ประธานวิปค้านซัดรัฐตบตารัฐสภาแถลงผลงานไม่ทันสมัยนี้ จวกหนีตอบกระทู้สด สับเร่ง กม.กู้-แก้ รธน.เพื่อประโยชน์การเมือง ชี้ชัดชำเรากฎหมายสูงสุดต่างตอบแทน ส.ว.เลือกตั้ง แลกปล่อยผี 109 และยุบ ม.68 สับ พ.ร.บ.2 ล้านล้านสร้างหนี้ ส่อกู้มาโกง เผย ส.ส.2 พรรคแสดงตนชำแหละแล้ว 60 ราย ดักคอเพื่อไทยขู่สวนไทยเข้มแข็ง
วันนี้ (26 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน แถลงผลการประชุมว่า เท่าที่ประเมินการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภาในสมัยประชุมนี้ที่กำลังจะปิดลงในเดือน เม.ย.สามารถวิเคราะห์ได้ว่า 1. การแถลงผลการทำงานของรัฐบาลต่อสภาคงจะไม่สามารถกระทำได้ในสมัยประชุมนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีมติประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อให้พิจารณาได้ก็ตาม แต่เป็นเพียงการเล่นละครตบตาสภาฯ และวุฒิสภาเท่านั้น ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีการบรรจุระเบียบวาระเรื่องดังกล่าว 2. การหนีตอบกระทู้ถามสด ซึ่งปรากฏว่าฝ่ายรัฐบาลได้หลบหนีและเลื่อนการตอบกระทู้กว่า 50% จากกระทู้ถามทั้งหมด และจากนี้ไปฝ่ายค้านก็จะไม่สามารถตั้งกระทู้ถามสดได้ในอีกในเวลาที่เหลือในสมัยประชุมนี้เพราะสภาต้องพิจารณาทั้งร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ... หรือร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
“เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาลพยายามเร่งรัด 2 เรื่องสำคัญ และเห็นได้ว่าเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องและสร้างปัญหาระยะยาวให้กับประเทศ” นายจุรินทร์กล่าว
นายจุรินทร์กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นการแก้ไขเพื่อการต่างตอบแทนแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่าง ส.ส.รัฐบาลและ ส.ว.บางส่วน โดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือ การต่อวาระการดำรงตำแหน่งให้ ส.ว.ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องเว้นวรรค และแลกกับการนิรโทษกรรมความผิดให้กับสมาชิกบ้านเลขที่ 109 ที่ถูกตัดสิทธิการเมืองจากคดียุบพรรค และ แก้ไขมาตรา 68 เพื่อเปิดทางให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถกระทำสะดวกมากขึ้น ป้องกันไม่ให้บุคคลสามารถเข้าไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยได้โดยตรง ทั้งนี้ หลังจากการพิจารณาการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทแล้วทางวิปฝ่ายค้านจะกำหนดท่าที่เกี่ยวกับการอภิปรายการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าวอีกว่า การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ฝ่ายค้านไม่ได้คัดค้านการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาก็ได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นกัน แต่สิ่งที่ไม่เห็นด้วย คือ การกู้เงินเพียงครั้งเดียวที่มีภาระหนี้รวมดอกเบี้ยกว่า 5 ล้านล้านบาท ทั้งที่สามารถกระทำผ่านช่องทางอื่นๆ ได้ เช่น การให้สัมปทานเอกชน และการลงทุนร่วมกับเอกชน แต่การกู้เงินลักษณะนี้จะสร้างภาระผูกพันให้กับรัฐบาลไปอีก 12 ปีภายใต้รัฐบาล 4 ชุด รวมทั้งประชาชนยังต้องมารับภาระด้วย
“นอกจากการสร้างภาระหนี้แล้วยังมีความเป็นห่วงอีกว่าจะเป็นการกู้เงินเพื่อมาโกงและหาผลประโยชน์ก่อนที่รัฐบาลจะจากไปและสร้างภาระให้กับประเทศและคนไทยต่อไป รัฐบาลตัวอย่างนี้มีตัวอย่างชัดเจนแล้วจากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งฝ่ายค้านเป็นห่วงว่าการกู้เงินจะซ้ำรอยกับโครงการรับจำนำข้าว” นายจุรินทร์กล่าว
นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับการประชุมสภาฯระหว่างวันที่ 28-29 มี.ค.เพื่อพิจารณากฎหมายกู้เงินขณะนี้มีผู้แจงความจำนงอภิปราย 60 คนรวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดยการประชุมสภาฯ จะเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 09.30-22.00 น. รัฐบาลจะใช้เวลาอภิปราย 12.30 ชั่วโมง ฝ่ายค้านมีเวลาอภิปราย 12 ชั่วโมง แต่ฝ่ายค้านสามารถอภิปรายได้เพิ่มอีก 4 ชั่วโมงหากมีความจำเป็น อย่างไรก็ตาม ฝากเตือน ส.ส.รัฐบาลด้วยว่าไม่ควรออกมาขู่ว่าจะเปิดโปงการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาโดยเฉพาะโครงการไทยเข้มแข็ง เพราะเป็นสิ่งไม่ควรกระทำและทำให้เสียเวลาของสภาต่างๆ ทางที่ดีควรอภิปรายกันอย่างสร้างสรรค์ไม่ใช่มาแบล็กเมล์กันทางการเมือง
ด้านนายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการออก พ.ร.บ.กู้เงินนั้นเป็นการบังคับให้สภาเซ็นเช็คเปล่าให้รัฐบาลไปกรอกรายละเอียดเอาเอง เพราะกฎหมายกู้เงินทั่วไปนั้น ปกติแล้วจะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วจึงเสนอมายังสภาฯ เพื่อตัดตอนตัวเลขให้มีความเหมาสะสม แต่การออก พ.ร.บ.กู้เงินของรัฐบาลจำนวน 2 ล้านล้านบาทนั้น พบว่ามีการแนบบัญชีแนบท้ายโดยระบุว่ายังมีเงินจำนวน 1.2 ล้านล้านบาทที่ยังไม่ผ่านการพิจารณาของ ครม. ดังนั้นจึงเท่ากับว่ารัฐบาลขอให้สภากู้เงินแล้วจึงมาออกมติ ครม.ที่หลัง ซึ่งขั้นตอนสุดท้ายก็อยู่ที่ ครม. ดังนั้นสิทธิ์ในการทักท้วงก็ไม่เป็นสิทธิ์ของสภาฯ การดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินการโดยให้สภาตีเช็คเปล่าแล้วให้รัฐบาลไปกรอกทีหลัง อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าการกู้เงินในครั้งนี้ผลักภาระให้กับประชาชนมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา และเป็นการบังคับให้ประชาชนต้องชำระหนี้จำนวนสูงถึง 5.5 ล้านล้านบาท