ผ่าประเด็นร้อน
แม้นาทีนี้คนไทยทั้งประเทศยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะมีหนทางในการแก้ปัญหาในกรณีที่กัมพูชายื่นเรื่องให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมไปถึงพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเนื้อประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือกว่า 3 พันไร่ด้วยหรือไม่ เพราะยังไม่มีคำแถลงใดๆ ออกมาอย่างเป็นทางการ
มีแต่คำพูดด้วยปากเปล่าจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่กล่าวว่า เราต้องยอมรับคำสั่งของศาลโลก ไม่ว่าจะมีคำสั่งออกมาอย่างไรเราก็ต้องยอมรับ ไม่เช่นนั้นเราจะถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และล่าสุดยังเพิ่มเติมอีกว่า หากไม่ยอมรับก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดสงครามกับกัมพูชา ซึ่งไม่เป็นผลดี จะกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งเสี่ยงต่อการที่สหประชาชาติส่งทหารเข้ามาแทรกแซง ทำให้เสียหายมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ดี ยืนยันว่า “สู้เต็มที่” แต่ถ้าปะติดปะต่อระหว่างคำพูดจากก่อนหน้านี้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงท่าทีไปจากเดิมก็คือ “สู้เต็มที่ แต่จะเจ๊งกับเจ๊า” ความหมายก็คือจะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อสู้เต็มที่แล้วผลออกมาอย่างไรก็ต้องทำใจยอมรับ
อีกทั้งยังต้องการสื่อให้รับรู้กันว่านี่เป็นผลมาจากการกระทำของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ยุคที่นำโดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไปยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ต้นมีการตั้งทนายความชาวต่างชาติสู้คดีเรื่อยมา และเมื่อมาถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มี สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็สานต่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงยังใช้ทีมทนายความชุดเดิม
เพียงแต่ไม่ได้บอกตรงๆ ว่านี่คือ “แผนอุบาทว์” สบช่องใช้ศาลโลก “ยกแผ่นดิน” ให้กัมพูชาเพื่อให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารโดยมีพื้นที่โดยรอบจนสามารถบริหารจัดการได้ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทั้งทางบกและทางทะเลตามที่หลายฝ่ายสงสัยกันอยู่เท่านั้นเอง
ทำให้เหมือนกับศาลโลกเหมือนกับศาลยุติธรรมในประเทศในทำนองว่าเมื่อตัดสินออกมาอย่างไรก็ต้องทำใจยอมรับ
ทั้งที่ความหมายมันคนละเรื่อง แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อีกทั้งยังมีปัจจัยและองค์ประกอบที่ไม่เหมือนกัน ที่สำคัญก็คือศาลโลกไม่มีสิทธิ์มายุ่มย่ามเกี่ยวกับเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง หากไม่ได้รับการยอมรับจากประเทศคู่กรณี รวมไปถึงมีอำนาจเหนือกฎหมายภายในประเทศ
ดังนั้นในความเป็นจริงก็คือ กรณีการเสนอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 นั้นนอกจากรัฐบาลไทยจะต้องยื่นคัดค้านแล้ว ยังต้องประกาศสงวนสิทธิ์อย่างชัดเจนและเด็ดขาดว่าไทยจะไม่ยอมรับหากมีผลเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือดินแดน โดยต้องรีบประกาศท่าทีให้ชัดตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่รอรับชะตากรรม และมิหนำซ้ำยังพยายามบิดเบือนโดยใช้ศาลโลกปิดปากคนไทยผู้รักชาติให้ยอมรับคำตัดสิน ทั้งที่โดยความเป็นจริงศาลโลกไม่มีสิทธิ์มีอำนาจเหนือศาลไทย และรัฐบาลไทยก็มีสิทธิ์ปฏิเสธ หากไปกระทบกับดินแดน ทำให้มีความเสี่ยง
ขณะเดียวกันยังมีความพยายามบิดเบือนกล่าวหาว่าคนไทยที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านอำนาจศาลโลกว่าเป็น “พวกคลั่งชาติ” ทำให้กระทบกับความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองประเทศ รวมไปถึงการถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ทั้งที่ในความจริงแล้วอธิปไตยย่อมต้องมาก่อนเรื่องอื่น ซึ่งหากรัฐบาลไม่มี “วาระซ่อนเร้น” เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนก็ไม่มีทางลังเลสำหรับการประกาศท่าทีให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น
ข่าวคราวและความเคลื่อนไหวของคนในรัฐบาลที่ถูกชักใยชี้นำจากคนภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกระบุว่าเป็นคนกำหนดตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิหนำซ้ำตามกำหนดการในเดือนพฤษภาคมลูกสาวของ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีก็จะแต่งงานกับ ส.ส.ของกัมพูชา ซึ่งอาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่คนมีอำนาจระหว่างรัฐบาลจะ “เกี่ยวดองข้ามชาติ” ข้ามอาณาจักร นับตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมาก็ว่าได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ช่วยไม่ได้ที่ทำให้คนไทยไม่น้อยเกิดความระแวงว่าคนพวกนี้ “คิดไม่ซื่อ”
อย่างไรก็ดีในโลกยุคปัจจุบันก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่รู้ทัน และฉลาดกว่าพวกนักการเมือง “กระจอกๆ” ในรัฐบาลอีกหลายคน ไม่มีวันยอมรับกับแผนการอุบาทว์อย่างยอมจำนนเป็นอันขาด ไม่มีทางที่จะให้เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และที่สำคัญจะไม่มีวันยอมรับชะตากรรมอย่างที่รัฐบาลชุดนี้พยายาม “จัดฉาก” อย่างแน่นอน!!