“ประยุทธ์” แจงปัญหาชาวโรฮิงญาหลบหนีเข้าเมือง ชี้อยากให้มองทั้งด้านมนุษยธรรมและความมั่นคง หวั่นรับคนไว้มากเกิดปัญหา เผยกำลังตรวจสอบขบวนการลักลอบ หากพบทหารเอี่ยวต้องไล่ออกและดำเนินคดีอาญา เผยไม่เห็นด้วยตั้งศูนย์พักพิงเพิ่ม ชี้ไทยต้องยึดผลประโยชน์ชาติ หาทางออกที่ไม่เป็นปัญหาในอนาคต ส่วนกรณีเผากล้องซีซีทีวี 3 จว.ใต้ ชี้ทำเพื่อทำลายหลักฐาน เผยรัฐบาลกำลังรื้อระบบห้ต่อเนื่องกันอยู่ และดูแลเข้มงวด
วันนี้ (21 ม.ค.) ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการลักลอบเข้าประเทศไทยของชาวโรฮิงญาว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ที่ผ่านมาทุกลมมรสุมสงบลงในซีกฝั่งทะเลอันดามันก็จะมีการลักลอบเข้าเมืองมาโดยตลอด ทุกปีจะมีการลักลอบเข้าประมาณ 200-300 คน โดยเดินทางเข้ามาบริเวณชายฝั่งเพื่อลัดเลาะไปยังประเทศอื่น ซึ่งไทยไม่ได้เป็นประเทศปลายทาง แต่เมื่อเข้ามาแล้วทางไทยก็จะให้การดูแลเรื่องมนุษยธรรม เพราะตามหลักการกลุ่มบุคคลดังกล่าวอยู่ในสถานะผู้หลบหนีเข้าเมือง ไม่ใช่หลบหนีภัยจากการสู้รบ ซึ่งการดำเนินการทางกฎหมายไทยมีความชัดเจน หากกลุ่มชาวโรฮิงญาขึ้นฝั่งไทยแล้วจะต้องถูกดำเนินคดีก่อนที่จะส่งตัวกลับประเทศต้นทาง โดยมีการกำหนดชัดเจนตามนโยบายของรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า อยากให้มอง 2 ประเด็น คือ 1. ด้านมนุษยธรรม ที่จะต้องดูแลทุกอย่างตามความสมควร เนื่องจากกลุ่มคนดังกล่าวได้รับผลกระทบจากความยากจน และ 2. ไทยจะต้องดูแลด้านความมั่นคง หากรับคนไว้มากในระยะยาวจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้ และขณะนี้มีนโยบายที่จะนำคนที่อยู่ในศูนย์พักพิงจำนวน 9 แห่ง ไปยังประเทศที่สาม ซึ่งเราพยายามผลักดันเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว จากเดิมมีจำนวน 1.9 แสนคน แต่ขณะนี้เหลือ 1.3 แสนคน โดยที่เหลือยังไม่มีประเทศใดแสดงความจำนงในการรับไปดูแลต่อ หากจะจัดตั้งศูนย์ดูแลเพิ่มขึ้นมาอีก 1 แห่งจะเป็นภาระหรือไม่นั้นก็จะต้องมีการหารือร่วมกันระหว่างรัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคง ทั้งนี้เราจะต้องมองประเทศชาติของเราเป็นหลักแต่จะต้องไม่ทอดทิ้งเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการหารือร่วมกัน
“ถ้ามีการลักลอบเข้ามาบริเวณตามแนวชายแดนนั้นจะเป็นขบวนการ ขณะนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่ หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ไปเกี่ยวข้องต้องถูกดำเนินคดี โดยเฉพาะทหารที่จะต้องถูกไล่ออกและดำเนินคดีอาญา ซึ่งชาวโรฮิงญาที่ลักลอบเข้ามาส่วนใหญ่จะเข้ามาทางเรือและทางบก แต่สิ่งที่เรากังวลและได้นำเรียนรัฐบาลแล้ว ถ้าให้เขาอยู่นานเกินไปก็จะมีการลักลอบเข้ามาเพิ่มเติม เพราะปัญหาเกิดจากต้นทาง ไทยอยู่กลางทางไม่ใช่ประเทศปลายทาง หากมีการรับไว้มากๆ ชาวโรฮิงญาจากต้นทางก็จะมาที่ไทยมาขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราต้องดูว่าเราจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป ต้องหาคำตอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน และถ้าชาวโรฮิงญาอยู่ในประเทศไทยนานเหมือนกับที่ศูนย์พักพิงอื่นๆ โดยมีการลักลอบออกมาทำงานข้างนอกและเกิดความสัมพันธ์กับคนไทยจนมีลูกหลานหรือเผ่าพันธุ์ที่ไม่เหมือนคนไทย ดังนั้นก็จะมีความแปลกผสมกันดังนั้นเราจะต้องดูแลคนไทย เนื่องจากมีความยากจนอยู่แล้ว ทั้งนี้ ไม่ว่าใครจะดูแลชาวโรฮิงญาก็ตามแต่ก็ไม่รู้จะนำบุคคลเหล่านี้ไปไว้ไหนต่อไป ดังนั้นต้องหาทางให้เขากลับไปประเทศต้นให้ได้ ส่วนใครจะรับหรือไม่นั้นผมไม่รู้และไม่อยากพูดว่าต้นทางมาจากไหน เพียงแต่ต้องผลักดันกลับประเทศต้นทางหรือประเทศที่สาม แต่ไม่ใช่ประเทศไทย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกรณีที่มีบางฝ่ายออกแนวคิดจัดตั้งศูนย์พักพิงชาวโรฮิงญาเพิ่มขึ้นว่า หากจะตั้งก็ขึ้นอยู่กับมติที่ประชุมระหว่างรัฐบาลกับหน่วยงานด้านความมั่นคง แต่ตนมีความเห็นว่าจะต้องดูแลไปสักระยะก่อนที่จะมีการผลักดันไปประเทศต้นทางและประเทศที่ 3 แต่ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน ไม่ใช่ว่าไทยจะเป็นม้าอารี เราเป็นประเทศพุทธที่ดูแลทุกคน แต่หากอะไรที่เป็นปัญหาระยะยาวเราไม่สอนให้คนไทยรังเกียจ ดังนั้นอย่าไปรังเกียจเขา เขาเป็นคนที่น่าสงสาร แต่เราจะดูแลเขาอย่างไรทุกคนต้องช่วยกัน รัฐบาลและหน่วยงานด้านความมั่นคงก็ลำบากใจ แต่ประเทศไทยต้องยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก โดยเราจะต้องหาทางออกที่ไม่เป็นปัญหากับเราในอนาคต แต่ต้องให้เขายอมรับด้วย เดี๋ยวจะหาว่าเราไม่มีมนุษยธรรม อย่างไรก็ตาม ขอให้ใจเย็น เพราะเชื่อว่าเรื่องนี้สามารถแก้ไขได้
เมื่อถามว่า มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เข้าไปเกี่ยวข้องหาผลประโยชน์กับชาวโรฮิงญา พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีทุกองค์กร แต่ตนก็ไม่อยากกล่าวถึงองค์กรอื่นๆ แต่ในส่วนของทหารเมื่อไปทำงานกับเรื่องพวกนี้ จริงๆแล้วทหารไม่ได้ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เมื่อไปทำงานแล้วจึงเกิดความใกล้ชิดจนบางทีก็มีถูกชักจูง แต่ตนได้บอกแล้วว่าอย่าไปหลงประโยชน์ ถ้าถูกจับกุมและพิสูจน์ว่าเขาไปเกี่ยวข้องจริงก็จะเสียอนาคต พร้อมทั้งถูกดำเนินคดีอาญา แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่กอ.รมน.เข้าไปเกี่ยวข้องก็เชื่อว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค 4 เพราะรับผิดชอบในพื้นที่ ทำงานร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ และทหาร ทั้งนี้ตนต้องการให้สังคมแยกแยะถ้าทหารคนใดทำไม่ดีก็ขอให้พิจารณาเป็นรายบุคคล แต่ส่วนใหญ่ตนเชื่อว่าเป็นคนดี เพราะทหารมี 2.5 แสนนาย หากไม่ดี 2 คน จะมารวมทหารที่เหลืออยู่ว่าเลวทั้งหมดคงไม่ใช่ ทหารก็เหมือนประชาชนทั่วไปเมื่อทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ แต่เป็นทหารก็ถูกดำเนินการหนักกว่าคนทั่วไป
พล.อ.ประยุทธ์ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เผากล้องวงจรปิด (ซีซีทีวี) ว่า เห็นเผามาหลายครั้ง เผาเพื่อปกปิดทำลายหลักฐานในการตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี การติดตั้งกล้องวงจรปิดเหล่านี้เดิมทีมีหลายหน่วยที่เกี่ยวข้องในการติดตั้ง ทั้งนี้ก็มีมหาดไทย อบต. อบจ. เหล่านี้ก็ติดกระจายกันไปหมด ทำให้ไม่เป็นระบบ ซึ่งในจุดนี้ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และรัฐบาลเข้าใจดีในปัญหาและกำลังเร่งบูรณาการในจุดนี้อยู่ ตนจึงได้เสนอไปว่าควรจะทำให้เป็นระบบมากกว่านี้ โดยจะต้องมีการแบ่งพื้นที่ในการติดตั้งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เสี่ยงมาก เสียงกลาง เสี่ยงน้อยสุด จุดไหนเป็นพื้นที่เสี่ยงมากก็ติดเยอะหน่อย ดังนั้นไม่ใช่ แต่คิดจะติดอย่างเดียวจะต้องมีคนคอยเฝ้าด้วย ประกอบกับเจ้าหน้าที่ต้องมีความรู้ความสามารถพอในการใช้กล้อง วันนี้กำลังรื้อระบบนี้อยู่ ทำระบบให้มันต่อเนื่องกัน และต้องเข้มงวดให้มากขึ้นเพื่อดูแลกล้องเหล่านี้ อย่าไปพูดถึงเรื่องทุจริต พูดไปก็เท่านั้น พูดไปคนเหล่านั้นก็ไม่เลิกทุจริตอยู่ดี ไปหาคนทุจริตมาแล้วลงโทษ อย่าไปเอาคนที่ทำผิดคิดทุจริตมารวมกับคนที่เขาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน