“เสรีพิศุทธ์” แจงคดีหมิ่นเบื้องสูง เกิดจากการใส่ร้ายเพื่อปลดออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร.ในสมัยรัฐบาลสมัคร ยันไร้มูลความจริง คดีถูกยกฟ้องหมด ส่วนข้อหานั่งกรรมการ ปตท. ระบุไม่เคยมีแม้แต่หุ้นเดียว เพราะเป็นเพียงกรรมการอิสระในบริษทลูกที่ไม่ได้ทำเรื่องพลังงาน ซึ่งตอนนี้ได้ลาออกแล้ว พร้อมชี้ผู้ว่าฯควรเป็นอิสระ หากมาจากพรรคการเมืองมีแต่ปัญหา ลั่นเลือกเบอร์ 11 สามารถยุติศึกพรรคชิงเมืองได้อย่างแน่นอน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "คนเคาะข่าว"
วันที่ 19 ก.พ. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.อิสระ ได้กล่าวในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ถึงคำพูดที่ว่าเลือกเสรีพิศุทธ์จะได้เพื่อไทย ว่า เป็นกลยุทธ์พรรคประชาธิปัตย์ ความจริงแล้วตนลงสมัครอิสระ ก็ไม่ทราบว่าจะได้คะแนนจากใคร แต่ถ้าจากการเลือกตั้งครั้งเดิมๆ ใครชอบพรรคไหนก็เลือกพรรคนั้น คนเลยเคยชินกับระบบพรรค แต่ตอนนี้ไม่ใช่การเลือก ส.ส.ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้ผู้ว่าฯอิสระ ปลอดจากการเมือง คนที่มีวิจารณญาณก็จะเลือกคนที่ปลอดจากการเมืองมาเป็นผู้ว่าฯ แต่คนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยก็เลือกประชาธิปัตย์หรือเพื่อไทยตลอด คนที่คิดเป็นจะรู้ว่านี่คือการเลือกตั้งท้องถิ่นไม่เกี่ยวกับพรรค เพราะมาเป็นไม่ได้แย่ง ส.ส.ใคร ถ้าคิดเป็นอย่าหลงเชื่อกลวิธีต่างๆ เลือกเสรีพิศุทธ์ก็ได้เสรีพิศุทธ์ จะได้เพื่อไทยได้อย่างไร
เมื่อถามถึงกรณีเคยต้องคดีหมิ่นเบื้องสูง 2 คดี เสรีพิศุทธ์ กล่าวชี้แจงว่า พี่น้องจะเชื่อหรือไม่คนอย่างเสรีพิศุทธ์ ได้รับเครื่องเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อดิศักดิ์รามาธิบดี ได้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาถวายปฏิญาณตนต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีหรือจะหมิ่นพระองค์ท่าน
แต่คดีนี้สืบเนื่องมาจากกระบวนการปล้นตำแหน่งตน พอนายสมัคร สุนทรเวช มาเป็นนายกฯ แถลงนโยบายเสร็จก็ปลดตนทันที โดยให้นายเวรไปฟ้องร้องตนในข้อหาหมิ่นเบื้องสูง และให้ตนออกจากตำแหน่งไปก่อน แล้วพิสูจน์ภายหลัง ตนก็ฟ้องร้องกลับ สู้คดีจนกระทั่งนายสมัครตายไป ส่วนของนายสมัครนี้ก็ยุติไป ส่วนของคนอื่นก็ดำเนินการต่อไป แต่ว่ายุทธการนี้เหี้ยมโหดมาก ล่อตนออกจากตำแหน่งแล้วยังยัดเยียดข้อหามาประมาณ 30 เรื่อง ถ้าตนไม่เข้มแข็ง และมีความรู้เรื่องคดีความต่างๆ เผลอๆ ฆ่าตัวตายไปแล้ว
“ความจริงข้อความไม่ได้หมิ่น ผมไปประชุมข้าราชการตำรวจที่สอบสวนกลาง ถอดเทปมา 22 หน้า แล้วเอาข้อความวรรคหนึ่งมาแล้วบอกอันนี้หมิ่น แล้วดำเนินคดีผม แค่นั้นยังไม่พอ ยังตั้งขึ้นมาเองว่าเมื่อปี 49 ผมเคยพูดหมิ่นฯ ซึ่งมันมีแต่ลมไม่มีข้อความอะไร คดีแรกเราต้อสู้มา ที่สุดพนักงานสอบสวนและอัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะข้อความไม่ได้หมิ่น แล้วยังสะท้อนให้เห็นว่าผมจงรักภักดีอีกด้วย ส่วนคดีที่สองเป็นคำพูดลอยๆ เผอิญผมมีสมุดพกติดตัวบันทึกว่าวันไหนไปไหน พอไปดูก็พบว่าไม่ได้อยู่ตามวันเวลาที่เขาพูด ตำรวจและอัยการก็สั่งไม่ฟ้องเช่นกัน” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
ส่วนเรื่องเป็นกรรมการ ปตท. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตอนนั้นศาลมีคำสั่งให้กระทรวงการคลังเข้ามาดำเนินกิจการของของทีพีไอ และต้องมีการประชุมผู้ถือหุ้น กรรมการเขารู้ว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เจ้าของเดิมไม่ยอม ต้องมาก่อกวนแน่ เขาเลยไปจัดประชุมที่กองทัพอากาศ เพื่อไม่ให้มาก่อกวน ขณะเดียวกันก็เชิญตนในฐานะจเรตำรวจแห่งชาติ เข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อย ตนไปในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความสงบเรียบร้อย แล้วนายประชัยก็มาจริง ไม่ยอมให้มีการประชุม โดยขึ้นไปเป็นประธานเปิดการประชุมเองเลย แต่ตนก็หว่านล้อมเชิญลงมาได้ พอประชุมเสร็จเขามองกันว่าที่บริษัทประชุมได้เพราะตน ก็เลยเชิญมาเป็นกรรมการทีพีไอ ซึ่งต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็นไออาร์พีซี ตนเป็นอยู่ 2 สมัย อยู่ในวงการมีความรู้ความสามารถ พอมีการแต่งตั้งอะไรก็มักเชิญตนไป
แต่ตนไม่ได้เป็นบอร์ด ปตท.แต่เป็นบริษัทลูก ชื่อว่า ปตท.เออาร์ ต่อมาควบรวมเป็น ปตท.จีซี โกลบอล เคมิคอล ซึ่งไม่ได้ทำเรื่องเกี่ยวกับพลังงาน และไม่เคยมีหุ้นเลยแม้แต่หุ้นเดียว เพราะเป็นกรรมการอิสระ พอมาลงสมัครผู้ว่าฯตนก็คิดว่าไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกรรมการอะไรทั้งสิ้น จึงลาออกหมดแล้ว
เมื่อถามว่ามีข่าวว่าเป็นนอมินี พ.ต.ท.ทักษิณ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ตนเป็นนักเรียนนายร้ายตำรวจรุ่น 24 พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรุ่นน้อง 2 ปี ตนปกครอง พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่เป็นนักเรียน เป็นนักเรียนปกครองโดยตรง ซึ่งนักเรียนนายร้อยตำรวจจะมีนักเรียนปกครองปีละ 3 คน เรียน 3 ปี จึงมีทั้งหมด 9 คน พอ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ ก็สนับสนุนคน 8 คนให้ได้รับตำแหน่ง ยกเว้นตน เพราะเขามีเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ภรรยามาต่อท้ายตนอยู่ในการที่จะแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ตนเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมา 6 ปี แต่เพรียวพันธ์เพิ่งเป็นปีครึ่ง แต่สรุปเขาก็ตั้งเพรียวพันธ์ข้ามตนไปเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งตนก็ฟ้องร้อง จนปี 49 เกิดปฏิวัติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ถูกโยกมาอยู่สำนักนายกฯ ตนก็ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้ขึ้นก่อนพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ แต่พอ 28 ก.พ. 51 พ.ต.ท.ทักษิณกลับมากทม. 29 ก.พ. 51 ตนก็ถูกปลด อย่างนี้ตนเป็นนอมินีใครหรือ
ต่อข้อถามที่ว่าวันนี้มีมุมมองต่อพ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวตอบว่า ตนเป็นรุ่นพี่เขา เคยปกครองเขา สั่งลงโทษเขาตั้งแต่สมัยเรียน ถึงแม้ไม่แต่งตั้งตนแต่ก็ตั้งนักเรียนปกครองคนอื่นได้ดิบได้ดีกัน ตนมีเรื่องส่วนตัวที่เผอิญมีเพรียวพันธ์มาต่อท้าย และสุดท้ายตนก็ถูกปลด แล้วจะให้คิดอย่างไร ก็คงทำใจไม่ได้เหมือนกัน ก็ต้องปฏิบัติตามระเบียบกฎหมาย แต่คงไม่มีอะไรมากมาย
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า ช่วงโค้งสุดท้ายในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.อยากให้พี่น้องประชาชนคิดให้ดี โดยต้องคิด 2 ระดับ ระดับแรกตัดสินใจเลือกระหว่างผู้สมัครพรรคและอิสระ ในเมื่อเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้ผู้ว่าฯปลอดจากการเมือง แต่พรรคการเมืองอยากยึดกรุงเทพฯเพราะเป็นเมืองที่มี ส.ส.เยอะ ตอนนี้จึงเกิดศึกชิงเมือง โดยประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยต่อสู้กันรุนแรงมาก การเลือกพรรคนั่นเป็นการเมืองระดับชาติ แต่ระดับท้องถิ่นให้เลือกคนไม่ได้เลือกพรรค หากเลือกพรรคไปก็จะเหมือนเดิม แต่ถ้าเลือกคนก็จะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย เป็นอิสระจากการเมือง ทำงานได้เต็มที่
ระดับที่สอง เมื่อคิดได้แล้วว่าต้องเลือกอิสระ ก็มาดูประวัติว่าในบรรดาผู้สมัครอิสระด้วยกัน ใครเคยทำคุณประโยชน์ให้ชาติบ้านเมืองมากแค่ไหน มีผลงานอย่างไร แล้วก็พิจารณาเลือกเอา
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวว่า ต้องเลือกผู้สมัครอิสระเท่านั้น เลือกพรรคมีปัญหาแน่นอน ประชาธิปัตย์มาก็จะทะเลาะกับรัฐบาล เพื่อไทยมาก็จะกำกับแบบไร้รอยต่อ ตรวจสอบไม่ได้ คนกทม. 4 ล้านกว่าคน โปรดลุกขึ้นมาใช้สิทธิ์เลือกผู้ว่าฯเป็นตัวเทน ปลดแอกพรรคการเมืองออกไปจากทม.ให้ได้ หากตนได้เป็นผู้ว่าฯ ผู้สมัครอิสระด้วยกันที่มีความรู้ความสามารถ ตนจะเชิญมาร่วมเป็นทีมงานที่ปรึกษาด้วย ตนยืนยันได้ว่าเลือกเบอร์ 11 จะสามารถยุติศึกพรรคชิงเมืองได้อย่างแน่อน บ้านเมืองจะเกิดความสงบเรียบร้อย
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงนโยบายหลักๆ ว่า มีสโลแกน 1 ปี เปลี่ยนแปลง 4 ปี เรียร้อย ซึ่งจะต้องทำตามวิสัยทัศน์และพันธกิจ วิสัยทัศน์ก็คือคนกรุงเทพฯต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และกทม.ต้องเป็นศูนย์กลางประชาคมอาเซียน ส่วนพันธกิจ มีดังนี้ 1.กรุงเทพฯต้องปลอดภัย ปลอดจากยาเสพติดและผู้มีอิทธิพล 2.เป็นเมืองน่าอยู่ จราจรไม่ติดขัด น้ำไม่ท่วม 3.เมืองสีเขียว สะอาด น้ำใส ปลอดขยะ ไร้มลพิษ 4.ประชาชนต้องมีการศึกษา มีอาชีพ มีรายได้ มีความพร้อมในปัจจัยสี่ 5.โรงพยาบาล การสาธารณสุขต้องทันสมัย และมีเพียงพอในการบริการประชาชน 6.ผู้สูงอายะ สตรี คนพิการ ต้องได้รับการดูแลทัดเทียมกับบุคคลทั่วไป ซึ่งถ้าทำตามนี้ 1 ปี จะเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และ 4 ปี จะเรียบร้อย
จากนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้กล่าวขยายความพันธกิจ ว่า 1.ความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน ปลอดอาชญากรรม ยาเสพติด และผู้มีอิทธิพล ความจริงแล้วเป็นหน้าที่หลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ว่างานของกทม.เราต้องทำทุกอย่างเพื่อรองรับตรงนี้ เช่นถนนหนทางมุมอับต้องเจาะทะลุตัดให้ไปไหนมาไหนได้ มีไฟส่องสว่างตามทาง ที่รกร้าง ตึกร้าง อันไหนทุบทิ้งได้ก็ทุบทิ้ง เพื่อไม่ให้เเป็นแหล่งก่ออาชญากรรม
นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่เทศกิจทุกวันนี้ทำหน้าที่จับแม่ค้า ตนว่ามันไม่มีอะไรดีขึ้นเลยแสดงว่าเทศกิจทำตรงนั้นไม่ได้ผล เลยจะนำเทศกิจมาฝึกอบรมให้รู้ระเบียบกฎหมายในการป้องกันอาชญากรรม เพื่อมาร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นสายตรวจป้องกันอาชญากรรม และดูจราจรไปด้วยในตัว
มาที่งานตำรวจ เมื่อตำรวจนครบาลไปขึ้นกับรัฐบาล ผู้ว่าฯก็ดูได้ไม่เต็มตัว ฉะนั้นควรมาขึ้นกับกรุงเทพฯ ซึ่งคงต้องพูดคุยกับรัฐบาล ถ้ารัฐบาลยึดหลักการมันก็ง่าย แต่ถ้าหวงอำนาจมันก็ยาก ก็ต้องวัดใจกันว่าทำเพื่อพี่น้องประชาชนจริงหรือเปล่า แล้วตนสมัครอิสระด้วย ไม่มีพรรคการเมืองมาเกี่ยวข้อง ไม่ต้องห่วงว่าเลือกตั้งระดับชาติจะแย่ง ส.ส.แต่ถ้าทำไม่ได้ อาจตั้งตำรวจกทม.ขึ้นมาเองโดยตรงเลย
อีกอย่างตามชุมชนต่างๆ คนในชุมนชนจะรู้ดีว่าใครทำอะไร ฉะนั้นจะตั้งผู้นำชุมชนต่างๆให้เข้ามาช่วยเหลือ มีส่วนร่วมป้องกันปราบปรามยาเสพติด โดยจะมีเครื่องแบบ ให้เกียรติ ให้มีความน่าเชื่อถือในการดูแลทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน
เมื่อถามว่าการเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสามารถช่วยควบคุมความปลอดภัยของกทม.ได้มากหรือไม่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ช่วยได้มาก เพราะเป็นผู้บัญชาการตำรวจมา อย่าว่าแต่กทม.เลย ตนสามารถเอื้อมไปช่วยต่างจังหวัดยังได้ด้วย เพราะตำรวจทั่วประเทศเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บังคับบัญชาตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน (พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว) ก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาตน อยู่กับตนที่นาแกตั้งแต่จบใหม่ เรียกได้ว่าปั้นมากับมือ ฉะนั้นการประสานงานต่างๆจะสะดวก ถ้าได้ตนมาเป็นผู้ว่าฯ ถือว่าได้แถมสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาอีก 1 หน่วยงาน สถิติอาชญากรรมลดลงแน่นอน
2.พันธกิจเมืองน่าอยู่ เมืองต้องปลอดภัย สะอาด อากาศบริสุทธิ์ มีสวนสวย จราจรไม่ติดขัด ไม่สกปรก โดยการแก้ปัญหาจราจรนั้น เราเตรียมรับมือรถคันแรกที่กำลังจะออกมาจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้รัฐบาลมีการสร้างรถไฟฟ้าต่างๆมากมาย เราจะไม่ไปแข่งสร้างด้วย เพราะมีเงินจำกัด แล้วการไปแข่งโครงการใหญ่ๆ เบื้องหลังก็เพื่อเงินทอนทั้งนั้น แต่เราจะช่วยจัดตั้งสถานีที่จอดรถตามรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดิน คนต่างจังหวัดพอเข้ามากทม.ก็สามารถพักจอดรถแล้วขึ้นรถไฟฟ้ามาสู่ใจกลางกทม.ได้โดยสะดวก หรือคนที่ไม่ยอมจอดรถไว้ ก็จะมีการออกเทศบัญญัติ โดยมีกฎเกณฑ์ต่างๆเพื่อควบคุม เช่น รถ 20 ปีขึ้นไปไม่ให้ใช้ในกทม. ต้องจำหน่ายออกไปต่างจังหวัด ไม่ให้รถจากต่างจังหวัดที่ขับมาแค่คนเดียวเข้ากทม. ต้องจอดไว้
และจะมีโครงการรถเมล์ฟรีติดแอร์ เพราะปกติไม่มีแอร์หลายๆคนไม่อยากขึ้น เพราะลำบาก ร้อน เหนอะหนะ จึงยังใช้รถส่วนตัวกันมาก แต่ถ้าสะดวกสบายขึ้นก็จะช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวได้ อีกทั้งจะให้วิ่งตรงถึงสถานีรถไฟฟ้าเลย
ส่วนเรื่องน้ำไม่ท่วม ตนก็เตรียมทีมรองผู้ว่าฯที่มีความรู้ความสามารถไว้พร้อม และไม่ใช่ดูเฉพาะ กทม.แต่ต้องดูตั้งแต่ต้นน้ำ ต้องประสานงานกับผู้ว่าจังหวัดต่างๆที่น้ำผ่าน และวางแผนไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่รอน้ำมาถึงค่อยวางแผน
3.เมืองสีเขียว จะทำสวนสาธารณะใหญ่และใกล้บ้าน ใต้ดินของสวนสาธารณะจะทำเป็นที่จอดรถใต้ดิน รถที่จอดเกะกะขวางทางก็จะมีที่จอดเพียงพอ อีกส่วนจะเป็นตลาดใต้ดิน เอาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายอยู่ละแวกนั้นอยู่แล้วเข้ามาขายในที่ที่จัดไว้ให้ เมื่อทำเช่นนั้นได้ ถนนก็จะว่าง ปรับฟุตบาท ทางคนก็ได้กลับคืนมา ถ้าที่พอก็ทำเลนจักรยาน
ส่วนหาบเร่แผงลอย ตนลงพื้นที่ พ่อค้าแม่ค้าอยากขอขายของทุกวัน ส่วนคนเดินบ่นว่าไม่มีทางเดินแล้ว ซึ่งเราต้องมองทุกฝ่ายให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล จะให้คนค้าขายไม่มีอาชีพก็ไม่ได้ โดยมีแนวคิดตลาดลอยฟ้า เป็นบันไดเลื่อนขึ้น ข้างบนกว้าง 20 เมตร ติดแอร์ แล้วก็เอาผู้ค้าแถวนั้นขึ้นมาขายข้างบน ค่าเช่าก็ไม่แพง เพราะเคยพูดคุยบ้างแล้ว พวกนักลงทุนพร้อมที่จะมาทำให้ ขอแค่ที่โฆษณาสินค้าของเขา
ส่วนสวนใกล้บ้าน ถ้ามีที่รกร้างเป็นที่ซ่องสุม ก็จะประสานขอมาทำสวนทั้งหมด สวนก็จะกระจายทั่ว กทม.บ้านเมืองก็จะเขียวสะอาด