ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่าเปิดเกมถล่มเข้ามาพร้อมกันทุกทิศทางจนตั้งรับมือไม้เป็นพัลวันก็ว่าได้สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ หลังจากโดนฝ่ายรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตร ใช้กลไกรัฐไล่บี้เอาหลายคดีติดๆกัน แต่ละเรื่องแต่ละอย่างหากยกเอาเรื่องการเมืองออกไปแล้ว มันก็มองเห็นว่า “หนักหนาเอาการ” เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี อะไรไม่สำคัญเท่ากับการเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะเจาะพอดีในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครพอดี และยังเป็นการ “ปล่อยของ” ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเข้าโค้งที่ 3 ก่อนโค้งสุดท้าย ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรออกมาให้ติดตามได้อีก หรือว่าจะประคองเกมไปจนจบก็ไม่อาจรู้ได้
หากมาไล่เรียงกันก็จะสังเกตได้ว่าเริ่มปะทุขึ้นมาเป็นประเด็นก็คือ การสมคบกับเขมรฮุน เซน ปล่อยตัว ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ กลับมาหลังจากถูกลักพาตัวไปขังคุกนานกว่า 2 ปี แม้ว่าจะยังจับตัว วีระ สมความคิด ไว้เป็นตัวประกันอยู่ที่พนมเปญก็ตาม แม้ว่ายังมองไม่ออกว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยจะได้แต้มหรือเปล่า แต่ก็เป็นเรื่องบังคับที่จะต้องรู้ล่วงหน้าว่าเมื่อ ราตรี กลับมาก็ต้องให้สัมภาษณ์พูดความจริง นั่นคือตอกย้ำให้เห็นว่าคนที่ผลักใสไล่ส่งให้ไปติดคุกเขมรก็คือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯและมี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงนั่นแหละ
นั่นคือดอกที่หนึ่ง ที่ทั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ ฮุน เซน จงใจปล่อยออกมาก่อน ถัดมาก็เจออีกชุดใหญ่นั่นคือคดีทุจริตโครงการก่อสร้างโรงพักและแฟลตตำรวจทั่วประเทศมูลค่าโครงการรวมกันไม่ต่ำกว่า 8 พันล้านบาท ซึ่งเวลานี้กำลังประจานให้เห็นถึงความห่วยแตก ความเดือดร้อนของตำรวจที่ไม่มีโรงพักเป็นที่ทำงาน เป็นสถานที่รับแจ้งเหตุอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน แทบทุกจังหวัดมีซากการก่อสร้างที่ผู้รับเหมาทิ้งงานเหลือแต่เสาโด่เด่อยู่ไม่กี่ต้น
แน่นอนว่าในเชิงการเมืองรับรู้กันดีว่านี่คือ “เกม” ที่ต้องการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามนั่นคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงที่คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหลัก อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันแบบกลางๆไม่มองเป็นอย่างอื่นเมื่อได้เห็นสภาพที่ปรากฏตามข่าวที่รายงานที่เป็นภาพถ่ายมันก็ย่อมเกิด “อารมณ์ร่วม” และต้องหันหน้าไปมองทั้งคู่ด้วยสายตาที่ต้องสงสัยแน่นอน
สำหรับคดีทุจริตสร้างโรงพักและแฟลตตำรวจดังกล่าวอยู่ในความดูแลของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ และได้รับความร่วมมืออย่างแข็งขันจาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และที่สำคัญอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีเสียด้วย
ถัดมาก็เป็นกรณีที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สั่งอายัดทรัพย์ “บ่อนเตาปูน” ทั้งอาคารและที่ดินรวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ห้ามทุกคนเข้าออกหรือใช้สถานที่ดังกล่าว มองเผินๆอาจไม่เกี่ยว แต่ถ้าพิจารณากันให้ลึกลงไปก็จะได้เห็นภาพต่อเนื่องนั่นคือต้องถามก่อนว่าบ่อนดังกล่าวเป็นของ “ใคร” และปัจจุบันมีลูกชายเป็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์
อีกด้านหนึ่ง หากพิจารณากันถึงแรงกระเพื่อมก็ต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ฐานเสียงของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจากพรรคประชาธิปัตย์แน่นปึ้กในเขตกรุงเทพฯชั้นใน และบังเอิญว่าบ่อนเตาปูนนั้นอยู่ในเขตชั้นใน ทั้งบางซื่อ เตาปูน ดุสิต และยังต่อเนื่องมาจนถึงเขตพระนครเสียด้วย และที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ก็มี ส.ส.ที่ชื่อ ชื่นชอบ คงอุดม เข้ามาด้วย
อย่างไรก็ดี ในบางแง่มุมอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันนัก แต่อย่างน้อยถ้านำไปปะติดปะต่อมันก็อาจทำให้มีผลกระทบในเรื่องภาพลักษณ์ไปบ้างเหมือนกัน
แม้ว่าทุกคดีที่กำลังดำเนินการอยู่นั้นจะต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ ตอนนี้ยังเป็นแค่เริ่มต้น เป็นแค่การออกหมายเรียก การอายัดทรัพย์เท่านั้น ยังไม่ถึงที่สุด แต่ประเด็นก็คือเป็นการ “จงใจ” ให้มีผลทางการเมือง ส่งผลต่อการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่ทั้งสองพรรคกำลังขับเคี่ยวกันอย่างหนัก และกำลังอยู่ในช่วงสำคัญก่อนถึงโค้งสุดท้าย
แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ นาทีนี้กำลังถูกฝ่ายรัฐบาลใช้อำนาจรัฐไล่บี้อย่างหนัก อย่างน้อยก็ทำลายความชอบธรรม อีกทั้งนอกจากจะเป็นการทำลายภาพลักษณ์แล้ว อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับการ “บล็อก” หัวหน้าทีมอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ให้ขยับไปไหนได้สะดวก เนื่องจากมือไม้พัลวันกับการชี้แจง เตรียมหลักฐานเอาไว้แก้ต่าง ดังนั้นไม่ว่ามองในมุมไหนก็ต้องบอกว่านี่คือแผนโหดของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ที่ใช้ลูกน้องไล่ล่าขยี้จนอ่วม!!