“พนิช” บอกแปลกใจ “ราตรี” ซัด ปชป.ไม่ช่วย ชี้เหตุเพราะ “ราตรี-วีระ” โดนข้อหาหนักกว่า การตัดสินจึงต่างกัน อีกทั้งไม่ยอมเซ็นเลื่อนวันพิพากษาตามที่ทนายความของรัฐบาลเสนอ ยันไม่ได้หลอกให้ไปถูกจับ เพราะคนที่ได้กลับมาส่วนใหญ่ก็เป็นคนของสันติอโศกเอง พร้อมระบุถ้ามีโอกาสอยากเชิญไปพูดคุยกับ “อภิสิทธิ์” เพื่อเคลียร์เรื่องเข้าใจผิด
วานนี้ (12 ก.พ.) นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหนึ่งในผู้ที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว ได้โฟนอินเข้ามาในรายการฟ้าวันใหม่กับอภิสิทธิ์ ออกอากาศทางสถานีบลูสกายชาแนล โดยให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ต่อว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ช่วยเหลือว่า ตนก็แปลกใจ ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าทำไม น.ส.ราตรีให้สัมภาษณ์ลักษณะนี้ เพราะกลุ่มของ 5 คนที่ได้รับการปล่อยตัวกลับมา กับนายวีระ และ น.ส.ราตรี คดีแตกต่างกัน เราโดนข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และเข้าไปในพื้นที่ทหาร ส่วนนายวีระ และ น.ส.ราตรี มีข้อกล่าวหารุนแรงมากกว่า คือมีการจารกรรมข้อมูล แม้ตนเชื่อว่าไม่จริงแต่เขามีหลักฐานก็ว่าไปตามหลักฐาน ดังนั้นการตัดสินคดีจึงแตกต่างกันไป อีกทั้งในกลุ่ม 5 คนที่ได้กลับมาก็มีคนของสันติอโศกเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ
ที่สำคัญแนวทางการสู้คดีแตกต่างกัน กลุ่ม 5 คน มีการเซ็นหนังสือเลื่อนฟังคำตัดสินให้เร็วขึ้นวันที่ 1 ก.พ.มาเป็นวันที่ 21 ม.ค. ตรงนี้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นการเซ็นยอมรับผิด ซึ่ง น.ส.ราตรีก็มีโอกาสเซ็น แต่นายวีระไม่มีโอกาสเพราะไม่ได้รับการประกันตัวออกมา แต่ น.ส.ราตรีเลือกที่จะสู้ ไม่เซ็น แต่วันที่เซ็นเลื่อนวันพิพากษาเราก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะได้กลับหรือเปล่า เราก็ขึ้นศาลปกติ ศาลตัดสินให้จำคุก 9 เดือน แต่ให้รอลงอาญา จึงได้กลับมา ไม่ใช่ไปยอมรับผิด
นายพนิชกล่าวต่อว่า ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันกับ น.ส.ราตรี เราก็มองว่ารัฐบาลทำทุกอย่างเพื่อที่จะช่วย ไม่ว่าจะให้ทนายให้เข้ามาช่วย แต่ น.ส.ราตรีและนายวีระได้รับคำแนะนำจากกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ คือให้ขึ้นศาลวันที่ 1 ก.พ.
ตนได้ยินคำสัมภาษณ์ของ น.ส.ราตรีตอนถึงไทย ก็เห็นว่าไม่มีคุยถึงเรื่องรัฐบาลประชาธิปัตย์ ตนเข้าใจว่า น.ส.ราตรีคงเข้าใจดีว่าคนส่วนใหญ่ที่กลับมาก็เป็นคนของสันติอโศก ซึ่งเป็นคนของ น.ส.ราตรีเอง ฉะนั้นใครหลอกใครไป ใครหลอกใครกลับก่อนเป็นไปไม่ได้
ส.ส.ประชาธิปัตย์กล่าวอีกว่า ที่น่าแปลกใจ น.ส.ราตรีบอกว่าเหตุผลที่นายวีระไม่เซ็นเนื่องจากได้รับข้อมูลมาว่าเอกสารที่ให้เซ็นคือหนังสือยอมรับผิด และอ้างว่ากระทรวงการต่างประเทศ สถานทูต เป็นคนเอาเอกสารไปให้ ซึ่งตนยืนยันว่าของเราเป็นเอกสารขอเลื่อนวันพิพากษา ไม่ใช่ยอมรับผิด ซึ่งถ้าตอนนั้นนายวีระได้ข้อมูลที่ถูกต้อง อาจยอมเซ็นและได้รับการตัดสินแล้วกลับเข้าคุกต่อ หรือถูกให้รอลงอาญาก็ได้ แต่อันนี้ตนไม่สามารถยืนยันเอกสารดังกล่าวได้ เพราะตอนที่เซ็นนายวีระไม่ได้อยู่กับพวกเรา ซึ่งต้องไปถามคนที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวกับรัฐบาลในเวลาขณะนั้น เพราะเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศในการดำเนินการ
อีกอันที่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด คือที่ น.ส.ราตรีบอกว่าช่วงก่อนขึ้นศาล 1 ก.พ. เอกสารที่เตรียมไปสู้คดี กระทรวงการต่างประเทศไม่ยอมรับรองเอกสาร อันนี้ต้องทำความเข้าใจว่าทนายคนไทยสามารถยื่นผ่านกระทรวงการต่างประเทศได้ ส่วนจะเซ็นรับรองไม่รับรอง เป็นหลักการของกระทรวงการต่างประเทศ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลสมัยนั้น
เมื่อถามถึงกรณีนายตายแน่ มุ่งมาจน บอกว่าตอนเกิดเรื่อง นายศิริโชค โสภา เอาแผนที่หลักที่ 46-47 โดยบอกว่า 7 คนไทยรุกล้ำเขตแดนกัมพูชา นายพนิชกล่าวว่า วันนี้มีหลักหมุดที่ 46-47 อันนี้เรียกว่าเส้นปฏิบัติการณ์ ไม่ใช่หลักเขตแดน ถ้าลากเส้นตรงระหว่างหมุด 46-47 จุดที่ทางเราถูกถูกถ่ายรปูและใช้เป็นพิกัดในการที่กัมพูชาจะมาสู้คดีกับเราหรือกล่าวหาเราอาจจะข้ามเส้นไปฝั่งโน้นแล้ว แต่ต้องมองว่าจริงๆ แล้วทหารกัมพูชาจับเราก่อนหน้านั้นเยอะ แต่พาเราเข้าไปจนพ้นเส้นที่เขาขีดได้แล้วค่อยวัดพิกัดเรา แล้วฟ้องเรา
ตนไม่ได้บอกว่าหมุดนั้นถูกต้อง แผนที่ของนายตายแน่อาจเป็นพิกัดเก่า แต่มีการเคลื่อนหมุดเข้ามาในฝั่งไทย อันนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ที่ต้องทำการสำรวจ และหาจุดที่ถูกต้องตามที่ MOU 43 ระบุไว้ แต่วันนี้ยังไม่เสร็จ วันนี้มีเพียงเส้นปฏิบัติการณ์ แล้ววันนี้ตนก็ยังมั่นใจว่าตรงที่คนไทย 7 คน ถูกจับเป็นพื้นที่ของไทย
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องตั้งคำถามไป คือวันนั้นที่เราถูกจับไปที่ค่ายทหาร เจ้าหน้าที่ทหารของไทย เข้าไปหาแล้วทำไมเอาเรากลับไม่ได้ อันนี้ต้องแยกกันระหว่างนโยบายของรัฐบาลกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในพื้นที่
นานพนิชยังด้วยว่า วันที่ตนกลับมาได้มีโอกาสพาครอบครัวของนายวีระและน.ส.ราตรีไปพบกับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นนายกฯ ในขณะนั้น และพูดถึงแนวทางการช่วยเหลือ แต่หลังจากที่ น.ส.ราตรีออกมายังไม่ได้ไปพบกับนายอภิสิทธิ์ ซึ่งตนก็ยินดี ถ้ามีโอกาสก็จะบอก น.ส.ราตรีว่าน่าจะไปคุยกัน
