ผบ.ทบ.เปิดโครงการปลุกจิตสำนึก รู้คุณแผ่นดินปีที่ 2 ซัดคนไทยไม่รู้จักคุณแผ่นดินไม่รู้จะเป็นคนไทยไปทำไม ยันพยายามแก้ปัญหาแต่ยังแก้ไม่ได้ทั้งหมด ชี้สื่อสำคัญทำให้ชาติมั่นคง ยันไฟไหม้ศูนย์อพยพไม่ได้วางเพลิง อย่าฟังไปเรื่อยเปื่อย โอดทหารเจ็บปวดต้องยอมกลืนเลือดกลั้นน้ำตา พร้อมส่งชนกลุ่มน้อยกลับบ้านเกิด
วันนี้ (28 มี.ค.) ที่กองบัญชาการกองทัพบก เมื่อเวลา 15.00 น.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เป็นประธานเปิดโครงการ “ปลุกจิตสำนึก รู้คุณแผ่นดินปีที่ 2” โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวตอนหนึ่งว่า โครงการปลุกจิตสำนึก รู้คุณแผ่นดิน เพื่อรณรงค์ให้คนไทยตระหนักรู้ถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของตนบนพื้นฐานแห่งจริยธรรมอันดีงาม และตระหนักในการเป็นคนไทย ภายใต้แนวคิดการทำหน้าที่ของคนไทยว่า ทุกวันนี้ตนมีความห่วงใยว่า ประเทศชาติจะอยู่อย่างไร และคนรุ่นหลังจะได้รับการถ่ายทอดสิ่งที่ดีๆหรือไม่ เข้าใจถึงสถานการณ์ดีพอแค่ไหน เพราะหากคนไทยไม่รู้จักคุณของแผ่นดินก็ไม่รู้จะเป็นคนไทยไปทำไม แต่ตนรู้สึกโล่งอกไปบางเรื่องที่มีประชาชนที่ให้ความสำคัญในเรื่องสถาบัน อย่างไรก็ตามสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ท่านทรงรับสั่งไว้เสมอ ว่าจะทำอย่างไรที่จะดูแลประชาชนของพระองค์ท่านให้ทั่วถึงและอยู่ดีมีสุข ซึ่งจะให้ท่านลงไปดำเนินการเองก็ไม่ได้ ท่านจึงต้องดำเนินการผ่าน เจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน เพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์ท่านให้ดูแลประชาชนได้ทั่วถึง ทั้งนี้ ทั้ง 2 พระองค์ ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว ซึ่งอยากให้ทั้ง 2 พระองค์ ได้พักผ่อน และได้ชื่นชม สิ่งที่ท่านทรงแลกมาด้วยหยาดเหงื่อ ทุกวันนี้ตื่นเช้า ตนตื่นเช้าขึ้นมารู้สึกทุกข์ใจไม่มีความสุข แต่พยายามทำทุกอย่างเพื่อรักษาสิ่งที่บรรพบุรุษสร้างไว้ให้เพื่อให้ลูกหลานได้สานต่อ และมองว่าปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตนพยายามแก้ปัญหาก็ยังแก้ไม่ได้ทั้งหมด และหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะเข้ามาแก้ไขแทน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนเข้าใจดีถึงสื่อในวันนี้ในระบบโซเชียลมีเดียเป็นการสร้างกลุ่มพลังมวลชนคนรุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นการปลุกจิตสำนึกในความเป็นคนไทย รู้คุณแผ่นดิน รู้จักประวัติศาสตร์ชาติไทย รู้จักความเป็นมาเป็นไปของพวกเราทุกคน จนมีประเทศไทยถึงทุกวันนี้ได้ก็ด้วยหลายส่วนประกอบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรพบุรุษไทย พระมหากษัตริย์ไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทุกส่วนได้หล่อหลอมเป็นประเทศไทยที่น่าอยู่ น่าอาศัย จนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นตนเห็นว่าสื่อเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด ในการที่จะทำให้ประเทศชาติเกิดความมั่นคง ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจกัน ในระหว่างคนภายในชาติ ถ้าเราคิดว่าจะสร้างความเข้าใจให้กับคนอื่น สร้างความเข้าใจให้กับคนในโลกได้ เราต้องสร้างความเข้าใจกับคนของเราก่อน ให้เข้าใจกันได้ในทุกมิติ คือ มิติแรกเป็นเรื่องของความมั่นคง ด้านที่ 2 เป็นเรื่องของเศรษฐกิจ และด้านที่ 3 เป็นเรื่องของศิลปะและวัฒนธรรม ทั้ง 3 ประการนั้นเป็นแก่นของความเป็นชาติ เรามีสถาบันหลักคือ ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักที่จะทำให้การเดินไปสู่ความมั่นคง กับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนอย่างเป็นระบบ ตนถือว่าในวันนี้ที่เรามาร่วมกันปลุกจิตสำนึกคนไทย บางครั้งเราอยู่กันจนบางครั้งลืมไปแล้วว่า เราเป็นใครมาจากไหน และไม่รู้ว่าเราได้อะไรมาจากผืนแผ่นดินแห่งนี้บ้าง อย่างน้อยเราควรนึกถึงปู่ ย่า ตา ยาย ที่ทุ่มเทเสียสละชีวิต ร่างกาย ทับถมผืนแผ่นดินนี้ จนสูงขึ้นทุกวัน และอีกหน่อยก็จะถึงคิวของพวกเรา ที่จะถมแผ่นดินผืนนี้ให้สูงขึ้น ไปเรื่อยๆ เพื่อจะได้ให้คงความเป็นไทยได้อีกหลายร้อยหลายพันปี ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ที่ดีงาม ต่อไป
“ผมขอขอบคุณทุกสื่อโดยเฉพาะสื่อสายทหาร ซึ่งเป็นสื่อของความมั่นคง คงจะต้องช่วยกันเรียนรู้ว่าจะร่วมมือกันอย่างไรให้ประเทศชาตินั้นมั่นคงเกิดขึ้น ทำอย่างไรสถาบันหลักจะปลอดภัย ทำอย่างไรทหารจะมีกำลังใจในการทำหน้าที่ บางครั้งทหารเราไม่ได้มองแต่มุมมองด้านความมั่นคงอย่างเดียว เราพยายามจะพัฒนาตนเอง เราพยายามที่จะเรียนรู้เราพยายามจะนำเอาหลายๆ บทบาทของคนอื่นๆ มาผสมผสานกัน ทั้งนี้เพื่อนำสู่การปฏิบัติ เพราะเราจะต้องไปทำงานร่วมกับคนอื่น อย่ามองทหารว่า ใช้แต่กำลัง มีแต่ความดุเดือด เพราะบางเวลาก็ใช้ไม่ได้ ถ้าเป็นยามศึกสงครามก็ต้องใช้ ความห้าวหาญ ในยามบ้านเมืองปกติ ก็ต้องพูดกันด้วยเหตุด้วยผล” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า เหตุการณ์ไฟไหม้ศูนย์พักพิงผู้อพยพที่บ้านแม่สุรินทร์ จ.แม่ฮ่องสอน เกิดจากการลอบวางเพลิงว่า ยืนยันว่าเหตุไฟไหม้ศูนย์อพยพดังกล่าวเป็นอุบัติเหตุ เพราะตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุตนได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 3 เข้าไปตรวจสอบและยืนยันว่า ไม่มีการลอบวางเพลิงตามที่มีการกล่าวอ้าง อย่าไปฟังเรื่องเรื่อยเปื่อย ชีวิตคนไม่มีใครทำแบบนั้น คุณคิดว่าทหารทุกคนใจร้ายอย่างนั้นเหรอ ไม่อยากให้อยู่ก็เผาบ้านเขา ตนไม่ทำ ถ้าไม่ชอบคนนี้จะให้ทหารไปไล่ยิง ตนไม่ทำ ถึงจะรังเกียจอย่างไรทหารก็ไม่ทำ เพราะเราเป็นคนไทยและตนเป็นเจ้าหน้าที่ ทหารต้องเจ็บปวดเสียสละและยอมทุกอย่าง การแค้น เคืองและโกรธ ไม่ชอบก็ฆ่ากันนั้นมันทำไม่ได้ ทหารต้องเจ็บปวดยอมกลืนเลือดและน้ำตาไว้ข้างใน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า การส่งชนกลุ่มน้อยกลับประเทศ ถือเป็นนโยบายหลักของทุกรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด โดยส่งกลับประเทศต้นทาง แต่ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอม เพราะถือเป็นกติกาของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่ผ่านมามีชนกลุ่มน้อย 190,000 คน แต่ขณะนี้กลับไปแล้วประมาณ 70,000-80,000 คน เหลือประมาณ 120,000 คน ที่รอประเทศที่สามเข้ามารับ แต่วันนี้ตนคิดว่าคงไม่มีใครรับแล้ว ดังนั้นจะต้องส่งเขากลับประเทศ