xs
xsm
sm
md
lg

“อภิสิทธิ์” ชี้ ส.ว.ถูกหลอกแก้ รธน.ไม่ชอบมาพากล จวกรัฐเน้นกู้เงิน 2 ล้านล้านมากกว่าขอสร้างรถไฟ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร (ภาพจากแฟ้ม)
หน.ปชป.ชี้ ส.ว.ถอนชื่อแก้รัฐธรรมนูญ เหตุพบสอดไส้แก้ ม.68 เปิดช่องให้แก้ ม.291 เชื่อไม่ชอบมาพากล ยันขวางแก้ รธน.หากเพิ่มอำนาจรัฐ-ลดสิทธิประชาชน ส่วน พ.ร.บ.กู้ 2 ล้านล้าน จวกรัฐชอบเอาผลงานบังหน้ากู้เงิน ต้องการขอกู้เงินมากกว่าขอสร้างรถไฟ งงงอกเส้นทางแต่ไม่เพิ่มวงเงินก่อสร้าง ไม่เชื่อต้องการจัดงบขาดดุลจริง

วันนี้ (22 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ที่เสนอโดย ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว.เสนอนั้น ว่า เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ เพราะมี ส.ว.ส่วนหนึ่งถอนชื่อ โดยให้เหตุผลว่า ไม่ทราบว่าจะมีการแก้ไขมาตรา 68 ด้วย เพราะการแก้ไขมาตรา 68 นั้น ดูในระดับหนึ่งก็เหมือนเป็นเพียงเรื่องการที่จะลดช่องทางของประชาชนที่จะไปฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่พอดูที่มาที่ไปว่าการใช้มาตราดังกล่าวคือการหยุดยั้ง หรือระงับกระบวนการรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับในครั้งก่อน ก็ทำให้วิเคราะห์กันว่า ถ้าร่างดังกล่าวผ่าน ความพยายามที่จะหยิบเอามาตรา 291 ขึ้นมาใหม่จะทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิ์ป้องกันการกระทำดังกล่าวได้ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าคิด ซึ่งสิ่งที่น่าแปลกใจคือ เพราะอะไรการชักชวน ส.ว.ให้มาลงชื่อนั้นจึงไม่บอกรายละเอียดว่าจะมีการแก้ไขมาตรา 68 ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง

ส่วนที่มีการใช้คำว่าตนขวาง หรือค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ตนไม่หวั่นไหว เพราะการค้านของตนนั้นมีเหตุผล ซึ่งหากรัฐบาลจะทำสิ่งดีๆ แล้วตนไปค้านก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์ฝ่ายค้าน แต่ถ้าคนจะโกงแล้วไม่ค้าน คนเป็นฝ่ายค้านที่ไม่ค้านคนโกงก็แย่ ซึ่งในเรื่องการแก้ไขมาตรา 68 นั้น ตนคัดค้านการลดสิทธิประชาชน เพราะรัฐบาลหนุนการตัดสิทธิ์ประชาชน ส่วนการแก้ไขมาตรา 190 นั้น รัฐบาลก็กำลังตัดสิทธิ์การตรวจสอบการไปทำสัญญาต่างๆ ที่อาจจะส่งผลผูกพันแต่กลับไม่สามารถตรวจสอบได้ ส่วนเรื่องการแก้ไขให้ ส.ว.ทั้งหมดมาจากการเลือกตั้งนั้น ตนไม่ได้ขวาง แต่หากแก้ไขแล้วเป็นแบบสภาทาสตนก็ขวาง ส่วนการแก้ไขเรื่องการยุบพรรคนั้นตนไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรค แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะลงโทษเฉพาะตัวบุคคล ทั้งนี้ตนเห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้มีเจตนาเพิ่มอำนาจให้กับคนที่มีอำนาจในปัจจุบัน ทั้งที่ผ่านมารัฐบาลก็มีอำนาจทั้งในการโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะกรณีตำรวจ การใช้อำนาจของรัฐ หรือแม้กระทั่งช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ก็มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคุกคามฝ่ายตรงกันข้ามได้ จึงอยากถามว่าอำนาจเขาในขณะนี้น้อยไปหรือไม่

“ผมไม่เห็นด้วยกับการที่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจประชาชน เพราะประชาชนต้องมีอำนาจมากขึ้น รัฐต้องมีอำนาจลดลง ซึ่งหากสื่อมวลชนจะพาดหัวข่าวว่าผมขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรบอกว่าผมขวางการลดอำนาจประชาชน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ว่า เป็นการเอาเรื่องผลงานมาบดบังวิธีการในการบริหาร และวิธีการในการจัดการทางการเงิน เช่นเดียวกับการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อป้องกันน้ำท่วม เพราะเอาความกลัวน้ำมาบดบัง แต่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีการทำโครงการที่เป็นชิ้นเป็นอันจากงบดังกล่าวเลย เพราะรัฐบาลเอาการป้องกันน้ำท่วมเป็นตัวบังหน้า ถึงแม้วันนี้ป้องกันน้ำท่วมจะไม่ไปถึงไหน แต่เรื่องการจัดซื้อจัดจ้างรู้สึกว่ารัฐบาลจะมีธงแล้ว ซึ่งการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นก็จะเป็นแบบเดียวกัน โดยการเอาเรื่องขนส่งระบบรางมาเสนอ ทำให้คนสนับสนุน ซึ่งตนก็ยืนยันว่าหากทำเป็นกฎหมายงบประมาณเพิ่มเติม ก็จะสามารถตรวจสอบการทำโครงการได้

“ที่รัฐบาลกำลังมาขอขณะนี้ไม่ใช่ขอสร้างรถไฟ แต่ขอใช้วิธีพิเศษกู้เงิน และบริหารโดยวิธีพิเศษ เพราะเริ่มมี ส.ส.อีสานโวยวายว่ารถไฟไปถึงแค่นครราชสีมา แทนที่จะเป็นหนองคาย ซึ่งรัฐบาลก็ตกลงที่จะเพิ่มให้รถไฟไปถึงหนองคาย ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกที่สามารถเพิ่มรถไฟความเร็วสูงจากนครราชสีมาถึงหนองคายโดยไม่ต้องเพิ่มเงิน จึงเป็นจุดที่สะท้อนว่ารัฐบาลกำลังขอกู้เงินไม่ใช่ของการสร้างรถไฟ ซึ่งผมยืนยันว่าโครงการที่รัฐบาลพูดในขณะนี้กับโครงการที่ทำจริงจะมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน และผมฟันธงเลยว่าถ้ามีการกู้แบบนี้ สิ่งหนึ่งที่ ครม.จะมีมติก็คือ การยกเส้นระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าในปีงบประมาณต่อไปต้องกู้อีกหรือไม่ เพราะตอนนี้รัฐบาลกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท และอีก 2 ล้านล้านบาทไปแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลอ้างว่า จะค่อยๆ ลดการขาดดุลงบประมาณลงไปแต่ละปี จนถึงจุดงบประมาณสมดุล แต่ถ้ารัฐบาลกู้เงินโดยที่ไม่ได้มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพิ่มอีก 2 ล้านล้านบาท ก็เหมือนกับรัฐบาลขาดดุลเพิ่มอีกปีละ 3.5 แสนล้านบาท และตนก็ไม่มั่นใจว่าในที่สุดรัฐบาลจะลดการขาดดุลงบประมาณจริงหรือไม่ เพราะหากถึงเวลาที่จะเสนองบประมาณสมดุล ก็อาจจะอ้างว่าในกฎหมายอนุญาตให้ขาดดุลได้ตั้ง 3-4 แสนล้านบาท และประเทศจะเสียโอกาสหากไม่ทำเรื่องนั้น เรื่องนี้อีก และคงเอาตัวเลข 3 แสนล้านบาทไปซ่อนอยู่ในเงินกู้ เวลาพิจารณางบประมาณก็ไม่มีการมาพูดถึง


กำลังโหลดความคิดเห็น