xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : “สมยศ” สมรู้ร่วมคิด “จักรภพ” ใส่ร้าย “ในหลวง”!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บ.ก.นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ และแกนนำ 24 มิถุนาประชาธิปไตย
อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน

นับเป็นเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้ กรณีคนเสื้อแดงไปชุมนุมประท้วงที่หน้าศาลอาญา ก่อนเปิดฉากโจมตีศาลและคำพิพากษาจำคุก 10 ปี “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” คดีเผยแพร่บทความหมิ่นสถาบัน แถมยังมีบุคคลบางกลุ่มเข้าชื่อร้อง ปธ.รัฐสภา-นายกฯ-ปธ.ศาลฎีกา-กรรมการสิทธิฯ อ้างว่า โทษจำคุกสมยศ 10 ปีรุนแรงเกิน แต่ นักวิชาการที่ได้อ่านบทความดังกล่าวแล้ว ยืนยันว่า เป็นบทความที่เจตนาใส่ร้าย-ทำให้ผู้คนจงเกลียดจงชัง “ในหลวง” เช่นนี้แล้ว บางที 10 ปี อาจน้อยไปด้วยซ้ำ!

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

หลังศาลอาญาพิพากษาจำคุกนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย เป็นเวลา 10 ปี ฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมไม่ให้ประกันตัวเมื่อวันที่ 23 ม.ค. เนื่องจากนายสมยศมีพฤติการณ์หลบหนี โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะกำลังจะหลบหนีออกนอกประเทศ ปรากฏว่า คนเสื้อแดงบางส่วนที่เรียกตัวเองว่า เครือข่ายทางสังคมประชาธิปไตย หรือกลุ่มคนต่อต้านไม่เอา มาตรา 112ประมาณ 20 คน ไม่พอใจที่ศาลพิพากษาจำคุกนายสมยศ จึงไปชุมนุมประท้วงที่หน้าศาลอาญา พร้อมอ่านแถลงการณ์โจมตีมาตรา 112 ว่าเผด็จการ แถมโจมตีศาลว่าผลักความรับผิดชอบให้นายสมยศ โดยไม่พิสูจน์ให้สิ้นสงสัยในเจตนากระทำผิด รวมทั้งไม่ให้ประกันตัว ทั้งที่เป็นสิทธิพื้นฐานตามหลักสากล พร้อมพูดเหน็บว่า ต้องเป็นอภิสิทธิชนเท่านั้นจึงจะเข้าถึงสิทธินี้ได้ และว่า หากสถาบันตุลาการไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานทางกฎหมายแล้ว ความยุติธรรมที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ด้านนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา พูดถึงการประท้วงของกลุ่มดังกล่าวว่า ศาลได้ชี้แจงคดีนายสมยศผ่านสื่อมวลชนไปแล้ว เชื่อว่าประชาชนทั่วไปและคนที่มีความคิดเป็นกลางจะมีความเข้าใจ

ไม่กี่วันต่อมา (4 ก.พ.) ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 50 คน เรียกตัวเองว่า แนวร่วมประชาธิปไตยภาคประชาชน (นปป.) นำโดย ร.ต.ต.สมศักดิ์ แพทย์สมาน ประธาน นปป. และนายอนุสรณ์ สมิทธ์กุล ไปชุมนุมประท้วงที่หน้าศาลอาญาอีก พร้อมชูป้ายด่าทอผู้พิพากษาและคำพิพากษาจำคุกนายสมยศ จากนั้นได้ยื่นหนังสือจี้ให้นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ขอโทษประชาชน และลาออกจากตำแหน่ง โดยอ้างว่า อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคุกคามการใช้เสรีภาพทางความคิดของประชาชนด้วยการพูดทำนองว่า การวิจารณ์ตุลาการ ต้องเป็นไปอย่างสุจริต อย่ามีอคติ หากโจมตีตุลาการด้วยข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง อาจเข้าข่ายผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้

ด้านนายทวี ได้รับหนังสือจากกลุ่มดังกล่าวไว้พิจารณา พร้อมยืนยันว่าคดีนายสมยศได้เคยชี้แจงไปแล้ว และประชาชนส่วนใหญ่ก็เข้าใจ

เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงกลุ่มคนเสื้อแดงบางกลุ่มจะไปชุมนุมประท้วงที่หน้าศาลอาญา แต่ยังมีบุคคลอีกกลุ่มได้เข้าชื่อ 398 รายชื่อ ออกจดหมายเปิดผนึกถึงประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยอ้างว่า รับไม่ได้ที่ศาลพิพากษาจำคุกนายสมยศ 10 ปี เพราะรุนแรงเกินไป พร้อมชี้ว่า นายสมยศและนักโทษการเมืองทุกคนต้องได้รับการประกันตัวระหว่างสู้คดีแบบไม่เลือกปฏิบัติ และว่าการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม พึงได้รับการคุ้มครอง ต้องไม่ใช้ตัวบทกฎหมายมาจัดการคุมขังผู้คนที่เห็นต่างจากตน และการกระทำผิดข้อหาดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ควรได้รับการตัดสินให้จำคุกและได้รับโทษเยี่ยงอาชญากร

ก่อนจะเชื่อตามกลุ่มเสื้อแดงและบุคคล 398 รายชื่อว่าศาลตัดสินจำคุกนายสมยศรุนแรงเกินไปหรือไม่ ลองไปย้อนดูเหตุผลของศาลที่พิพากษาจำคุกนายสมยศกันว่าสมควรแก่เหตุหรือไม่? เหตุที่ศาลพิพากษาจำคุก 10 ปี เนื่องจากนายสมยศเป็นบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จำหน่าย และเผยแพร่บทความที่ดูหมิ่น ใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ถึงสองครั้งสองคราในนิตยสาร 2 ฉบับ โดยผู้เขียนบทความดังกล่าวใช้นามปากกาว่า “จิตร พลจันทร์” บทความฉบับแรก เรื่อง แผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น โดยเนื้อหาบทความสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ออกคำสั่งให้สังหารประชาชนจำนวนมากในเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 และทรงเป็นผู้วางแผนตระเตรียมสถานการณ์เพื่อสังหารประชาชนจำนวนมากอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงภายหลังวันพิพากษายึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่มีมูลความจริง

ส่วนบทความอีกชิ้น เรื่อง 6 ตุลาแห่ง พ.ศ. 2553 โดยเนื้อหาสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพฤติการณ์ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งและเกิดการนองเลือดขึ้นในประเทศไทยหลายครั้ง และทรงมีพฤติการณ์ในการควบคุมบงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลของประเทศไทยหลายชุด และยังทรงเป็นผู้วางแผนในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีมูลความจริงเช่นกัน

ทั้งนี้ แม้นายสมยศจะอ้างว่าตนเป็นแค่บรรณาธิการ ไม่ใช่คนเขียน แต่คนเขียนคือ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมอ้างว่าตนอ่านแล้วเห็นว่าเป็นการกล่าวถึงอำมาตย์เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์ แต่ศาลเห็นว่าบทความทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวแม้ไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคล แต่สามารถระบุได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าทรงมีอำนาจเหนือรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือน และเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความรุนแรง

นอกจากนี้ ศาลยังเห็นว่า นายสมยศจบการศึกษาระดับปริญญาตรีรัฐศาสตร์ เคยทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน และเป็นถึงบรรณาธิการบริหาร รวมทั้งสื่อมวลชน ย่อมต้องวิเคราะห์เนื้อหาก่อนที่จะเผยแพร่ การที่นายสมยศนำบทความไปตีพิมพ์เผยแพร่ จึงมีเจตนาหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 และเมื่อมีการจัดพิมพ์บทความในนิตยสารดังกล่าวถึง 2 ฉบับ จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงพิพากษาลงโทษจำคุก 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวม 10 ปี และบวกโทษอีก 1 ปีในคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ที่ศาลพิพากษาแล้ว รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 11 ปี

ฟังเหตุผลของศาลไปแล้ว ลองมาฟังมุมมองของนักวิชาการกันบ้างว่า การจำคุกนายสมยศ 10 ปี ฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ สมควรแก่เหตุแล้วหรือไม่?

ผศ.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ชี้ว่า การชุมนุมประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงที่ด่าทอคำพิพากษาของศาลที่หน้าศาลอาญา น่าจะเข้าข่ายละเมิดศาล เพราะพาดพิงการทำหน้าที่ของศาลโดยตรง พร้อมยืนยันว่า โทษจำคุกนายสมยศ 10 ปี ไม่ถือว่ามาก เพราะศาลพิพากษาจำคุกแค่กระทงละ 5 ปี ทั้งที่โทษสูงสุดคือกระทงละ 15 ปี และว่า หากกลุ่มเสื้อแดงไม่อยากให้จำคุกนายสมยศ ก็ต้องเสนอยกเลิกกฎหมาย มาตรา 112 ที่มีความพยายามผลักดันกันเป็นกระบวนการอยู่ตอนนี้

“กฎหมายเขามีอยู่ ถ้าจะไม่ให้ดำเนินการอย่างนี้ ไม่ให้เอาผิดโทษดูหมิ่นทั้งหลาย ก็ต้องเอากฎหมายใหม่มาใช้ เพื่อยกเลิกกฎหมายที่มีอยู่ ก็อย่างที่เขาเคยคิดจะแก้มาตรา 112 เนี่ย เหมือนที่เขากำลังดำเนินการอยู่เป็นกระบวนการตรงนี้ ตั้งแต่นิรโทษกรรม แก้กฎหมาย จริงๆ คณะนิติราษฎร์เขาก็เสนอมาก่อนแล้วเรื่องนี้ ม.112 ด้วย ผมเข้าใจว่าเขาต้องการกระทุ้งให้รุนแรงขึ้น ก็ต้องดูว่ากระสุนจะด้านหรือเปล่า จะกระทุ้งให้มันดังขึ้นได้มั้ย ซึ่งผมดูแล้วก็ลำบาก เพราะเหมือนกับฉายหนังซ้ำอ่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแปลกใหม่ และสังคมก็อธิบายไปแล้ว คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจแล้ว มีเฉพาะคนกลุ่มนี้ที่ยังไม่เข้าใจ ซึ่งเขาก็พยายามจะไม่เข้าใจล่ะ เพราะเป็นเรื่องการต่อสู้”

ด้าน อ.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ยืนยันเช่นกันว่า ที่ศาลพิพากษาจำคุกนายสมยศ 10 ปีนั้น ถือว่าศาลเมตตาแล้ว เพราะต้องไม่ลืมว่าความผิดของนายสมยศเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง อ.อนันต์ ยังแสดงความแปลกใจด้วยว่า คนที่ออกมาคัดค้านและวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาจำคุกนายสมยศนั้น ได้อ่านบทความทั้ง 2 บทความที่นายสมยศเผยแพร่ในนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ หรือไม่ เพราะบทความดังกล่าวไม่ใช่บทความที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบัน หรือวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ แต่เป็นบทความในลักษณะให้ร้ายและใส่ร้ายป้ายสีว่าบุคคลในสถาบันมีแผนที่จะสังหารประชาชนอย่างอำมหิต เพราะฉะนั้นใครที่จะวิพากษ์วิจารณ์การจำคุกนายสมยศ ขอให้ไปหาบทความดังกล่าวอ่านก่อน

เมื่อถามว่า เชื่อหรือไม่ว่า นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นเจ้าของนามปากกา “จิตร พลจันทร์” ซึ่งเป็นคนเขียนบทความทั้ง 2 บทความดังกล่าวตามที่นายสมยศให้การต่อศาล อ.อนันต์ บอกว่า เชื่อ เพราะเคยอ่านบทความทั้ง 2 บทความ และข้อเขียนหลายๆ ชิ้นของนายจักรภพมาแล้ว สามารถวิเคราะห์จากตัวภาษาได้

“จริงๆ แล้วผมมีเหตุอะไรบางประการทำให้ได้อ่านก่อนหน้านี้ตั้งนานเป็นปีแล้ว เพราะฉะนั้นผมได้เห็นเนื้อในของตัวบทความนี้เป็นอย่างดี และก่อนที่ในชั้นของการสอบสวนในศาล และคุณสมยศจะเปิดปากออกมาว่าเจ้าของนามปากกา จิตร พลจันทร์ คือจักรภพ เพ็ญแข ผมเองก็ได้ตั้งข้อสังเกตมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ชื่อจักรภพ เพ็ญแข นั้นปรากฏอยู่เป็นคณะบรรณาธิการของนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ และคณะบรรณาธิการมักจะมีบทความของตัวเองลง บุคคลอื่นที่เป็นคณะบรรณาธิการก็เช่นกันมักจะมีข้อเขียนลง แต่ปรากฏว่าไม่มีข้อเขียนใดๆ ในนามของจักรภพ เพ็ญแข ลงเลย มีแต่ข้อเขียนในนาม จิตร พลจันทร์”

“และเมื่ออ่านข้อเขียนของจักรภพ เพ็ญแข ในระยะหลังๆ นี้มากขึ้นๆ ผมก็วิเคราะห์จากตัวภาษา และจับข้อพิรุธอย่างที่เรียน คือ ผมวิเคราะห์มาก่อนหน้านี้แล้วว่า จิตร พลจันทร์ ก็คือจักรภพ เพ็ญแข ซึ่งไปอาศัยชื่อ จิตร ภูมิศักดิ์ มารวมกับนามสกุล อัศนี พลจันทร์ มาเป็น จิตร พลจันทร์ ซึ่งทั้ง 2 คนก็เกี่ยวข้องกับ เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และสอดคล้องกับทั้งข้อเขียนและคำบรรยายของจักรภพ เพ็ญแข ที่บอกว่า จะทำพันธกิจที่คุณปรีดี พนมยงค์ ทำไม่สำเร็จ ให้สำเร็จ แต่ข้อเขียนของจิตร พลจันทร์เนี่ย เป็นข้อเขียนที่ไม่ใช่เพียงแค่ 2 บทความนี้ บทความอื่นๆ ก็เช่นกัน เป็นบทความในลักษณะที่ใส่ร้ายบุคคลในลักษณะยุยงให้ผู้คนรังเกียจ เกลียดชัง เคียดแค้นด้วย”


ส่วนกรณีที่นายสมยศสู้คดีในศาลว่า ตนไม่ใช่คนเขียนบทความทั้ง 2 บทความดังกล่าว จึงไม่ควรมีความผิดตามมาตรา 112 นั้น อ.อนันต์ ชี้ว่า นายสมยศเป็นบรรณาธิการ ต้องได้อ่านบทความนั้น และต้องรู้ว่าข้อเขียนดังกล่าวใส่ร้ายในหลวง แต่ยังยอมให้ลงพิมพ์ในนิตยสารดังกล่าว จึงถือว่ามีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดกับนายจักรภพ

“คุณสมยศเป็นบรรณาธิการ ย่อมรู้ผลกระทบของตัวบทความนี้ และต้องเห็น บ.ก.จะต้องรับผิดชอบในข้อเขียน และจะต้องอ่านข้อเขียนนั้นแล้ว และเมื่ออ่านก็ต้องรู้ว่าข้อเขียนนี้ใส่ร้ายในหลวง และยังยอมให้ลงพิมพ์อีก เท่ากับสมรู้ร่วมคิด คือผมไม่ได้ตีความในฐานะนักกฎหมาย ในฐานะประชาชนทั่วไป ซึ่งก็เป็นคนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย และเปิดกฎหมายศึกษาบ้าง ผมมองว่านี่คือการสมรู้ร่วมคิด เพราะฉะนั้นโทษที่ได้รับก็สมควรแล้ว ผมได้เห็นในข่าวว่า คนที่เรียกร้องให้ Free Somyot ให้ปล่อยคุณสมยศ เพราะเห็นว่านี่เป็นคดีทางการเมือง ผมคิดว่านี่ไม่ใช่คดีทางการเมือง และนี่ไม่ใช่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในฐานะของ บ.ก. หรือสื่อ แต่ต้องเป็นความรับผิดชอบในฐานะของประชาชนผู้ต้องปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน ในเมื่อเราปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข”

เมื่อถามว่า นายสมยศอ้างต่อศาลว่า อ่านบทความแล้วเห็นว่าเป็นการกล่าวถึงอำมาตย์ ไม่ใช่พระมหากษัตริย์ ฟังได้หรือไม่ อ.อนันต์ยืนยันว่า ตีความอย่างที่นายสมยศอ้างไม่ได้ เพราะอำมาตย์เป็นสถาบัน แต่ในบทความดังกล่าวเจาะจงลงไปถึงบุคคล และชัดมากว่าบุคคลนั้นคือใคร เพราะมีการใช้คำขยายบุคคลว่า “ซึ่งพักอยู่ที่ตึกสูงของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง”

อ.อนันต์ยังทิ้งท้ายด้วยว่า ตนเชื่อว่าขบวนการที่ต้องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์มีอยู่และดำรงอยู่จริง ดังนั้นจะปล่อยให้บทความที่ใส่ร้ายแบบนี้เผยแพร่ไม่ได้ หากเผยแพร่ออกไป ก็เท่ากับทำให้เกิดลัทธิที่ต้องการทำลายสถาบัน โดยเฉพาะบทความทั้ง 2 บทความของนายจักรภพ ต้องเรียกว่าใส่ร้ายและทำให้ผู้คนจงเกลียดจงชังในหลวงโดยเจตนา ศาลจึงเห็นว่าคำแก้ตัวของนายสมยศฟังไม่ขึ้น และพิพากษาจำคุกในที่สุด!!
นายจักรภพ เพ็ญแข ที่นายสมยศ บอกว่า เป็นคนเขียนบทความทั้ง 2 บทความที่หมิ่นสถาบัน ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างหลบหนีคดีหมิ่นสถาบันเช่นกัน
คนเสื้อแดงเชียงราย เรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศ(23 ม.ค.)
มีการฉวยจังหวะชูป้ายผ้าให้ปล่อยนายสมยศกลางงานฟุตบอลประเพณีธรรมศาสตร์-จุฬาฯ(3 ก.พ.)
เสื้อแดงมาชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลังไปยื่นหนังสือจี้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาลาออก(4 ก.พ.)
เสื้อแดงชูป้ายตำหนิศาล คดีสมยศ
พวกล้มเจ้าเหิมเกริม บิดเบือนขู่ศาลกระทบชิ่งสถาบัน!!
พวกล้มเจ้าเหิมเกริม บิดเบือนขู่ศาลกระทบชิ่งสถาบัน!!
บุคคลที่ต้องการให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยอ้างเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะมาตราดังกล่าวมีขึ้นเพื่อเป็นเกราะป้องกันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของชาติอันเป็นที่เคารพเทิดทูนของคนไทย ความหมายตรงๆก็คือการแก้ไขมาตราดังกล่าวก็มีเจตนาเพื่อหวังวิจารณ์สถาบันฯ เพราะหากจะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองก็ทำได้เต็มที่ แต่เป้าหมายของคนพวกนี้มีเจตนาสร้างกระแสบิดเบือนเพื่อหวังทำร้ายสถาบันเท่านั้น และที่สำคัญพฤติกรรมเหิมเกริมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งก็เป็นเพราะอยู่ในเครือข่าย ทักษิณ ที่กลไกรัฐบางส่วน “ขยิบตา” ให้ท้าย
กำลังโหลดความคิดเห็น