รายงานการเมือง
แม้จะไม่กินเส้นกันมานานแล้วก็ตาม แต่การกระทบกระทั่งกันรอบนี้หนักกว่าครั้งอื่นๆ แน่นอน สำหรับวิวาทะผ่านจอของนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กับนายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ที่หนักหน่วงรุนแรงขึ้นทุกวัน
แม้แต่กระทั่ง “คางคกตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.อีกคน ที่นายขวัญชัยระบุว่าไม่มีความบาดหมางเป็นการส่วนตัว และยังเข้าใจกันดี เพราะมีปัญหาแค่ “นางนกแสก” คนเดียว ก็ยังโผล่มาอุ้มฝั่งตรงข้าม แถมเหน็บกลับประธานชมรมคนรักอุดรคือ คนที่ชอบสร้างปัญหาอยู่เรื่อย
เช่นเดียวกับในส่วนของแกนนำรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนายนิสิต สินธุไพร ผู้อำนวยการโรงเรียน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ผู้เป็นสามี ชนิดไม่มีใครยืนอยู่ข้าง “ขวัญชัย” สักคนเดียว
จะมีเพียงก็แต่คนที่เกลียดนางธิดาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อย่างนายชินวัฒน์ หาบุญพาด ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย รวมไปถึง “แรมโบ้อีสาน” นายสุพร อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แต่ทั้งคู่ก็เป็นเพียงเสียงๆหนึ่งที่ไม่มีน้ำหนักมากมายอะไรในก๊วน นปช.หากเทียบกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือนายจตุพรเอง
สถานะของ “ขวัญชัย” ตอนนี้จึงไม่ต่างจากการถูกจับลอยแพโดดเดี่ยวจากกลุ่ม นปช.ส่วนกลาง โดยเฉพาะนางธิดาที่กล่าวโจมตีแบบไม่ญาติดีถึงขั้นประณามว่า “เพี้ยน” ขณะเดียวกันก็ยังดิสเครดิตชมรมคนรักอุดรว่าเป็นเพียงแค่องค์กรหนึ่งที่เข้ามาร่วมใกล้ชิดกับ นปช. ก็เท่านั้นเอง
ตอกลิ่มแบบรุนแรงแถมยังลดสถานะองค์กรของนายขวัญชัย ดูแล้วแผลที่เกิดขึ้นรอบนี้คงสมานกันยาก
โดยเฉพาะนายขวัญชัยที่ประกาศลั่นไปแล้วว่าจะไม่มาร่วมงานกับ นปช.ส่วนกลางอีก แถมจะคุมคนเสื้อแดงใน 20 จังหวัดให้มีความแข็งแกร่ง เพราะยังเชื่อว่าจำนวนมวลชนคนเสื้อแดงในภาคอีสานคือ ขุมพลังสำคัญที่สุดของ นปช.
หนังม้วนนี้ก็เลยต้องรอดูกันยาวๆ ว่าศึก “นกแสก” ปะทะ “พี่ขวัญ” จะลงเอยกันอย่างไร และจะทำให้มวลชนแตกเหล่าแตกกอจนไม่สามารถรวมสภาพได้เหมือนแต่ก่อนหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ตามอาการบรรดาแกนนำนปช.ส่วนกลาง ที่ออกมารุมกินโต๊ะนายขวัญชัยรอบนี้แบบไม่ใยดีก็มีเหตุมาจากเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมที่มีการแห่เสนอต่อรัฐบาล จนนายขวัญชัยออกมาสะกิดแบบตรงไปตรงมาชนิดแทงใจดำใครหลายคน
“เมื่อเราเป็นรัฐบาลและมีการเคลื่อนไหวแบบนี้อาจจะส่งผลกระทบไปถึง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย เพราะตอนนี้คะแนนนำคู่แข่งอยู่ ถ้าไปชุมนุมกันบ่อยๆ เรียกร้องกันมากๆ คนในครอบครัวเดียวกัน จะทำให้กลายเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตี ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศอยู่ และมีอำนาจจัดระบบระเบียบ ดังนั้น รอให้รัฐบาลบริหารประเทศครบ 3 ปี แล้วค่อยมายื่นกัน ถ้าค้านกันมาก หรือไปไม่ไหวก็ยุบสภาไปเลือกตั้งใหม่ถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็ชนะ อยากให้วัดดวงกันในปีสุดท้าย ถ้าวันนี้มีการพลิกขั้วให้เขากลับไปมีอำนาจ พวกแกนนำอย่างพวกผมอยู่ไม่ได้แล้ว
เพราะไม่ได้เอาเข้าคุกเขาฆ่าทิ้งหมด ผมไม่ได้กลัว แต่อยากเห็นการก้าวเดินไปข้างหน้าของประเทศ อะไรควรถอยได้ก็ถอย ถ้าดูสัญญาณจากดูไบก็พยายามเชื่อมต่อกับผู้มีอำนาจเพื่อพบกันคนละครึ่งทางถอยกันคนละก้าว แต่พวกเรานักต่อสู้ไม่ยอมลดราวาศอกจะเอาชนะอย่างเดียวมันไม่ได้”
นี่คือดอกแรกที่นายขวัญชัยออกมาซัดแบบตรงไปตรงมา และแทบจะอธิบายเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้แทบทั้งหมดว่าความจริงคืออะไร
ที่สำคัญ เป็นการขยายภาพก้าวย่างของรัฐบาลและแนวทางต่อไปของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ที่อย่างไรรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยากจะหยิบเผือกร้อนชิ้นนี้ขึ้นมาทำให้เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นแนวทางใด ทั้งร่าง พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ฉบับคนเสื้อแดง, ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยการนิรโทษกรรม ฉบับนิติราษฎร์
เพราะการเดินฝ่ากองไฟออกกฎหมายเหล่านี้ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลที่ทุกวันนี้อยู่เพื่อประคองอำนาจเท่านั้น อะไรที่ปัจจัยสั่นคลอนย่อมหลีกเลี่ยงที่จะแตะต้อง เห็นได้จากการดองยาววาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญและร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่ค้างเติ่งอยู่ในรัฐสภาแบบไม่มีกำหนดคลอด
คำพูดของ “ขวัญชัย” ที่ระบุว่าควรจะทำในช่วงของปีสุดท้ายของการบริหารประเทศ หากไม่สำเร็จและส่อเค้าสถานการณ์จะไม่ดี แล้วหนียุบสภาก็ไม่เสียหาย จึงเป็นอะไรที่สอดคล้องกับความเป็นจริงอย่างถึงที่สุด
เหนืออื่นใดนอกจากการประคองอำนาจให้อยู่ยืนยาวแล้ว อีกเป้าประสงค์หลักที่แท้จริงในการไม่เร่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับประชาชนก็คือ “นายใหญ่”
เพราะวันนี้ต้องอย่าลืมว่าคนชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีที่ระเหเร่ร่อนอยู่ต่างแดนยังคงมีความพยายามที่อยากกลับบ้านอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น หากมีการนิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองไปแล้ว รัฐบาลจะหมดข้ออ้างในการออกกฎหมายปรองดองเพื่อสอดไส้ชื่อ “นายห้างดูไบ” ทันที สถานะของมวลชนที่ถูกต้องขังอยู่ตอนนี้จึงไม่ต่างจาก “ตัวประกัน”
ดังนั้น การที่ขวัญชัยออกมาปอกเปลือกครั้งนี้ จึงไม่ต่างจากการประจานบรรดาเหล่าแกนนำ นปช.สายใกล้ชิดอำนาจไปในตัว และยังเป็นการแฉว่าแท้จริงแล้วการขับเคลื่อนนิรโทษกรรมที่ทำกันอยู่เป็นเพียงแค่การเลี้ยงอารมณ์มวลชนไปวันๆ
ดูได้จากการที่นายจตุพรที่แต่ก่อนเวลาเกิดปัญหานี้ มักปล่อยให้เป็นเรื่องบาดหมางระหว่างแค่ “ธิดา” และ “ขวัญชัย” แค่สองคน แต่หนนี้กลับยังถือหางนางนกแสก เพราะสิ่งที่ถูกแฉคือ มันกระแทกใจบรรดา นปช.ในภาพรวม
ตามเกมรุมกะซวกไส้และเฉดหัว “ขวัญชัย” ครั้งนี้ จึงเสมือนเป็นการลงโทษข้อหานำ “ความจริง” มาพูดทั้งๆ ที่เป็นเรื่องไม่สมควรจะพูด ขณะเดียวกัน การที่ นปช.ส่วนกลาง กล้าตัดหางประธานชมรมคนรักอุดรทิ้งออกจากสารบบเพราะมองแล้วว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแล้วมีไม่มากเท่าไหร่ เพราะบรรดาแกนนำหลักยังคงดึงดูดมวลชนได้อยู่
โดยสภาพของประธานชมรมคนรักอุดรครั้งนี้แล้ว จึงกำลังจะตายเพราะ “ความจริง” ที่พวกเดียวกันรับไม่ได้