“อภิสิทธิ์” ยื่นคำขาดไม่คุย “เจริญ” ถ้าไม่ถอนร่างปรองดอง 4 ฉบับออกจากสภาฯ ยันแช่แข็งหากคนโกง ก่อการร้าย ยังจับชาวบ้านเสื้อแดงเป็นตัวประกัน จวก “โจกแดง-แม้ว” ใจดำถ่วงช่วยชาวบ้าน แค่หวังพ่วงฟอกผิดให้ตัวเอง ท้ายึดหลักสากลนิรโทษฯ พิสูจน์จริงใจช่วย ปชช. ชวนคนอยุธยาลุ้น รบ.ใส่ใจคนพื้นที่จัดงาน World Expo 2020
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นวันที่ 16 มี.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในการปราศรัยเวทีประชาชน “เดินหน้าผ่าความจริง สจฺจํ เว อมตา วาจา ความจริงไม่มีวันตาย” ที่สนามกีฬาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่าวันนี้เขาพยายามจะวาดภาพว่ารัฐบาลกำลังขยับที่จะทำเรื่องความปรองดอง แต่เขาบอกว่า ปัญหาและอุปสรรคของการปรองดองนั้นอยู่ที่คนไม่กี่คน เขาพยายามจะชี้ จะกล่าวหามาที่พรรคประชาธิปัตย์ เขาจะกล่าวหาคนอย่างคุณสุเทพ เทือกสุบรรณว่าไม่ยอมปรองดอง แล้วก็เลยพ่วงตนเข้าไปด้วย อยากจะยืนยันกับพี่น้องว่าในความคิดของพรรคประชาธิปัตย์ ในความคิดของตน และกล้าพูดว่านายสุเทพและสมาชิกคนอื่นของพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้นเราทำงานบนพื้นฐานหลักคิดของความปรองดองมาโดยตลอดอย่างแท้จริง
“คนที่มีความคิดจะปรองดอง จะเป็นคนที่ไม่แบ่งแยกประชาชน ที่ผมจะยืนยันให้เห็นว่า เราไม่เคยแบ่งแยกประชาชนนั้น ผมนึกถึงกรณีของอยุธยานี่แหละครับ พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีโอกาสได้ผู้แทนราษฎร มารับใช้พี่น้องชาวอยุธยามานานมาก แต่ถามว่า เวลาพรรคประชาธิปัตย์ทำงาน เราเคยแบ่งแยกบ้างหรือไม่ว่าจังหวัดไหนเลือกประชาธิปัตย์ จังหวัดไหนไม่เลือกประชาธิปัตย์ ไม่เคยครับ พี่น้องชาวอยุธยาที่ประสบกับภัยน้ำท่วมหลายปีที่ผ่านมาจะยืนยันได้ ตั้งแต่ช่วงที่ผมเป็นฝ่ายค้าน เกิดน้ำท่วม ผมก็มาลุยน้ำอยู่ที่อยุธยาเพื่อหาทางช่วยเหลือพี่น้องที่อยู่ที่นี่ วันที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี อยุธยาเจอปัญหาน้ำท่วม ผมก็มาลุยน้ำช่วยพี่น้องอยุธยาที่นี่ ตอนที่เรือน้ำตาลล่ม ผมก็รีบเดินทางมาที่นี่ และเมื่อกลับมาเป็นฝ่ายค้าน เกิดน้ำท่วมใหญ่ ผมก็ยังเดินทางมาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่นี่ เพราะฉะนั้นในจิตใจของพวกเราไม่เคยแบ่งแยกใครทั้งนั้น พี่น้องประชาชนเดือดร้อน จังหวัดไหน สวมเสื้อสีอะไร ผมก็ยืนยันว่าเป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องรับใช้ทั้งนั้น ผมยืนยันได้ว่าวิธีคิด วิธีทำงานอย่างนี้ ไม่ใช่คนที่ไม่ปรองดอง เหมือนอีกเรื่องหนึ่งครับ
วันนี้ผมมาที่นี่ ยังเห็นป้ายหลายป้ายขึ้นอยู่ครับ บอกว่าอยุธยาเป็นเมืองมรดกโลก กำลังจะเปลี่ยนเป็นเมืองมหกรรมโลก โดยมีการโฆษณางานใหญ่ที่เรียกว่า World Expo 2020 World Expo เป็นงานนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลายคนอาจจะจำได้ไม่กี่ปีมานี้ ประเทศจีนจัดงานนี้ที่เซี่ยงไฮ้ มีคนเข้าไปชมงานมากถึง 70 กว่าล้านคน ในระยะเวลาหลายเดือนที่มีการแสดง เขาบอกว่า มหกรรมนี้ใหญ่ที่สุดถ้าไม่นับกรณีของโอลิมปิก หรือฟุตบอลโลกรอบชิง เป็นงานใหญ่ซึ่งหลายประเทศก็ต้องการที่จะไปจัดในประเทศของตนเอง สมัยรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์นี่แหละครับ เมื่อเราไปร่วมงานที่เซี่ยงไฮ้ เราได้ไปประกาศว่า ในปี พ.ศ. 2563 หรือปี ค.ศ. 2020 ประเทศไทยจะเสนอตัวแข่งขันเป็นเจ้าภาพงาน World Expo ครับ
เมื่อประกาศไปแล้วก็ต้องไปติดตาม ไปดูว่ารายละเอียดของข้อเสนอที่เราจะจัดทำเพื่อไปแข่งขันกับอีกหลายประเทศ ว่าจะขอเป็นเจ้าภาพนั้น หลักเกณฑ์ต่างๆ จะต้องเป็นอย่างไร คณะผู้จัดเขาบอกว่าหลักเกณฑ์สำคัญก็คือ เขาไม่ต้องการให้จัดนิทรรศการนี้ ในพื้นที่ที่มีการพัฒนา หรือมีความเจริญ มีความพร้อมทุกด้านแล้ว เพราะหลายคนเข้าใจว่าอยากจะเป็นเจ้าภาพงานอย่างนี้ ต้องไปจัดในที่ที่มีความพร้อมทุกสิ่ง ทุกอย่าง แต่คณะที่เขาจัดงาน World Expo เขาบอกนั่นไม่ใช่แนวความคิดเขา เขาต้องการว่า เมื่อมาจัดงาน World Expo หรือนิทรรศการนี้ที่ตรงไหน จะเป็นการนำความเจริญ และการพัฒนาไปที่นั่น กลับกันครับ
ไม่ใช่เอาเมืองใหญ่ๆ มีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แล้วก็เอางานไปจัดแต่เอางานไปจัดเพื่อให้โลกรู้จักดียิ่งขึ้น แล้วก็มีการพัฒนา สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก โครงสร้างพื้นฐานใหม่ เมื่อได้โจทย์มาอย่างนี้ รัฐบาลที่แล้วก็ให้คณะผู้เชี่ยวชาญไปศึกษาว่าถ้าประเทศไทยจะจัด World Expo ควรจะจัดที่จังหวัดไหน พื้นที่ใด มีแข่งกันหลายพื้นที่ครับ จะเป็นที่นี่ จะเป็นเชียงใหม่ จะเป็นเมืองชลบุรี และที่อื่นๆ
ผมก็ยืนยันว่า รัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ก็บอกว่าพื้นที่ไหนเข้าหลักเกณฑ์ มีความเหมาะสมที่สุด จัดที่นั่นครับ เราไม่คิดเรื่องการเมือง สุดท้ายได้คัดเลือกอยุธยาครับ แล้วผมต้องชมเชยว่าหน่วยงานที่เรามอบหมายให้รับผิดชอบเรื่องนี้ เขาก็เดินหน้าทำงานต่อเนื่อง มีการไปคิดทั้งการจัดงาน เราจะมีจุดเน้นเรื่องอะไร ที่จะนำไปขายไปโฆษณา ก็พูดถึงการพัฒนาที่มีความสมดุล มีความยั่งยืน เป็นการนิยามสิ่งที่เรียกว่า โลกาภิวัตน์ใหม่ โดยเชื่อมโยง เข้ากับแนวพระราชดำริในเรื่องของปรัชญาความพอเพียงครับพี่น้องครับ
ที่สำคัญ จากจุดนี้และจากจุดที่อยุธยาเป็นเมืองมรดกโลก ยังคงเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ ในปีที่ผ่านมาที่เจอกับภัยพิบัติทั้งหลาย เขาก็บอกว่าจะจัดงานนี้จะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน คือสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม และจะมีการสร้างรถไฟฟ้าให้มาถึงพื้นที่ที่จัดนิทรรศการ และนิทรรศการนี้ที่จัด ใช้พื้นที่มากเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อเลิกนิทรรศการไปแล้ว ต้องตอบต่อไปว่าจะเอาพื้นที่ที่จัดนิทรรศการไปทำอะไร สุดท้ายคนที่เขาไปทำงานก็เสนอมาดีครับว่า จะจัดให้เป็นอุทยานการเรียนรู้ เกี่ยวกับโครงการพระราชดำริทั้งหมดครับ
ผมบอกว่านี่ไงครับ แนวความคิดของคนที่ต้องการให้ประเทศเดินหน้าบนพื้นฐานของความปรองดอง ดึงเอาจุดที่เป็นจุดแข็งของประเทศ ดึงเอาจุดที่เป็นจุดแข็งของเมือง ที่มีที่มาที่ไป มีวัฒนธรรม แล้วเอาศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องประชาชนคนไทยคือสถาบันพระมหากษัตริย์ มาหลอมรวมทุกอย่าง เพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ นี่คือแนวคิดของพวกเรา
แต่ผมต้องบอกกับพี่น้องชาวอยุธยาก่อนว่าเราจะได้จัดนิทรรศการนี้หรือไม่ จะอยู่ที่การทำงานของรัฐบาลชุดนี้ เพราะการตัดสินว่าประเทศใด เมืองใด จะได้จัดนิทรรศการนี้ จะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ครับ ก่อนหน้านี้คณะผู้จัด เพิ่งส่งคณะมาดูครับ แล้วเขาก็บอกว่า เวลาเขาส่งคณะมาดู มาศึกษา เขาจะต้องพบกับทุกฝ่ายในประเทศนั้นว่าสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจ ภาคการเมือง และภาคการเมืองเขาเจาะจงด้วยว่าต้องมาคุยกับฝ่ายค้าน เขามาพบกับผม ผมจึงยืนยันไปครับว่า แม้ว่าปัจจุบันพวกผมไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าใครจะเป็นรัฐบาลในปี 2020 แต่พรรคฝ่ายค้านปัจจุบัน สนับสนุนให้ประเทศไทยจัดงานนี้อย่างเต็มที่ และจะช่วยสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
แต่ผมต้องกระซิบบอกกับพี่น้องที่นี่ และพี่น้องคนไทยครับว่าทำไปทำมา ฝ่ายที่ไม่แสดงอาการสนับสนุนอย่างจริงจัง กลับกลายเป็นฝ่ายนโยบายระดับสูงในรัฐบาล มีอย่างที่ไหนครับ เราทำข้อเสนอเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการเอาไปประชาสัมพันธ์ มีคณะที่เป็นผู้จัดงาน เขาเดินทางมาตรวจ มาศึกษา ให้เขาดูข้อเสนอหมดแล้ว พอเขาเดินทางกลับ รัฐมนตรีในรัฐบาล ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เรื่องการจัด World Expo นั้น รัฐบาลขอดูก่อนว่าคุ้มที่จะจัดหรือไม่ เพราะต้องลงทุนเยอะ พี่น้องถ้าคิดว่าถ้าคนจัดเขาได้ยินการให้ข่าวแบบนี้ เขาจะให้เราจัดเหรอครับ ผมก็ต้องออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ต้องหยุดพูด และต้องเดินหน้าทำงาน จากวันนี้ถึงพฤศจิกายน ฝ่ายคนที่จัดเขาบอกพวกผมเองนะครับ วันที่เขามาพบฝ่ายค้าน เขาบอกจากวันนี้ไป เรื่องความพร้อม เรื่องความเหมาะสมพื้นที่ ไม่ต้องกังวล ไปทำอย่างเดียวคือไปหาเสียงให้ประเทศต่างๆ ลงคะแนนให้กับอยุธยา ลงคะแนนให้กับประเทศไทย
แต่ผมไม่เข้าใจว่าพอเขากลับไป ทำไมรัฐบาลให้สัมภาษณ์ว่าไม่แน่ใจว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ที่สำคัญ มีเสียงกระซิบบอก ประเทศไทยอาจจะไม่ต่อสู้อย่างจริงจัง ผมก็ไม่เข้าใจว่าประเทศไทย คนไทย ถ้าไม่สนับสนุนให้เราได้จัด จะไปสนับสนุนใคร พี่น้องอยากรู้มั้ยครับ ใครเป็นคู่แข่งเรา มีรัสเซีย มีบราซิล ผมเข้าใจว่ามีตุรกี แต่เขาบอกคู่แข่งที่สำคัญคือ ดูไบครับ ผมเลยต้องฟ้องพี่น้องชาวอยุธยาว่า ถ้าพฤศจิกานี้ไทยไม่ได้จัด แล้วเราไม่ได้ต่อสู้เต็มที่ ไม่ไปหาเสียง แล้วถ้าไทยไปหาเสียงให้เมืองอื่น พี่น้องต้องจำไว้ครับว่า ใครทำให้กับพี่น้องกับพี่น้องประชาชนที่นี่ และใครไม่สนใจพี่น้องประชาชนที่นี่
ผมเรียนพี่น้องทราบ เมื่อวัน เมื่อต้นสัปดาห์ วันจันทร์ หรือวันอังคารนี่แหละครับ ผมเพิ่งไปดูนิทรรศการที่รัฐบาลเขาจัดที่ ศูนย์ราชการเรื่อง เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ที่จะทำโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลาย ผมไปดูมาแล้ว แล้วผมบอกด้วยว่า ผมเป็นคนไปทวงเนื่องจากวันนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มาต้อนรับ มาบรรยายให้ผมฟัง ผมบอกว่า นิทรรศการที่จั่วหัวว่า ไทยแลนด์ 2020 แล้วบอกว่าจะกู้เงินมา 2 ล้านล้าน มีโครงข่ายรถไฟฟ้า ผมบอกรัฐมนตรีคมนาคมว่า ทำไมท่านลืมไปล่ะว่าท่านต้องต่อรถไฟฟ้ามาอีก 12 กิโล มาสู่พื้นที่อยุธยา ที่จะจัด World Expo 2020 ผมไม่เห็นในแผนครับ ผมก็ต้องไปทวงบอกว่านี่แหละครับ คือสิ่งที่ถ้าคุณตั้งใจจะทำเรื่องความปรองดอง งานดีๆ รัฐบาลไหนจะเริ่มไว้ คุณต้องสานต่ออย่างจริงจัง ยึดประโยชน์ของประชาชน และอย่าแบ่งแยกประชาชนนั่นคือความปรองดองที่แท้จริงครับพี่น้องครับ
ฉะนั้นวันนี้ที่เราจำเป็นต้องมาบอกกับพี่น้องก็คือว่า อย่าพยายามบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง ไม่ใช่ ผมนอกจากในสัปดาห์ที่ผ่านมา จะทำหลายอย่าง ยังได้มีโอกาสพบกับนักลงทุนทางการเงินรายใหญ่ๆ ในเวทีซึ่งเขามีการจัดขึ้น ให้ผมไปสรุปสถานการณ์การเมือง และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ผมก็ยืนยันถึงความพร้อมของประเทศไทย ในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ว่าเศรษฐกิจไทยนั้นโดยพื้นฐานมีความแข็งแกร่งอย่างไร แล้วหลังจากนั้นนักลงทุนเขาก็ถามผม เขาก็ถามผมบอกว่า การเมืองนั้นขัดแย้งกันรุนแรงมาเป็นเวลานาน นักลงทุนกังวล เขาก็ถามว่าเท่าที่เขาดู เท่าที่เขาทราบ เงื่อนไขความขัดแย้งทั้งหลายนี้ยังมีอยู่ แต่ทำไม ในช่วงปีเศษๆ ที่ผ่านมา บ้านเมืองไทยดูสงบ ผมตอบง่ายๆ เพราะฝ่ายค้านชุดนี้ไม่เป็นอันธพาลครับ
ผมบอกว่าฝ่ายค้านชุดนี้รู้ครับ และมีความสามารถ มีศักยภาพครับ อยากจะขัดขวางการทำงานรัฐบาล ไปป่วนที่นั่นที่นี่ ทำไมเราจะทำไม่ได้ เราทำได้ แต่เราไม่คิดทำ ฉะนั้นวันนี้ถามว่า ทำไมเขาบอกว่า หรือพยายามยัดเยียดข้อหาว่าประชาธิปัตย์ไม่ปรองดอง การเคลื่อนไหวเรื่องความปรองดองพี่น้องครับ ผมเป็นคนเริ่มต้น ตั้งแต่ตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดเหตุการณ์ เกิดการประท้วง ก็ยืนยันมาโดยตลอดว่า คนไทยไม่ควรเป็นศัตรูกัน ความคิดเห็นแตกต่างกัน ใช้สิทธิ์อยู่ในขอบเขตได้ แต่ขณะเดียวกันใครทำผิดกฎหมาย รัฐบาลก็มีหน้าที่ในการรักษากฎหมาย เพื่อความสงบเรียบร้อยครับ ไม่ใช่เพื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เหตุการณ์ความวุ่นวายปี 52 จบลง 53 จบลง สิ่งแรกที่ผมทำ ผมไม่เคยไปพูดว่า เหตุการณ์จบลง ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ หรือฝ่ายแพ้ ผมมีแต่บอกว่า ต้องหาทางให้คนไทยมาหลอมรวมกัน เสร็จปี 52 ผมก็ให้สภา ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อดูเรื่องความปรองดอง เหตุการณ์จบปี 53 ผมก็แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อความปรองดองขึ้นมา ซึ่งตอนเลือกตั้ง ตอนหาเสียง แม้แต่ตอนแถลงนโยบาย พรรคเพื่อไทย และรัฐบาลชุดนี้ ก็บอกว่าจะสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการอิสระ ที่มีตัวย่อว่า คอป.ของอาจารย์คณิต แต่พอ คอป.ทำงานเสร็จ พรรคเพื่อไทยฉีกรายงานของ คอป. ครับ ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ เหตุผลเดียวครับ คอป.ยืนยันว่าชายชุดดำมีจริง
ฉะนั้น ไม่ควรมาตั้งคำถามว่าประชาธิปัตย์ปรองดองหรือไม่ ทุกเวลา ทุกขั้น ทุกตอน การจะทำให้ประเทศชาติเดินไปสู่ความปรองดองตามแนวทางที่ถูกต้องประชาธิปัตย์ไม่ปฏิเสธ ผมยกตัวอย่าง แม้ในวันที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี คอป.เสนอว่า มีคนเสื้อแดงติดคุก หลายคนสมควรจะมีโอกาสได้รับการประกันตัว แต่ติดขัดในเรื่องของเงินทุน ทุนทรัพย์ ผมก็สั่งกระทรวงยุติธรรมให้ไปให้ความเป็นธรรม ดูแลพี่น้องเสื้อแดงที่เห็นว่าควรมีสิทธิ์ที่จะได้รับการประกันตัว ผมก็ส่งไป พวกที่เชียร์ผม สนับสนุนผม หลายคนด่าผม ไม่พอใจ แต่ผมบอก นี่คือสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทย ถึงจะเป็นเสื้อแดง ผมก็ต้องทำให้
แต่เขาจะได้รับการประกันตัวหรือไม่ เป็นเรื่องที่เป็นดุลพินิจของศาลครับ ฉะนั้นวันนี้ใครที่มากล่าวหาว่า ผมหรือคุณสุเทพ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สนใจใยดีพี่น้องเสื้อแดงที่ถูกคุมขัง ผมบอกว่าพวกเราสนับสนุนทุกอย่างให้คุณมีสิทธิเท่าเทียมกับคนไทยทั่วไปทุกประการครับ
แต่ที่จะให้พวกผมเห็นด้วยบอกว่า ถ้าเป็นเสื้อแดงแปลว่าติดคุกไม่ได้ ผมบอกอันนี้ทำไม่ได้ครับ เพราะหลายคนที่ติดคุกอยู่ ทำอะไรครับ ไปยิงระเบิดใส่วัดพระแก้ว ไปยิงระเบิดใส่ BTS ไปเผา หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าคน ถ้าคุณบอกคนเหล่านี้ต้องปล่อยตัวให้หมด ต้องล้มคำพิพากษาให้หมด ต้องล้มสำนวน ล้มคดีให้หมด ผมบอกถ้าอย่างนั้นคุณต้องปล่อยคนไทยทุกคนออกจากคุก
เราจึงยืนยันว่าวันนี้การปรองดองที่ดีที่สุด คือการเดินตามกระบวนการยุติธรรม ใครไม่ได้ทำผิด เราก็ต้องพึ่งศาลสถิตยุติธรรมให้ตัดสินว่าเขาไม่ผิด ใครที่ผิดก็ต้องรับผิดตามกฎหมายใช่มั้ยครับพี่น้องครับ ผมบอกว่าที่จะขยับช่วยเหลือให้ได้ อาจจะมีความผิดเล็กน้อย หรือคนที่ทำผิดในเหตุการณ์ที่มีภาวะพิเศษ เช่นปกติ การชุมนุมไม่ได้เป็นความผิด แต่พอประกาศภาวะฉุกเฉิน มีการออกประกาศห้ามชุมนุม ห้ามใช้เส้นทางนั้นเส้นทางนี้ ถ้ามีใครถูกจับกุม ดำเนินคดี ติดคุกเพราะเหตุนี้ กรณีอย่างนี้เพื่อความปรองดอง พรรคประชาธิปัตย์บอกจะนิรโทษกรรมให้ ไม่ว่ากันครับ
ส่วนคนที่ทำผิด เป็นความผิดรุนแรงอะไรทั้งหลาย เขามาเรียกร้องบอกว่าให้อภัยกันมิได้หรือ ผมก็บอกว่าให้อภัยได้ครับ นั่นคือหลักของอภัยโทษ อภัยโทษ และให้อภัยคืออะไรครับ คนทำผิดยอมรับผิด สำนึกผิด พร้อมที่จะรับโทษ คนที่เสียหายไม่ติดใจ ก็ให้อภัยได้ กรณีแบบนี้เราก็ประพฤติ ปฏิบัติ มาโดยตลอดครับ มีนักโทษ มีคนที่ติดคุก สุดท้ายได้รับการพระราชทานอภัยโทษ หลังจากที่สำนึกผิด รับโทษแล้ว และประพฤติตนดี ผมเชื่อว่าสังคมให้อภัยตามหลักการนี้ได้แน่นอนครับ
แต่วันนี้ ทางรัฐบาลหรือคนในรัฐบาลเอาคำว่าให้อภัยกันมาปะปน ทำให้ประชาชนสับสนกับเรื่องการนิรโทษกรรม ผมเปรียบเทียบให้เห็นครับ สมมติว่าผมกับคุณไตรรงค์ทะเลาะกัน ผมไปเหยียบเท้าท่าน ท่านก็คงโกรธผม แต่ว่าถ้าผมสำนึกผิด เห็นแล้วว่าผมทำผิด แล้วผมก็ขอโทษท่าน ผมเชื่อว่าท่านก็ให้อภัย
แต่วันนี้ แกนนำเสื้อแดงกับทักษิณเหยียบเท้าคนทั้งประเทศ คือทำผิดต่อรัฐ เหยียบต่อแล้วบอกว่า กูไม่ผิด แล้วก็กระชากคอ แล้วบอกเพื่อความสงบเรียบร้อย มึงบอกด้วยว่ากูไม่ผิด มันเป็นหลักการให้อภัยตรงไหน มันไม่เกี่ยว วันนี้การนิรโทษ ไม่ได้พูดถึงการให้อภัย วันนี้การนิรโทษคือความพยายามที่จะล้างผิด โดยไม่มีความสำนึกผิดและการออกกฎหมาย ครั้งนี้ ก็ไม่เหมือนกับการปรองดองที่มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมในอดีตที่ผ่านมา
กรณีที่ท่าน ดร.ไตรรงค์ปราศรัยไปแล้ว อย่างกรณีพรรคคอมมิวนิสต์ ในที่สุดมีการนิรโทษกรรมหรือแก้กฎหมายไม่ให้เป็นความผิด เกิดอะไรขึ้นครับ คนที่ร่วมกระบวนการทั้งหลายในพรรคคอมมิวนิสต์ ก็สลายตัวมาเป็นคนที่ร่วมพัฒนาชาติไทย การปรองดองที่เกิดขึ้น จะเป็นอาฟริกาใต้ จะเป็นที่ไอร์แลนด์เหนือ หรือจะเป็นที่ไหนที่หลายท่านพูดไปแล้ว เมื่อมีการจะออกกฎหมาย มีการตรากฎหมายเพื่อให้เกิดการนิรโทษกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ มันมาพร้อมกับการแสดงออกว่าต่อไปนี้ การเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งต่างๆ นั้นจะเลิกรากันไปเพื่อนำมาสู่การหลอมรวมคนในประเทศเป็นหนึ่งเดียว
แต่วันนี้ ฝ่ายที่มาเรียกร้องให้นิรโทษกรรม โดยเฉพาะแกนนำเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย และทักษิณ แสดงออกบ้างหรือยังครับว่าจะหยุดพฤติกรรมต่างๆ ที่เป็นที่มาของความผิดทั้งหลายที่ติดตัวอยู่ในขณะนี้ บอกหรือยังล่ะครับ ว่าที่มาให้นิรโทษกรรมครั้งนี้ ต่อไปนี้จะไม่มีแล้วเรื่องเสื้อแดง ต่อไปนี้ไม่มีแล้วเรื่องขบวนการล้มเจ้า มีมั้ยล่ะครับ ไม่มีใครพูดสักคน
ฉะนั้นอย่าสับสนเรื่องความปรองดอง เรื่องหลักการให้อภัย เรื่องของการใช้กฎหมายนิรโทษการม ในการสร้างความสมัครสมานสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวในบ้านเมือง เราต้องพูดตามความจริงวันนี้ที่ผมท้าทายมาโดยตลอดก็คือบอกว่า ถ้าคุณจริงใจทำไมคุณไม่ทำตามหลักการสากล นิรโทษกรรม เฉพาะชาวบ้านที่เขาหลงผิด หรือมาติดปัญหาข้อกฎหมาย เพราะเกิดการประกาศภาวะฉุกเฉิน แล้วทำแค่นี้ ไม่มีใครคัดค้าน เราก็จะได้มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน แล้วก็เดินหน้าหาทางในการปรองดองกันต่อ
บอกมาตั้งนานแล้ว แต่แกนนำเสื้อแดง คนในรัฐบาล ทักษิณ ไม่เคยยอมรับ เขาพยายามจะบอกว่า ผม คุณสุเทพ กับพรรคประชาธิปัตย์ ใจแคบ ผมบอก พวกคุณนั่นแหละ ใจดำ เพราะคุณเอาชาวบ้านตัวเล็กๆ เป็นตัวประกัน ที่คุณไม่ยอมออกกฎหมายอย่างนี้ เพราะคุณต้องการพ่วงพวกคุณเข้าไป โดยเฉพาะแกนนำทั้งหลาย และทักษิณ ชินวัตร ที่ใจดำมากๆ เพราะพวกคุณนั่นแหละ ไปปลุกระดมให้ชาวบ้านมาทำผิดกฎหมาย ถึงเวลาช่วยเขาได้ คุณไม่ช่วย คุณจะเอาผลประโยชน์ของคุณมาก่อน
ผมเอาง่ายๆ เหตุการณ์บ้านเมือง ซึ่งสงบเรียบร้อยปีที่แล้ว ก็มายุ่งวุ่นวายตอนที่เขาจะพยายามผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งไม่ได้พูดถึงแต่ชาวบ้าน แต่เอาหมด คนเผา คนฆ่า คนก่อการร้าย คนจาบจ้วงสถาบัน และที่สำคัญ คนโกง คนทุจริตชาติบ้านเมืองที่ถูกยึดทรัพย์ ผมถามว่าคนโกงเกี่ยวอะไรด้วย กับเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง ผมจึงอยากจะยืนยันครับว่า กระบวนการการปรองดองเดินหน้าไม่ได้ตราบเท่าที่คนใจดำพวกนี้ จับชาวบ้านเสื้อแดงเป็นตัวประกัน
มาปีนี้ ตอนนี้พยายามจะตั้งต้นใหม่ รองประธานเจริญ จรรย์โกมล เชิญ ดร.ไตรรงค์ไปคุยครับ พี่ไตรรงค์ ของผมก็น่ารัก ใครเชิญก็ไปทุกครั้ง แล้วก็มาบอกผมว่า ไอ้น้อง พวกกัน พี่ก็ต้องไป แต่พวกพี่แต่ละคนให้สัมภาษณ์ทีไรนี่ พวกเราที่ติดตามเรื่องนี้ ก็กังวล ก็หวั่นไหวว่า ตกลงพรรคประชาธิปัตย์จะเอายังไงแน่ แต่ผมยืนยันครับว่า ดร.ไตรรงค์ยืนยันหลักการทุกอย่างที่ปราศรัยบนเวทีนี้ และเวทีผ่าความจริงทุกเวที
เจริญ จรรย์โกมลตอนนี้บอกว่า ขอให้มาคุยกันเถอะ เชิญผมไป ผมก็บอกว่า เรื่องแบบนี้ถ้าผมไป ผมต้องถามเพื่อน ส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์ก่อน เพราะเชิญผมในฐานะหัวหน้าพรรค และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นสัปดาห์ก่อน เชิญผมไป ผมก็เอาเรื่องเข้าไปถามสส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ในที่ประชุม ส.ส.ของพรรคทั้งหมด และทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ผมไม่ควรไป
ที่ไม่ไปนั้น รอดูว่า ความจริงใจ และความสามารถของรองประธานเจริญ ที่จะสร้างความปรองดองมีจริงหรือไม่ เสร็จแล้วเป็นยังไงครับ ยังไม่ทันที่จะมีการเชิญผมกลับมาอีกรอบ ก็มี ส.ส.เพื่อไทยจำนวนหนึ่ง เสนอกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับใหม่เข้าสู่สภาแล้วพี่น้องครับ นำโดย นายวรชัย เห-มะ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ ก็ยังคงไม่แยกแยะครับว่าความผิดต่างๆ เป็นอย่างไร เป็นกฎหมายที่ผมยืนยันว่าผิดหลักการนิรโทษกรรม การนิรโทษกรรมถ้าจะเขียนเป็นกฎหมายต้องบอกสิครับว่าจะนิรโทษกรรมความผิดประเภทไหน อย่างไร แต่นี่เขียนรวมๆ บอกว่าความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง สรุปแล้วคนฆ่า ก็ได้รับการนิรโทษกรรมใช่ไหม คนเผาก็ได้รับการนิรโทษกรรมใช่ไหม คนจาบจ้วงสถาบันฯ ก็ได้รับการนิรโทษกรรมใช่ไหม
แล้วที่ไปพยายามเขียนเท่ๆ ว่า จะนิรโทษกรรมให้เฉพาะประชาชนทั่วไปไม่รวมคนที่สั่งการ หรือนำไปสู่การกระทำความผิด เขียนไปอย่างนั้นละครับ เพราะปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนผมเห็นทุกคนอยากเป็นแกนนำหมดเลย ผมเห็นจตุพร ณัฐวุฒิ ใครต่อใคร อยากจะบอกว่าตัวเองนี่แหละเป็นคนที่คุมมวลชนสั่งได้ ทักษิณถึงขั้นประกาศตัวว่าจะเป็นผู้นำประชาชนเป็นคนแรก แต่พอปีนี้ ไปถามใคร ไม่มีใครเป็นแกนนำซักคน ก่อแก้วก็บอก ไม่ได้เป็นแกนนำ สั่งไม่ได้ ต้องจตุพร จตุพรก็คงคิดในใจว่าถ้ากูสั่งได้แน่จริง ป่านนี้กูเป็นรัฐมนตรีแทนไอ้เต้นไปแล้ว
แล้วทุกคนก็รีบยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับทักษิณ ฉะนั้นมันชัดอยู่แล้ว ว่ากฎหมายฉบับนี้ ก็มาอีหรอบเดิม พยายามหาทางช่วยเหลือตัวเอง พวกพ้อง กับนายใหญ่ ที่สำคัญครับ กฎหมาย 4 ฉบับที่ค้างอยู่ตั้งแต่ปีที่แล้ว กฎหมายเหล่านี้ ก็ยังอยู่ในระเบียบวาระ ทันทีที่วรชัย เสนอกฎหมายนี้เข้าไป เจ้าของร่าง 4 ฉบับก็บอกหลักการเดียวกันกับของเดิม เพราะฉะนั้นถ้ามีการพิจารณากฎหมายฉบับใหม่ จะมีการพ่วงเอากฎหมายเดิมเข้าไป ก็คือกฎหมายช่วยคนโกงเหมือนเดิม
ผมก็เลยให้สัมภาษณ์ไปบอกว่า ถ้ารองประธานเจริญจริงใจ ในการที่จะให้มีการพูดคุยเพื่อการปรองดอง สิ่งแรกที่รองเจริญจะต้องทำคือให้ทุกคนที่เป็นเจ้าของร่างกฎหมายทั้งใหม่ ทั้งเก่า ถอนกฎหมายทุกฉบับออกไปก่อน เพราะถ้าไม่ถอน ก็แสดงว่าที่เรียกไปคุย เชิญไปคุย ไม่มีความหมายอะไร เป็นเพียงการจัดฉาก แล้วสุดท้าย คุณก็เอากฎหมายที่พวกคุณเสนอนั่นแหละเป็นคำตอบของการหารือ
เพราะฉะนั้นที่บอกว่าจะชวนผมไปอีก ผมบอกถอนกฎหมายก่อนแล้วหลังจากที่ผมให้สัมภาษณ์อย่างนี้ รองเจริญไปให้สัมภาษณ์บอกว่าจะเชิญผมไปคุยว่าจะให้ถอนกฎหมายอย่างไร ผมบอกไม่ต้องเชิญผม ผมไม่ใช่คนเสนอ ผมถอนไม่ได้ ไปคุยกับคนเสนอให้ถอนครับ แล้วถ้ารองเจริญบอกว่า ไม่มีปัญญา ที่จะให้คนที่เป็นเจ้าของร่างกฎหมาย ถอนร่างกฎหมายออกไป ผมก็บอกถ้าอย่างนั้น ผมก็ไปคุยกับท่านไม่ได้ เพราะไม่รู้จะคุยทำไม ท่านไม่มีอำนาจที่จะกำหนดเลยว่าจะปรองดองกันแบบไหน เพราะฉะนั้นผมก็คงไม่ไปหรอกครับ ผมก็เลยกลัวว่า เดี๋ยวผมไม่ไป คงมาเชิญดร.ไตรรงค์ไปอีก ซึ่งผมไม่ห้ามนะครับ แต่ผมว่าตั้งเงื่อนไขหน่อยว่า ถ้าจะไป ให้เลี้ยงข้าวดีๆ ดร.ไตรรงค์หน่อย แล้วก็กินฟรีไปเรื่อยๆ ครับ จนกว่ารองเจริญ จะเดินหน้าให้พรรคเพื่อไทย และพรรคอื่นๆ ถอนกฎหมายออกไปทุกฉบับ เพื่อตั้งต้นใหม่ ถ้าอยากจะพูดคุยกันนั่นประเด็นที่ 1
ประเด็นที่ 2 ครับ การจะนิรโทษกรรม เป็นส่วนหนึ่งของการปรองดอง คุณชำนิพูดไปแล้ว กฎหมายนิรโทษกรรมนั้นต้องเสนอโดยรัฐ เพราะความผิดทั้งหลายเป็นความผิดต่อรัฐ และที่สำคัญที่ผมกล่าวไปแล้ว และคนอย่างภรรยาคุณร่มเกล้า ได้ชี้แนะไว้อย่างน่าฟังว่าถ้าจะนิรโทษกรรมเพื่อการปรองดองจริง มันมีอีกหลายต่อหลายมาตรการที่รัฐบาลจะต้องมาทำเพื่อความปรองดอง ดังนั้น รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบ และการมีส่วนร่วม ในเรื่องนี้ไม่ได้ แต่จนถึงวันนี้นายกรัฐมนตรี ที่ชื่อ ยิ่งลักษณ์ เมื่อไหร่ไปถามเรื่องนี้ ก็จะตอบคำเดียวว่า แล้วแต่สภา
ผมก็ยืนยันครับว่า ระบบรัฐสภา รัฐบาลกุมเสียงข้างมากในสภาถ้ากุมไม่ได้คุณก็ไม่ได้เป็นรัฐบาล ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรอกครับ ผมก็เลยบอกว่า ถ้ารองเจริญ อยากจะปรึกษาเรื่องการปรองดอง อย่าเชิญเฉพาะพรรคการเมือง ต้องเชิญรัฐบาลไปด้วย แล้วให้รัฐบาลประกาศจุดยืนให้ชัดว่ารัฐบาลมีแนวคิดเรื่องการนิรโทษกรรมอย่างไร จะได้รู้ครับ จะได้รู้ว่านายกรัฐมนตรีคิดถึงคนเสื้อแดงตัวเล็กๆ หรือคิดถึงพี่ชาย
แต่ตราบใดที่เงื่อนไขเหล่านี้ยังไม่เกิด ผมก็บอกว่าพวกผมก็ต้องเดินหน้าคัดค้าน เรื่องของกฎหมายนิรโทษกรรมทั้ง 5 ฉบับ อย่างแน่นอนต่อเนื่อง และผมยืนยันว่า พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ที่ผมได้เดินทางไปพบปะ มีคนจำนวนมาก ที่ไม่ต้องการเห็นการนิรโทษกรรมที่ทำลายหลักของบ้าน ของเมือง และอนาคตของลูกหลานของเรา รัฐบาลจึงต้องเลือกครับ ว่าจะนำประเทศเดินหน้าแก้ปัญหาต่างๆ หรือจะนำประเทศ เข้าสู่ความขัดแย้งอีกครั้งหนึ่ง ถ้าต้องการให้บ้านเมืองสงบ แก้ปัญหาต่างๆ ตามที่ประชาชนเลือกให้ไปแก้ ให้ไปทำงาน ต้องประกาศถอนกฎหมายทุกฉบับเลิกล้มความคิดที่จะล้างผิดคนโกง คนทำผิดอาญา คนจาบจ้วงสถาบันเสียก่อน แล้วมาคุยกับเรา”