รายงานการเมือง
ถูลู่ถูกังงัดขึ้นมาเลี้ยงอารมณ์มวลชนที่ระยะหลังหงุดหงิดกับท่าทีของรัฐบาลและแกนนำไพร่ทั้งหลายที่กล้าๆ กลัวๆ ไม่ผลักดันเรื่องที่สัญญาเอาไว้ก่อนการเลือกตั้ง ทั้งร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง หรือร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
จึงฉวยมุก “นิรโทษกรรม” มาปลอบใจแฟนๆ ให้เป็นของเล่นเติมความหวังไปพลางๆ ก่อน
แต่พอสังคมเหล่ตาสนใจข้อเสนอ เช่นเดียวกับหลายภาคส่วนที่เลือกหยิบยกทางเลือกหลากหลายมาให้พิจารณา ตัวเองกลับทำตัวอีลุ่ยฉุยแฉะ แตะๆ แต่ไม่เคยจริงจัง
และยิ่งนับวันยิ่งปล่อยไปแบบนี้ เจตนาแท้จริงที่หลบซ่อนของบรรดาไพร่สาย “นายใหญ่” ก็จะถูกเปลือยกายล่อนจ้อนจนเห็นเนื้อในอีกไม่ช้า
เฉพาะแค่วันนี้พี่ๆ น้องๆ คนเสื้อแดง ก็ชักได้เห็นเค้าลางกันบ้างแล้ว
เริ่มตั้งแต่อาการเฉื่อยชา ตั้งแต่วันที่จุดประเด็นเรื่องร่าง พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ฉบับของตัวเองขึ้นมา ก็ไม่เคยเดินเครื่องสานต่ออย่างจริงจัง ความคืบหน้าหยุดอยู่กับที่ไม่มีอะไรก้าวขยับ ทั้งๆที่การออก พ.ร.ก.ต้องถือเป็นเรื่องเร่งด่วนแท้ๆ
จนกระทั่งปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงสายวิชาการอย่างกลุ่มแนวร่วม 29 มกราฯ ปลดปล่อย ที่นำโดย “อาจารย์หวาน-สุดา รังกุพันธุ์” อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประชิดขอบรั้วทำเนียบรัฐบาลยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยการนิรโทษกรรมฉบับนิติราษฎร์
และต่อเนื่องด้วยซีนของ “อุกฤษ มงคลนาวิน” ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่ร่อนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้บรรดา ส.ส.และ ส.ว.พิจารณา ไปแล้ว
บรรดาแกนนำ นปช.ถึงเพิ่งจะตื่นว่าตัวเองต้องยื่นบ้าง แต่ก็เป็นการแอ็กชั่นที่ผิดวิสัยแกนนำสไตล์ เพราะมีเพียงแค่ฉากที่ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สร้างภาพมุดรั้วทำเนียบรัฐบาลเข้าไปตัวเปล่าเพื่อชี้แจงวัตถุประสงค์ของร่าง พ.ร.ก.นิรโทษกรรม ให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีฟัง ชนิดไม่มีตัวเอกสารหรือซองเป็นพิธีเข้าไปสักแผ่น มิหนำซ้ำยังไม่ได้มีการยื่นร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าวอย่างเป็นทางการ
ทว่าพอเรื่องร้อนฉ่า “ปูกรรเชียง” และ “ไพร่เทียม” ก็ลักไก่ฉวยจังหวะอ้างว่าส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาไปแล้ว ตามมุกถนัดดับกระแสร้อน
อย่างไรก็ดี ความไม่จริงใจในการออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อปลดปล่อยพี่น้องคนเสื้อแดงของบรรดาแกนนำไพร่และรัฐบาล ก็ยังถูกแฉด้วยพฤติกรรมออกมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ปรับเกมสู้ แก้กระบวนท่าข้อหาพวกจระเข้ขวางคลองไม่อยากเห็นชาติปรองดองด้วยการยกมือสนับสนุน แต่มีข้อแม้บีบใจแกนนำไพร่ทั้งหลายคือ ต้องนิรโทษกรรมเฉพาะพวกที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เท่านั้น ส่วนพวกต้องคดีอาญาต้องไปวัดกันที่กระบวนการยุติธรรม
ตามคิว “ค่ายสีฟ้า” ส่งสัญญาณไฟเขียววัดใจ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” และ “แกนนำ นปช.” กล้าทำตามคำเรียกร้องหรือไม่?
จับอาการ “ค่ายพระแม่ธรณีฯ” งวดนี้ น่าจะอ่านเกมขาดว่าอย่างไรพวกไพร่ที่สยายปีกเป็นอำมาตย์ก็ไม่กล้าวัดเอาด้วย เพราะมวลชนคนเสื้อแดงที่มีคดีและติดอยู่ในคุกคือ “เบี้ยตัวสำคัญ” ในกระดานปลดเปลื้องตัวเองจากพันธนาการของแกนนำ นปช. รวมไปถึง “คนดูไบ”
โดยวันนี้หาก “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” บ้ายอไปกับข้อเสนอและเกมของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วนิรโทษกรรมมวลชนคนเสื้อแดงที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปจนหมด ความชอบธรรมและข้ออ้างในการออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือตัวเองและ “นายใหญ่” จะหมดไปทันที
ซึ่งแน่นอนว่าอย่างไรเสียรัฐบาลก็ต้องส่ายหน้าไม่เอาด้วย เพราะต้องอย่าลืมว่าเป้าประสงค์ในการออกกฎหมายหรือแก้ไขกฎหมายของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ล้วนแล้วแต่มีเป้าประสงค์หลักคือ หมกเม็ดรายละเอียดเพื่อฟอกขาวให้ “นายใหญ่” โดยอาศัยเรื่องความปรองดองในประเทศมาเป็นเหตุผลอ้างอิงให้ดูดี
อีกทั้งหากวันหนึ่งมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับมวลชนที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้ว พลพรรคเพื่อไทยคิดอยากจะออกกฎหมายสักฉบับเพื่อลักไก่ช่วย “คนดูไบ” ปัญหาคือ เมื่อมวลชนที่แกนนำไพร่พยายามบอกว่าต้องปลดปล่อยเพื่อความปรองดองในประเทศได้รับอิสรภาพไปหมดแล้ว ยังจะเหลือเหตุผลอะไรที่ต้องทำเพื่อความปรองดองอีก
ตามสภาพวันนี้มวลชนที่ต้องคดีเหล่านี้จึงไม่ต่างจาก “ตัวประกัน” ที่ต้องประสบชะตากรรมเพียงเพราะใครบางคนต้องการเก็บเอาไว้สร้างความชอบธรรมในการออกกฎหมายล้างผิดให้คนโกง
กลยุทธ์ของ “ค่ายสีฟ้า” จึงน่าจะเป็นการลดแต้มรัฐบาลได้ไม่น้อย เพราะเท่ากับเป็นการสาวไส้สาวพุงให้เห็นภาพได้แทบจะชัดแจ๋วว่าแท้จริงแล้วแกนนำไพร่รวมถึงรัฐบาลล้วนแล้วแต่ทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้รักมวลชนอย่างที่ปากพูด
ขยายภาพชัดๆ เข้าทำนองถ้า “รัก” แล้วทำไมไม่รีบ “นิรโทษฯ”
กับอีกฉากตอกลิ่มพฤติกรรมเจตนาแฝงในการออกกฎหมายของพลพรรคนายห้าง ก็คิวที่ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ส.ว.สรรหา ออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของ คอ.นธ. โดยเฉพาะเนื้อหาที่ระบุว่า ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของผู้มีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวในห้วงเวลาดังกล่าว ซึ่งตรงนี้ไม่มีความชัดเจน และสุ่มเสี่ยงที่จะมีการช่วยเหลือพรรคพวกกัน
ตามแท็กติกโคตรเซียนกฎหมายอย่าง “ไพบูลย์” จึงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตีความและควรระบุเพิ่มไปด้วยว่า “ไม่รวมถึงผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” เพื่อจะได้ไม่ต้องมีคณะกรรมการตีความอีก
ทำเอา “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย สะดุ้งโหยงออกตัวค้านสุดฤทธิ์ แถมออกลายอ้างว่าตัวเองเป็นแกนนำแต่ไม่มีอำนาจสั่งการ
ตามอาการไม่ได้รับอานิสงส์ เจตนาเลยโผล่ให้เห็นกันล่อนจ้อนแบบจะจะ เช่นเดียวกับในรายของ “อำมาตย์เต้น” ก็ออกตัวเลยว่า เป็นแกนนำแต่ไม่มีอำนาจสั่งการ ทั้งๆ ที่ เทปและวิดีโอบันทึกได้ทั่วบ้านทั่วเมืองว่าเป็นคนตะโกน “เผาเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง”
จับปฏิกิริยานาทีนี้จึงถือเป็นนาทีทองในการชำแหละพฤติกรรมและเจตนาของรัฐบาลและคนเสื้อแดง เพราะยิ่งมีการเสนอร่างนิรโทษกรรมมากขึ้นเท่าใด ยิ่งมีการถกเถียงหารือกันมากเท่าใด หางแดงก็เริ่มโผล่มากขึ้นเท่านั้น
เพราะสุดท้ายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายนิรโทษกรรม กฎหมายปรองดอง ตลอดจนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เพื่อคนคนเดียวเท่านั้น หาใช่เพื่อมวลชน