หน.ปชป.แปลกใจ “ธาริต” เปิดดีเอสไอวันอาทิตย์ ฟอกผิด “พงศพัศ” ไม่เหมาะสม เหตุมีหลักฐานชัดการันตีประมูลอิเล็กทรอนิกส์โรงพัก ชี้จงใจปกป้องคนของรัฐบาลแต่เล่นงาน ปชป. ไม่ต่างจากคดีบีทีเอส วอนดีเอสไอทำงานตรงไปตรงมา อีกด้านพร้อมร่วมมือหากเชิญหารือนิรโทษกรรม เผยจุดยืนชัดจำกัดเฉพาะคนที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้น กังขา “เจริญ” ทำในนามของใคร เพราะ “สมศักดิ์” ยันไม่เคยมอบหมาย
วันนี้ (11 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เปิดกรมสอบสวนคดีพิเศษวันอาทิตย์ ยืนยันความบริสุทธ์ให้กับ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย กรณีมีความเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศ 396 หลัง โดยแถลงคู่กับ พล.ต.อ.พงศพัศ ว่าเป็นการไม่เหมาะสม เพราะมีเอกสารยืนยันถึงความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ของ พล.ต.อ.พงศพัศด้วย แต่นายธาริตกลับเปิดสถานที่ราชการในวันหยุดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ออกมาแถลงแล้วรับรองให้ด้วยว่าไม่ทำผิดเป็นเรื่องผิดปกติ และเชื่อว่าประชาชน กทม.คงเห็นว่าแนวทางการทำงานการเมืองเป็นอย่างไร
ทั้งนี้ ตนไม่เข้าใจระบบการทำงานเป็นอย่างไร เพราะนายธาริตมีหน้าที่สืบสวนสอบสวนให้ครบถ้วนกระบวนความ และตนจำได้ว่านายธาริตตั้งประเด็นเอาไว้ว่า ถ้ามีความผิดก็เริ่มจากการที่จ้างให้ก่อสร้างรายเดียวทั่วประเทศ ซึ่งในวันนี้มีเอกสารชัดเจนว่า พล.ต.อ.พงศพัศเป็นผู้เสนอให้เห็นชอบแนวทางนี้ หากเป็นความผิดจริงก็นึกไม่ออกว่าทำไมนายธาริตจึงสามารถพูดได้ทันทีว่า พล.ต.อ.พงศพัศไม่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ยืนยันด้วยว่านโยบายให้มีการก่อสร้างโรงพักทั่วประเทศไม่ได้มีปัญหา โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ก็ยอมรับในสภาว่าเป็นนโยบายที่ดีซึ่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอมา จึงต้องกลับไปย้อนดูว่าใครเป็นผู้เสนอ ซึ่งมีเอกสารบ่งบอกว่า พล.ต.อ.พงศพัศเป็นผู้เสนอขึ้นมา ในส่วนของรัฐบาลที่แล้วเป็นคนจัดหางบประมาณให้โครงการดำเนินการได้ ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างและรูปแบบวิธีการก็ว่าไปตามอำนาจหน้าที่
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายธาริตพูดล่วงหน้าว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้แต่เป็นผู้มารับมรดกบาป นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากนายธาริตสรุปเช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผลมาชี้แจง เพราะก่อนหน้านี้มีการกล่าวหาว่ามีการฮั้วประมูล แต่สุดท้ายก็มีข้อพิสูจน์ว่ามีการเสนอประกวดราคาเข้ามาอย่างถูกต้อง โดยราชการก็ต้องเลือกรายที่เสนอราคาต่ำสุด ส่วนการบริหารสัญญาที่ทำให้การก่อสร้างมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ หากมีปัญหาจริงคนที่ทำนโยบายเรื่องนี้มาปีครึ่งจะไม่รับผิดชอบได้อย่างไร แต่ปัญหาในขณะนี้คือ ดีเอสไอไม่มีหลักฐาน เพราะนายธาริตเอาตัวบุคคลเป็นหลัก ไม่ได้เอาเนื้อหาข้อเท็จจริงเป็นหลัก เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาที่จะปกป้องอีกฝ่ายหนึ่งและจะเป็นเรื่องที่ทำให้นายธาริตเดือดร้อนมากขึ้น เพราะในทางกฎหมายจะเป็นปัญหา เนื่องจากการกล่าวหาคนคนหนึ่ง เมื่อมีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องก็กลับตัดตอนออกไปเหมือนมีการเลือกปฏิบัติ
ส่วนที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก สตช.ออกมาระบุว่าการขยายสัญญาสามารถทำได้ หากมีการส่งพื้นที่ล่าช้านั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นี่คือข้อเท็จจริงที่ดีเอสไอควรไปสืบสวนสอบสวน ไม่ใช่เอาธงทางการเมืองเป็นตัวตั้ง การที่ ร.ต.อ.เฉลิมเคยบอกว่าถ้าผิดเพราะไปอนุมัติรายเดียววันนี้จะตอบอย่างไรว่า พล.ต.อ.พงศพัศก็เห็นชอบกับการประมูลระบบอิเล็กทรอนิกส์ด้วย และหากการส่งพื้นที่ล่าช้าเป็นความผิดของทางราชการ ย่อมมีเหตุผลให้ฝ่ายที่รับงานขอขยายเวลาออกไป เพราะไม่สามารถส่งพื้นที่ตามสัญญาได้ และจะส่งผลไปถึงเรื่องค่าปรับด้วยว่าจะเรียกค่าชดเชยจากบริษัทผู้ประมูลได้หรือไม่ เพราะจะเกิดข้อโต้แย้งว่าเป็นความผิดของฝ่ายใด จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหา เพราะเป็นนโยบายที่รัฐบาลชุดที่แล้วดำเนินการและจัดสรรงบประมาณให้ด้วยความตั้งใจที่ดีต่อข้าราชการตำรวจและประชาชน แต่กลับเอามาเป็นประเด็นการเมืองกล่าวหาโดยไม่ดูข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน ขณะนี้ข้อเท็จจริงเริ่มปรากฏออกมาก็ขอให้ไปแก้ไขให้ถูกต้อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากมีการยกเลิกสัญญาแล้ว ไม่สามารถเรียกค่าชดเชยได้ เพราะบริหารผิดพลาดจะเป็นการเสียค่าโง่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าจะเกิดความเสียหายต่อรัฐ ซึ่งต้องไปไล่ดูบนพื้นฐานข้อเท็จจริง โดยนายธาริตต้องไปพิจารณาว่าสัญญาผิดจริงหรือไม่ และการบริหารสัญญาที่นำมาสู่ความเสียหายในปัจจุบันเป็นอย่างไร ซึ่งหากสัญญาผิดก็ต้องไล่ดูว่าใครเป็นผู้เสนอขึ้นมาอย่างไรด้วย เพราะ พล.ต.อ.พงศพัศก็ยืนยันในหนังสือที่เสนอต่อ ผบ.ตร.ว่า การประกวดราคาทั้งหมดตามระบบอิเล็กทรอนิกส์มีความถูกต้องแล้ว เหตุใดนายธาริตจึงเห็นว่ามีความผิด
ต่อข้อถามที่ว่านายธาริตจะอ้างว่าไม่เคยเห็นเอกสารที่ พล.ต.อ.พงศพัศเป็นผู้เสนอรับรองการประกวดราคาตามระบบอิเล็กทรอนิกส์ว่ามีความถูกต้องได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แสดงว่าการสืบสวนสอบสวนไม่ได้มาตรฐาน ส่วนจะเชื่อถือการสอบสวนของดีเอสไอได้หรือไม่นั้น ตนก็โดนมาแล้ว 1 คดี ความจริงสองคดีด้วยซ้ำ เพราะถูกแจ้งข้อหามาสองคดีแล้วซึ่งตนเห็นว่าการสืบสวนสอบสวนไม่ได้ให้ความเป็นธรรม และการที่ดีเอสไอจะเชิญตนและนายสุเทพไปให้ปากคำในลำดับท้ายๆ ก่อนที่จะสรุปสำนวนภายใน 30 วันนั้น หากข้อมูลครบตนไม่ว่าอะไร แต่ถ้าเชิญไปและเราเอาเอกสารที่ปรากฏออกมาไปให้ดูหมดแล้วไม่เชิญอีกหลายคนที่เกี่ยวข้องไป นายธาริตก็ต้องถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่แน่นอน เพราะตนก็ถูกเรียกสอบปากคำหลายครั้งไม่รู้กี่คดี ส่วนพรรคจะดำเนินคดีกับนายธาริตอย่างไรนั้น มีทีมกฎหมายพิจารณาและติดตามเรื่องนี้อยู่
เมื่อถามว่า หากเปรียบเทียบการกระทำของดีเอสไอในคดีนี้กับการแจ้งข้อกล่าวหา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ เรื่องบีทีเอสเป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีการเลือกปฏิบัติชัดเจน คือปฏิบัติกับพวกตนอย่างหนึ่ง แต่ปฏิบัติกับอีกฝ่ายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตนขอย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรงเพราะมีกฎหมายควบคุมและกำกับการทำงานของดีเอสไออยู่ หากเป็นเจ้าพนักงานในกระบวนยุติธรรมแล้วฝ่าฝืนกฎหมายหรือเลือกปฏิบัติ หรือกลั่นแกล้งก็ต้องมีความผิดทางอาญา แต่ตนก็เห็นใจบางคนในดีเอสไอที่มีความอึดอัด ซึ่งคนเหล่านี้ก็ต้องตัดสินใจเหมือนกันว่าจะรักษากฎหมายหรือโอนอ่อนผ่อนตามใบสั่ง ตนไม่อยากให้องค์กรดีเอสไอได้รับความเสียหายจากพฤติกรรมของนายธาริต จึงต้องยึดความเที่ยงตรงเพื่อให้องค์กรได้รับความน่าเชื่อถือต่อไป ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เตรียมที่จะฟ้องยุบพรรคประชาธิปัตย์โดยกล่าวหาว่านายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ใส่ร้ายพล.ต.อ.พงศพัศนั้น ก็ต้องระวังว่าจะโดนข้อหาใส่ร้ายเสียเองเพราะเป็นโฆษกพรรคด้วย
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยย้ำว่าพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร หากมีการเชิญให้ไปหารือเกี่ยวกับแนวทางนิรโทษกรรม แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานจากนายเจริญแต่อย่างใด โดยพรรคมีจุดยืนชัดเจนไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่ต้นว่า การนิรโทษกรรมต้องจำกัดขอบเขตเฉพาะคนที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินเท่านั้น จึงพร้อมที่จะแจ้งถึงความเห็นของพรรคเพราะพวกตนไม่เคยไม่ร่วมมือกับใครอยู่แล้ว หากเป็นประโยชน์ของบ้านเมือง แต่ขณะนี้ตนก็ยังงงว่านายเจริญดำเนินการในนามของใคร เพราะนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ก็ออกมาระบุว่า ไม่เคยมอบหมายทั้งอย่างเป็นทางการและด้วยวาจาให้นายเจริญดำเนินการเรื่องนี้แต่เป็นการทำในฐานะส่วนตัว ดังนั้น หากนายเจริญต้องการให้เกิดบรรยากาศปรองดองสิ่งแรกที่ควรทำคือ คุยกับผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง 4 ฉบับที่ค้างในสภาให้ถอนออกไปก่อน เพราะไม่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายอย่างแน่นอน หากจะคุยอะไรใหม่ก็ควรแสดงความบริสุทธิ์ใจในส่วนนี้ก่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมานายสมศักดิ์ปฏิเสธที่จะเป็นผู้ประสานงานในเรื่องนี้โดยอ้างว่าไม่มีบารมีมากพอแล้วนายเจริญจะมีบารมีพอที่จะทำเรื่องนี้หรือ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า นายเจริญอาจจะมีบารมีเยอะกว่าก็ได้ ตนไม่ทราบ