กาญจนบุรี - ผู้ว่าฯ กาญจนบุรี สั่งนายอำเภอสังขละบุรี คุมเข้มศูนย์พักพิงบ้านต้นยาง สังขละบุรี ห้ามเกิดปัญหาแบบศูนย์อพยพผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านแม่สุรินทร์ อำเภอขุนยวม แม่ฮ่องสอนเด็ดขาด
วันนี้ (25 มี.ค.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า หลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ศูนย์อพยพผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านแม่สุรินทร์ ต.สามเงา อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ว่า ในส่วนของทางจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลศูนย์พักพิงผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านต้นยาง ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี อย่างเข้มงวด โดยได้กำชับให้ทางอำเภอสังขละบุรี กวดขันเกี่ยวกับเรื่องการจัดระเบียบในการบริหารจัดการให้เกิดความเรียบร้อย
“อีกทั้งยังได้กำชับให้เข้มงวดเกียวกับจำนวผู้ลี้ภัยให้อยู่ในจำนวนเท่าเดิม อย่าให้มีจำนวนมากขึ้น เพราะตอนนี้ ปัญหาการสู้รบในประเทศบ้านก็มีการทำสัญญาสงบศึกกันแล้ว ดังนั้น หากสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นก็จะประสานกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อประสานงานส่งกลับผู้ลี้ภัยกลับไปยังมาตุภูมิ หรือหากไม่ประสงค์จะเดินทางกลับก็จะประสานกับทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ให้เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการส่งต่อไปยังประเทศที่สามต่อไป”
ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวต่อว่า นอกจากการควบคุมประชาการในศูนย์พักพิงไม่ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นแล้ว ยังได้กำชับให้กวดขันเข้มงวดเกี่ยวกับการป้องกันและปราบรามขบวนการค้ายาเสพติดต้องไม่มีภายในศูนย์พักพิงอย่างเด็ดขาด และประการสำคัญอีกประการคือ การที่ผู้ลี้ภัยลักลอบหลบหนีออกมาจากศูนย์พักพิง เพราะถือว่าเป็นมาตรการในการป้องกันด้านความมั่นคงภายในประเทศ ทั้งนี้ ได้กำชับให้นายอำเภอสังขละบุรี ดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหา หรือเหตุการณ์ร้ายอย่างที่ จ.แม่ฮ่องสอน รวมถึงต้องมีความพร้อมที่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อระงับเหตุต่างๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการ และเครื่องมืออุปกรณ์ที่ครบถ้วนตามแผนเผชิญเหตุที่มีการซักซ้อมมาตลอด
“สิ่งที่ดีที่สุดผมคิดว่าหากสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านสงบ ไม่มีสถานการณ์การสู้รบ เงื่อนไขของการลี้ภัยสงครามก็น่าจะได้รับการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าควรจะบริหารจัดการผู้หลบหนีการสู้รบอย่างไรจึงเหมาะสม เพราะเราได้ให้การช่วยเหลือตามหลักมนุษยชนที่ต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ประสบภัยสงครามอย่างเต็มใจ หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงดีขึ้น และมีการพูดคุยจนทำให้เงื่อนไขการสู้รบหมดไป หน่วยงานความมั่นคงก็น่าจะพิจารณาว่าจะบริหารจัดการผู้ลี้ภัยอย่างไรจึงเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม ก็จะเป็นการลดปัญหา และการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก็เป็นอีกเงื่อนไขที่ลดความขัดแย้งนำไปสู่การร่วมมือในการพัฒนาประเทศในกลุ่มอาเซียนอันเกิดประโยชน์ต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอีก”
วันนี้ (25 มี.ค.) นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า หลังจากที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ศูนย์อพยพผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านแม่สุรินทร์ ต.สามเงา อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน จนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ว่า ในส่วนของทางจังหวัดกาญจนบุรีนั้น ตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลศูนย์พักพิงผู้หนีภัยจากการสู้รบบ้านต้นยาง ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี อย่างเข้มงวด โดยได้กำชับให้ทางอำเภอสังขละบุรี กวดขันเกี่ยวกับเรื่องการจัดระเบียบในการบริหารจัดการให้เกิดความเรียบร้อย
“อีกทั้งยังได้กำชับให้เข้มงวดเกียวกับจำนวผู้ลี้ภัยให้อยู่ในจำนวนเท่าเดิม อย่าให้มีจำนวนมากขึ้น เพราะตอนนี้ ปัญหาการสู้รบในประเทศบ้านก็มีการทำสัญญาสงบศึกกันแล้ว ดังนั้น หากสถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นก็จะประสานกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อประสานงานส่งกลับผู้ลี้ภัยกลับไปยังมาตุภูมิ หรือหากไม่ประสงค์จะเดินทางกลับก็จะประสานกับทางสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ให้เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการส่งต่อไปยังประเทศที่สามต่อไป”
ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี กล่าวต่อว่า นอกจากการควบคุมประชาการในศูนย์พักพิงไม่ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นแล้ว ยังได้กำชับให้กวดขันเข้มงวดเกี่ยวกับการป้องกันและปราบรามขบวนการค้ายาเสพติดต้องไม่มีภายในศูนย์พักพิงอย่างเด็ดขาด และประการสำคัญอีกประการคือ การที่ผู้ลี้ภัยลักลอบหลบหนีออกมาจากศูนย์พักพิง เพราะถือว่าเป็นมาตรการในการป้องกันด้านความมั่นคงภายในประเทศ ทั้งนี้ ได้กำชับให้นายอำเภอสังขละบุรี ดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหา หรือเหตุการณ์ร้ายอย่างที่ จ.แม่ฮ่องสอน รวมถึงต้องมีความพร้อมที่สามารถเข้าพื้นที่เพื่อระงับเหตุต่างๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการ และเครื่องมืออุปกรณ์ที่ครบถ้วนตามแผนเผชิญเหตุที่มีการซักซ้อมมาตลอด
“สิ่งที่ดีที่สุดผมคิดว่าหากสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านสงบ ไม่มีสถานการณ์การสู้รบ เงื่อนไขของการลี้ภัยสงครามก็น่าจะได้รับการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าควรจะบริหารจัดการผู้หลบหนีการสู้รบอย่างไรจึงเหมาะสม เพราะเราได้ให้การช่วยเหลือตามหลักมนุษยชนที่ต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ที่ประสบภัยสงครามอย่างเต็มใจ หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงดีขึ้น และมีการพูดคุยจนทำให้เงื่อนไขการสู้รบหมดไป หน่วยงานความมั่นคงก็น่าจะพิจารณาว่าจะบริหารจัดการผู้ลี้ภัยอย่างไรจึงเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างเหมาะสม ก็จะเป็นการลดปัญหา และการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก็เป็นอีกเงื่อนไขที่ลดความขัดแย้งนำไปสู่การร่วมมือในการพัฒนาประเทศในกลุ่มอาเซียนอันเกิดประโยชน์ต่อการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอีก”
