หลังปฏิบัติปลิดชีพ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ซึ่งมีแผนบุกโจมตีกองร้อยปืนเล็กที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน 32 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านยือลอ หมู่ 3 ตำบลบาเระเหนือ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส ไปเสร็จสรรพทั้งหมด 16 ศพ
เป็นเหตุให้ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ในเครือข่าย ทั้งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ “อาร์เคเค” หรือ “บีอาร์เอ็นคอร์ออดิเนต” ออกมาผสมโรงก่อเหตุความไม่สงบครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดปัตตานี นราธิวาส และยะลา ซึ่งแนวร่วมที่ออกปฏิบัติการ ส่วนใหญ่เป็น “กลุ่มวัยรุ่น” ที่กำลังฮึกเหิม ร้อนวิชา โดยคนเหล่านี้ผ่านการฝึกอาวุธมาอย่างชำนาญ และออกมาก่อความไม่สงบแล้วหลายครั้ง
ทั้งหมดเพื่อการ “เอาคืน” แทนเพื่อร่วมอุดมการณ์ที่ตั้งสังเวยชีวิตไป โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร เป็นต้น
หลังจากนี้ฝ่ายรัฐต้องเฝ้าระวัง-ป้องกัน-ติดตามการก่อเหตุของกลุ่มก่อความไม่สงบ ที่มีไม่น้อยกว่า 10 กลุ่มในระดับสูงสุดไปอีก 2เดือน เพื่อรอให้สถานการณ์คลี่คลายลง
นอกจากนี้ยังต้องเฝ้าระวังไม่ให้กลุ่มก่อความไม่สงบ นำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปปลุกปั่นยุยง “ประชาชน” ในพื้นที่ให้เพิ่มความเกลียดชัง “รัฐบาลไทย” ให้มากขึ้นไปอีก เพราะลำพังแผลเดิมๆที่ฝังใจ “ประชาชน” ในพื้นที่อยู่ ก็ยากลำบากมากที่จะลบ “แผลในใจ” ออกจากความคิดและความรู้สึก
แม้ที่ผ่านมารัฐบาลทุกยุคทุกสมัย จะพยายามนำการพัฒนาเข้าไปสู่พื้นที่ แต่ก็ยังได้รับเสียตอบรับแบบผิวเผิน ไม่ได้ทำให้ประชาชนรู้สึกประทับใจมากมายนัก เนื่องจากความเครียดแค้นจากการกระทำของ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ในหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมายังตรึงหัวใจของประชาชนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ตากใบ กรือแซะ ดุซงญอ เป็นต้น
นอกจากนี้เหตุการณ์ปลิดชีพ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ที่ออกมาเป็น “ข่าว” ตามหน้า “สื่อ” ต่างๆ อย่างอึกระทึกครึกโครม ยังเป็นผลเสียต่อ “เจ้าหน้าที่รัฐ” เป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งกระตุกให้ “ประชาชน” ในพื้นที่รู้สึกไม่ดีต่อ “เจ้าหน้าที่รัฐ” มากขึ้น
เคยมีคำพูดของ “เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง” ซึ่งถูกมอบหมายให้คิดค้นมาตรการดูแลความไม่สงบบอกว่า “การสูญเสียของผู้ก่อความไม่สงบที่เป็นมุสลิม ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะหาเหตุผลต่างๆมาอ้าง ก็ไม่สามารถทำให้ประชาชนเข้าใจการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐได้”
ที่สำคัญข่าวคราวการปลิดชีพ 16 ศพ เริ่มไปสะกิดให้ “องค์การการประชุมอิสลาม” (โอไอซี) ที่ระยะหลังหันไปให้ความสำคัญกับปัญหาชาวโรฮิงญา ในรัฐยะไข่ ประเทศพม่า กลับมาเหลียวมองปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยอีกครั้ง
ดังนั้นในการบริหารจัดการเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง “รัฐบาล” ต้องประเมินในหลายมิติ ประเมินในหลายด้าน เพื่อความรอบคอบมากที่สุด และหามาตรการที่คุ้มค่าที่สุดด้วย
แต่ทั้งหมดก็เหมือนจะสวนทางกันกับท่าทีของ “รัฐบาล” ซึ่งนำโดย “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายให้ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ดูแลเรื่องภาคใต้ ไว้ใจให้ “ร.ต.อ.เฉลิม” ผู้ไม่เคยสนใจใส่ใจปัญหาภาคใต้ นั่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศปก.กปต.)
“นายกฯปู” รู้ดีว่า “เฉลิม” ไม่มีกึ๋นพอที่จะบริหารจัดการสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เมื่อเกิดความผิดพลาด-ผิดคิว ในการปรับ ครม. “ยิ่งลักษณ์ 3” เกิดขึ้น ชื่อของ “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” หลุดออกจากตำแหน่งแบบไม่มีตัวตายตัวแทน
ลิสต์รายชื่อดูกันแล้วว่าไม่มี “รองนายกรัฐมนตรี” คนไหนมีความเหมาะสม หวยจึงออกที่ “ร.ต.อ.เฉลิม” ซึ่งดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อยู่แล้วด้วย จึงถูกมอบหมายให้ดูแลปัญหาแบบที่เจ้าตัวไม่เต็มใจสักเท่าไร
ในช่วงแรก “เฉลิม” รู้ตัวว่าหากต้องมาเป็นแม่งานดูปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่คุ้มค่าต่อการเสี่ยง เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ มีแต่เสียกับเสีย แต่เมื่อเป็น “คำสั่ง” ก็ต้องจำใจทำ และก็เป็นไปตามคาดเมื่อ “รองนายกฯคนเก่ง” เริ่มจุดประเด็นแนวทางแก้ไขปัญหาแบบที่พรรคพวกส่ายหัว สังคมข้องใจออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ไล่ตั้งแต่ การประกาศบังคับใช้ “เคอร์ฟิว” ในบางพื้นที่ ซึ่ง “ร.ต.อ.เฉลิม” ออกอากาศขึงขังจะทำให้ประความสำเร็จ ถึงขั้นลงทุนทะเลาะผ่าน “สื่อ” กับ “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรทัต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ไม่เห็นด้วยกับการประกาศเคอร์ฟิว
ทั้งนี้มีการมองกันว่าหากรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวจริงๆอย่างที่ “ร.ต.อ.เฉลิม” ตั้งใจ การดำเนินการที่ผ่านมาของเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามเข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชน จะไม่สูญเปล่าไปทันที อีกทั้งการทำความเข้าใจและชี้แจงให้ “องค์กรระหว่างประเทศ” รับรู้ถึงปัญหา ก็จะถูกตั้งข้อสงสัยกลับมาอีกทางหนึ่ง
หากรังจะประกาศเคอร์ฟิวดีดลูกคิดคำนวณกับแล้วว่า “จึงได้ไม่คุ้มเสีย”
รวมทั้งยังแนวคิดการประกาศเคอร์ฟิว ยังถูกพรรคประชาธิปัตย์ ภาคสังคม นักวิชาการ ออกมาต่อต้านอย่างมาก เพราะมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิมนุษย์ชนของประชาชน
“ร.ต.อ.เฉลิม” จึงใส่เกียร์ถอยหลัง
แต่คนอย่าง “ร.ต.อ.เฉลิม” แม้ไม่รู้ปัญหาจริงก็ไม่ยอมเสียเชิง มีเสียงซุบซิบว่า วาระการประกาศเคอร์ฟิวถูกบรรจุเข้าสู่การประชุม ศปก.กปต. “ร.ต.อ.เฉลิม” จึงต้องแก้เก้อด้วยการบอกกับที่ประชุม ศปก.กปต. ว่า “ผมรู้ว่าทุกคนไม่เห็นด้วยกับการประกาศเคอร์ฟิว แต่ผมก็ให้ข่าวไปอย่างนั้น เพราะต้องการให้พรรคฝ่ายค้าน ได้มีกระทู้ถามผมในการประชุมสภา”
ข้ออ้างของ “ร.ต.อ.เฉลิม” จึงสร้างความมึนงงให้ที่ประชุม สุดท้าย “ร.ต.อ.เฉลิม” มอบหมายให้ “พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ชี้แจงเรื่องนี้ต่อ “สื่อ” แทน เพราะตัวเองกลัวอาย-กลัวขายหน้า ที่ไม่มีใครสนับสนุนแนวคิดของตัวเอง
ตามมาด้วย การประกาศลั่นตึกบัญชาการ มีสีกขีพยานเป็นสื่อมวลชนไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อยว่าอยากให้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ที่สถานการณ์เบาบางให้ปรับมาใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงแทนที่ ล่าสุด “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” (กอ.รมน.) ได้กำหนดพื้นที่ไว้ 5 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอยะหริ่ง อำเภอกาบัง อำเภอไม้แก่น อำเภอธารโต อำเภอสุคีริน จุดประสงค์ที่ต้องการใช้ใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะหวังใช้มาตรา 21 เปิดทางให้ผู้ก่อความไม่สงบมอบตัวก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
แต่ “ร.ต.อ.เฉลิม” ก็พลิกลิ้นบอกว่าไม่เคยพูด เพียงแต่จะให้ “ผู้ก่อความไม่สงบ” มามอบตัวในพื้นที่ที่บังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการตามมาตรา 21
ทว่าหากมองให้ลึกการใช้มาตรา 21 ที่ผ่านมาไม่ได้ผลเท่าที่คาดหวังกันไว้ มี “ผู้ก่อความไม่สงบ” มามอบตัวต่อ “เจ้าหน้าที่รัฐ” น้อยมาก เป็นเพราะไม่มั่นใจว่าคดีความต่างๆจะถูกยกโทษให้ เนื่องจากการทำความเห็นไปให้ “ศาล” พิจารณาเป็นหน้าที่ของทหาร-ตำรวจ อย่างเดียว
ที่สำคัญหากมอบตัวต่อ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ไม่มีใครรับประกันได้ว่าจะปลอดภัย วันดีคืนดีอาจจะถูกคิดบัญชีลบชื่อออกจากสาระบบจากฝีมือ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” ได้ง่ายดาย
และสุดท้ายที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นการดึง “กลุ่มวาดะห์” เข้ามาเป็นที่ปรึกษา ถูกตั้งข้อสงสัยว่าแนวทางของ “ร.ต.อ.เฉลิม” หลังจากนี้ต้องอิงกับความเห็นของ “กลุ่มวาดะห์” พอสมควร เพราะอ่านเกมกันล่วงหน้าว่า แม้ข้อเสนอของ “กลุ่มวาดะห์” จะสวนทางกับ “หน่วยงานความมั่นคง” อย่างไรก็ตาม แต่ “รองฯเหลิม” จะคล้อยตามเพื่อเป็นการซื้อใจ
และเชื่อว่า “กลุ่มวาดะห์” นี่แหละคือ “แพะ” ที่ “ร.ต.อ.เฉลิม” วางไว้ เพื่อแก้ตัวต่อ “ยิ่งลักษณ์” แก้ตัวต่อสังคม ฟอกตัวให้กับตัวเองให้มีความผิดพลาดน้อยที่สุด
จึงไม่แปลกที่จะมีเสียงจาก “กลุ่มวาดะห์” บางคนออกมาดักคอ “ร.ต.อ.เฉลิม” ไว้ก่อนว่าหากแก้ไม่สำเร็จอย่ามาจับเป็น “แพะ”
ทั้งหมดคือการทำงานแก้ปัญหาภาคใต้แบบ “ด๊อกเตอร์เหลิม” ที่ใครๆก็ต่างฟันธงล่วงหน้าว่า ปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ทำยังไงก็ไม่มีวันสงบง่ายๆ แต่จะเพิ่มดีกรีความสับสน-ความร้อนแรง-ความร้อนรุ่ม สถานการณ์จะแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ