“เฉลิม” ป้อง “นิคม” เป็นกลางมีสปิริตควรชื่นชม งง แก้ ม.68 ล้มล้างการปกครองตรงไหน โบ้ยโทษยุบพรรคเป็นเผด็จการ ฟันธงศาล รธน.รับคำร้องแต่เอาผิดไม่ได้ เย้ย ปชป.อย่าหวังส้มหล่น จะยุบอย่างไรก็มีเสียงในสภา 265 เสียง ไม่มีการเปลี่ยนขั้วการเมืองแน่นอน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 3 เม.ย. เมื่อเวลา 20.20 น. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าเอาแต่พูดจาน้ำเน่าซ้ำซาก ที่อ้างว่าการแก้มาตรา 68 เพื่อนิรโทษกรรม ไม่มีสาระอะไรเลยเสียเวลาสภา โยงไปโยงมาไม่พ้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วันนี้พวกตนไม่เอารัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะเป็นกากเดนเผด็จการ มาตรา 190 เวลาเอาเข้าสู่สภาก็มีแต่พูดไร้สาระ ตอนตัวเองเป็นรัฐบาลกลับไม่กล้าตัดสินใจอะไรเลย และขอให้ประชาชนจำชื่อไอ้คนที่คัดค้านการแก้ประเด็นที่มาของ ส.ว.เอาไว้ และยืนยันว่าเอาใจ ส.ว.เลือกตั้ง เพราะเขามาจากการเลือกตั้ง ส่วน ส.ว.สรรหา ก็ยังมีบทเฉพาะกาลให้อยู่ต่อไป กรณีที่ ส.ว.ร่วมลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ และที่ประธานวุฒิสภาร่วมเข้าชื่อ 2 ประเด็นก็ในฐานะส.ว. แต่ท่านไม่ได้ร่วมลงชื่อแก้ไขที่มาของ ส.ว. นี่คือสปิริตท่านรู้ว่าควรทำอย่างไร จึงควรชื่นชมกัน ไม่ใช่มาตำหนิกัน และจนถึงวันนี้ยังไม่มีตรงไหนที่ทำให้เห็นว่านายนิคมไม่เป็นกลาง
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ส่วนประเด็นมาตรา 68 และ 237 โทษยุบพรรคต้องยกเลิก เพราะเป็นกฎหมายเผด็จการ และเราต้องการให้เกิดความชัดเจนว่าต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดวินิจฉัยก่อนส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ไม่ใช่มารับคำร้องได้โดยตรง และจากคำสั่งเมื่อครั้งแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เราก็เลยมาเสนอแก้ไขเป็นรายมาตรา แต่ครั้งนี้ยังมีผู้ส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีก จนสุดท้ายมีมติรับเรื่องไว้วินิจฉัย 3 คน ไม่รับ 2 คน ไปต่างประเทศอีกส่วนหนึ่ง มันมีปัญหาตรงที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีอำนาจรับคำร้องโดยไม่ต้องผ่านอัยการสูงสุด แต่พวกตนไม่เห็นด้วย ก็ต้องมาแก้ให้ บ้านเมืองจะได้เรียบร้อย ที่คิดแก้นี่คือล้มล้างการปกครองหรือ ไม่ได้ฉกชิงวิ่งราวใครมา เป็นรัฐบาลที่สง่างาม นายกฯ ไทยได้รับการยอมรับจากทั่วโลก หากปล่อยไปอย่างนี้ศาลรัฐธรรมนูญไม่ต้องทำงานแล้ว เพราะจะมีแต่คนไปร้องต่อศาลฯ โดยตรง จะเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย ซึ่งตนเชื่อว่าสุดท้ายเมื่อรับคำร้องแล้ว คงจะมีการไต่สวน แต่ฟันธงได้เลยว่าไม่มีความผิด เพราะในมาตรา 68 ใช้คำว่า “และ”
ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอีกว่า ที่บอกว่ามีการแทรกแซงอัยการสูงสุดนั้น การสั่งยุบพรรคที่ผ่านมาล้วนผ่านอัยการสูงสุดทั้งสิ้น และถูกยุบไปแล้วหลายพรรค มีแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นที่ไม่ถูกยุบ ก็เป็นสิทธิของประชาธิปัตย์ ขนาดคดีไซฟ่อนเงิน 295 ล้านบาท โยนติ้วไปก็นึกว่าจะถูกยุบแต่สุดท้ายก็ไม่ยุบ ส่วนพรรคเพื่อไทยจะถูกยุบอีกก็ไม่มีปัญหา แต่เราต้องพูดความจริงเพื่อให้ชาวบ้านรับทราบกัน ตนไม่ติดใจที่ศาลฯ รับคำร้องไว้อีก ให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน จะยุบอย่างไรพวกตนก็ยังมี 265 เสียง อาจได้มากกว่าอีก บางพรรคนึกจะได้ส้มหล่นมาอีก ส้มมันหมดแล้ว ไม่มีงูเห่าภาค 3 ฟันธงงานนี้สุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญต้องวินิจฉัยว่าต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดเท่านั้น ตนกับนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ นายบุญส่ง กุลบุปผา หรือนายจรัญ ภักดีธนากุล รู้จักกันดีสมัยเป็น รมว.ยุติธรรม แต่ตนไม่เคยไปขอร้องอะไร ประกาศตรงนี้ยุบอีกจะไม่มีการเปลี่ยนขั้วการเมืองแน่
ขณะที่นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ประท้วง ร.ต.อ.เฉลิมพูดนอกประเด็น พร้อมกับกล่าวหาว่าพูดเหมือนคนเมา เพราะมีประวัติในสภา ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมตอบกลับว่า ไม่เสียหาย ไม่ถือสา ไม่ใส่ใจ นอกจากว่าที่ตนพูดมันโดนกลางใจใช่ไหม จะมาเลื่อนชั้นจากการประท้วงไม่ได้ ประชาชนเขารู้ว่าใครเป็นใคร จากนั้น ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวต่อว่า เราต้องการทำให้ทุกอย่างมันอยู่ในรูปในรอย