านหลัง โดยที่ฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ประท้วง
เมื่อวันที่ 19 เม.ย. นายโดนัลด์ แมกเร (Donald McRae) ทนายความฝ่ายไทยได้ให้การโดยวาจาต่อศาลโลก ในคดีการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ต่อจาก น.ส.อลินา มิรอง โดยกล่าวว่า ฝ่ายกัมพูชาพยายามที่จะโยงคำตัดสินของศาลโลกในปี 2505 ตามบทปฏิบัติการข้อที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน และพยายามที่จะให้ศาลกำหนดเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ตามแผนที่ในภาคผนวก 1 ทั้งที่บทปฏิบัติการตามคำพิพากษาปี 2505 ไม่ได้พูดถึง
แต่กัมพูชาพยายามให้ตีความเรื่องดังกล่าวโดยอ้างความขัดแย้งเรื่องอาณาบริเวณรอบปราสาท หรือ vicinity โดยโยงไปว่ามีข้อพิพาทเกิดขึ้น ขอให้ศาลตัดสินโดยใช้แผนที่ตามภาคผนวกที่ 1 ซึ่งหากศาลทำเช่นนั้นจะทำให้คำว่า vicinity แตกต่างออกไปจากบทปฏิบัติการตามคำพิพากษาปี 2505 โดยกัมพูชาพยายามให้คำว่าเขตแดน หรือ territory เป็นอันเดียวกันกับ vicinity
ประเด็นที่กัมพูชาให้ไทยถอนทหารออกมานั้น เราถอนออกมาแล้ว และมันก็มีแค่นั้น แต่เขมรก็ยังพยายามสร้างความสับสน และอ้างว่าบทปฏิบัติการตามข้อ 1 (ปราสาทพระวิหารอยู่บนดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา) เป็นการอ้างขอบเขตดินแดน แต่ในความเป็นจริง เป็นแค่การบอกว่าตัวปราสาทอยู๋ภายใต้อธิปไตยของใคร ส่วนเขตแดนอยู่ที่ไหนนั้น ศาลไม่ได้ตัดสิน
ส่วนเรื่องที่ไทยทำการล้อมรั้วรอบตัวปราสาทตามมติ ครม.ปี 2505 หลังจากศาลโลกมีคำพิพากษานั้น กัมพูชาอ้างว่า รัฐใดๆ ไม่มีสิทธิทำเขตแดนขึ้นแต่ฝ่ายเดียว และไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศบังคับให้ปฏิบัติตามนั้น ก็เป็นการอ้างกฎหมายที่เป็นคุณกับตัวเองเท่านั้น การถอนทหารออกมาตามบทปฏิบัติการข้อ 2 ก็ใช้บังคับกับประเทศไทย ชัดเจนอยู่แล้ว จึงเป็นหน้าที่ของไทยในการถอนทหาร และไทยไม่มีหน้าที่ต้องไปถามกัมพูชา ไทยถอนทหารออกมาเองได้ และก็ได้ทำแล้ว โดยการใคร่ครวญอย่างดี ด้วยการกำหนดเส้นตามมติ ครม.แล้วถอนทหารออกมาอยู่หลังเส้นนั้น แล้วทำไมกัมพูชาไม่ประท้วง
นายแมกเรกล่าวอีกว่า เราไม่เชื่อว่าคำพิพากษาในปี 2502 พยายากำหนดพื้นที่เฉพาะเรื่องดินแดน แต่วัตถุประสงค์หลักคือการให้ไทยถอนทหารออกมาจากตัวปราสาท เพราะมันอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา ครม.ของไทยในปี 2505 จึงได้ระบุพื้นที่และถอนกำลังทหารออกมาอยู่หลังเส้นนั้น เพราะฉะนั้นจึงถือว่าเส้นนี้เป็นขอบเขตอาณาบริเวณใกล้เคียง หรือ vicinity ของปราสาทพระวิหาร ตามที่ผู้พิพากษายูซุฟได้ถามมา และจะส่งข้อมูลให้ตามนี้ให้ผู้พิพากษายูซูฟ พร้อมขอสงวนสิทธิที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น
ต่อมา ศ.เจมส์ ครอว์ฟอร์ด ทนายความฝ่ายไทยได้ให้การว่า การที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า มีการยอมรับแผนที่ตามภาคผนวก 1 เป็นสนธิสัญญานั้น เรายังไม่เคยมีใครเห็นในการตัดสินของศาลที่ว่า เป็นการยินยอมเข้าสู่การเป็นสนธิสัญญา จึงเป็นการพูดที่แปลกประหลาด เพราะศาลไม่ได้บอกไว้ในคำตัดสินเลยว่าเป็นสนธิสัญญา
ส่วนการเสด็จไปยังปราสาทของเชื้อพระวงศ์ เมื่อวานนี้ นายบันดี ทนายความของกัมพูชาพยายามเปรียบเทียบการเสด็จไปของสมเด็จนโรดมสีหนุ กับกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โดยที่นายบันดีไม่ยอมรับว่าสมเด็จเจ้าสีหนุเสด็จไปแล้วไม่ได้บอกอะไร การเสด็จไปของสีหนุเนื่องในโอกาสได้รับปราสาทคืนมาโดยถูกฎหมาย เป็นข้อมูลที่ปรากฏในภาคผนวกที่ 6 แต่นายบันดีไม่ได้บอกว่า สีหนุเสด็จไปแล้วได้บอกว่าเห็นทหารไทยที่เชิงเขา แต่เป็นทหารที่ถอนกำลังออกไปแล้ว
กรณีที่นายบันดีบอกว่า ศาลปฏิเสธที่จะใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดนตามที่ฝ่ายไทยต้องการนั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะศาลแค่บอกว่าเส้นเขตแดนไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามเส้นสันปันน้ำเท่านั้น และศาลก็ไม่ตัดสินเรื่องอาณาบริเวณรอบตัวปราสาท
นอกจากนี้ กัมพูชายังเชื่อผิดๆ ว่า ศาลสามารถใช้มาตรา 60 ของธรรมนูญศาลโลก ไปตีความลงลึกส่วนในเหตุผลของบทปฏิบัติการได้