"สนธิ" เผยไม่รู้สึกตื่นเต้นแม้แต่น้อย กรณีทหารตบเท้าถึงออฟฟิศ เนื่องจากตลอดชีวิตของการเป็นสื่อโดนข่มขู่มาตลอด ถูกสั่งเก็บมาแล้วก็หลายครั้ง ลั่นยอมรับคำขอโทษ "ประยุทธ์" แต่ไม่ได้แปลว่าจะหยุดทำหน้าที่หาความจริงมาให้ประชาชน พร้อมนิยามการเมืองปัจจุบันเป็น "ยุคห่าลงเมือง" นักการเมืองโกงทุกคน เชื่อถ้าสอบภาษี - ที่มาที่ไปของทรัพย์สิน ติดคุกหัวโตกันเพียบ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"
วันที่ 18 ม.ค. เมื่อเวลา 20.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ช่วงหนึ่งถึงกรณีที่ทหารตบเท้ามาที่เอเอสทีวีผู้จัดการ ว่า พอตนรู้ข่าวก็เฉยๆ คิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะทั้งชีวิตตนโดนตบเท้าใส่ตลอดเวลา ประสบการณ์แรกตั้งแต่สมัยเป็นบรรณาธิการที่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ตอนนั้นเพิ่งจะหลัง 14 ตุลา ใกล้จะเกิด 6 ตุลา ตอนนั้นแก๊งที่เป็นอันธพาล คล้ายๆ กับพวกนปช.ยุคนี้ คือกระทิงแดง แปลกไอ้พวกที่เลวๆ มักจะมีอะไรแดงๆ พวกกระทิงแดงมีสมศักดิ์ ขวัญมงคล นักเรียนช่างกลเก่า เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ พวกนี้จะเป็นทีมงานของนวพล คือขบวนการฝ่ายขวาออกมาเพื่อปราบปรามขบวนการฝ่ายซ้าย มี พล.ต.สุดสาย หัสดิน เป็นเจ้าพ่อกระทิงแดง
ทีนี้หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้า เลยถูกมองว่าเป็นหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้าย เป็นหนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ และถูกข่มขู่ตลอดเวลา กระทิงแดงเคยยกพลมาจะบุกโรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย และคนที่อยู่เบื้องหลังกระทิงแดงคือ กอ.รมน. ซึ่งเป็นทหารนั่นเอง และตอนที่กระทิงแดงบุกเข้าไปที่ธรรมศาสตร์ มีนักข่าว 3 คน คือ ตน พี่ป๋อง พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร และน้องมิสพรีแกน พวกนั้นเอาปืนไล่ยิงต้องวิ่งหลบกันแหลก มีการใช้ระเบิดขวด ระเบิดพลาสติกขว้าง
ประสบการณ์ครั้งที่สองก็คือช่วงพฤษภาทมิฬ ตอนทหารยึดอำนาจ ตนกินข้าวเที่ยงอยู่ที่โรงแรมปริ้นเซส พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท ตอนนั้นเป็น พล.ท.วิโรจท์ แสงสนิท คุม ปรอ.อยู่ ส่งทหารมาที่ออฟฟิศผู้จัดการเพื่อจะมาจับตน เพราะสงสัยว่าตนพา พล.ต.มนูญ รูปขจร ไปหลบซ่อนอยู่บนสำนักงาน แล้วก็เวรกรรม ตอนนั้นคนที่สนิทกับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ก็มี นายขรรค์ชัย บุญปาน นายเผด็จ ภูริปฏิภาณ นั่งกินเหล้ากันคุยกันว่าไอ้สนธิ มันกวนตีนต้องจัดการมัน พอปฏิวัติเสร็จเรียบร้อยตนก็หลบ เพราะรู้มาว่าหลังปฏิวัติเขากะเล่นลูกมั่วมาจับตน
เสร็จเรียบร้อยแล้วพอเกิดพฤษภาทมิฬมีประชาชนชุมนุมกันอยู่ มติชนเงียบ เนชั่นเงียบ ทีวีทุกอันเงียบ มีผู้จัดการฉบับเดียวที่พาดหัวข่าวใหญ่ และปรากฏว่าคนที่ชุมนุมตรงราชดำเนินก็เยอะไปหมดแต่ไม่มีใครรายงานเลย เพราะถูกขู่จะปิดหนังสือพิมพ์ ตนก็เลยถามคำนูณ สิทธิสมาน รุ่งมณี เมฆสุวรรณ สุรวิชช์ วีรวรรณ ว่าจะเอาอย่างไร จะลงข่าวหรือไม่ลงข่าว คำนูณบอกว่าพี่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ แล้วแต่พี่ ตนบอกเลยเป็นไงเป็นกัน เจ๊งเป็นเจ๊งก็เลยบอกสั่งให้พิมพ์หนังสือไซส์แทบลอยด์พาดหัวเลยว่า ประชาชนชุมนุมเรือนแสน อยู่ที่ราชดำเนิน สั่งพิมพ์ 25,000 เล่ม แล้วเอาไปแจกฟรีทั่วกรุงเทพฯ จากนั้นคนก็เลยเดินทางจากที่ต่างๆมาที่ราชดำเนินกันเต็มไปหมด
และการตบเท้าครั้งที่ 3 ก็คือ หลังจากที่แจกหนังสือพิมพ์แล้ว ทหารประชุมกันที่กองทัพภาค 1 วางแผนจะส่งทหารมายิงตน ปรากฏว่ามีทหารคนหนึ่งชั้นประทวน มีหน้าที่เสิร์ฟน้ำ ซึ่งตนเคยให้เงินช่วยเหลือลูกสาวเขาสมัยที่เป็นพนักงาน ซึ่งสอบได้ทุนไปเรียนอังกฤษแต่บ้านยากจน ตนเลยออกค่าเครื่องบินให้ และเงินก้อนหนึ่งประมาณ 3 หมื่นบาท ก็เลยเป็นหนี้บุญคุณกัน บังเอิญจ่าคนนี้เสิร์ฟน้ำตอนที่เขาบอกว่าต้องฆ่ามัน วันรุ่งขึ้นเขาก็มาแจ้งให้ตนรู้ถึงออฟฟิศว่าเขาจะฆ่าท่านคืนนี้ นี่คือการตบเท่าครั้งที่ 3 นะ เป็นการตบด้วยปืน ปรากฏว่าตนตัดสินใจไปอังกฤษทันทีเลยคืนนั้น
ครั้งที่ 4 พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต เป็นตัวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาบอกว่าการที่ตนเอาพระเจ้าอยู่หัว มาแอบอ้างเป็นการอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะตบเท้ามายื่นหนังสือ แต่แล้วพล.ต.พฤณฑ์ ก็ไม่กล้ามาเลยส่งคนอื่นมาแทน
ครั้งที่ 5 ก็คือเหตุการณ์ลอบยิง 200 นัด ที่หน้าวัดเอี่ยมวรนุช และการตบเท้าของทหารมาที่ผู้จัดการครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 แล้ว ฉะนั้นมีอะไรที่ตนต้องตื่นเต้น ไม่ตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว
นายสนธิ กล่าวต่อว่า แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้ ข้อแรกมันเกิดความสามัคคีกันมากขึ้นในหมู่พนักงาน ทุกคนไม่มีใครถอยเป็นไงเป็นกัน นี่คือสิ่งที่ถูกต้องและกล้าหาญ เพราะว่าสมัยก่อนเวลาสื่อทะเลาะกับทหาร พอทหารว๊ากทีทุกคนจ๋อย แต่ว่าเราไม่กลัวเพราะเราใช้ธรรมนำหน้า และสุดท้าย อันนี้ต้องให้เครดิต CEO เอเอสทีวีผู้จัดการ คือนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ลูกชายตน ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อสู้ ในเรื่องการเขียนแถลงการณ์ และให้จัดรายการตีแสกหน้าพิเศษ นัยตรงนี้มีตรงที่ตนนอนตายตาหลับ เพราะมีผู้สืบทอดอุดมการณ์ความถูกต้องไว้เรียบร้อยแล้ว
"และสุดท้ายผมก็ต้องขอบคุณที่คุณประยุทธ์ ขอโทษขอโพยมา ไม่เป็นไร เรายอมรับคำขอโทษ แต่ผมอยากจะเตือนกลับไปว่า การที่คุณขอโทษและเรายอมรับการขอโทษไม่ได้แปลว่าเราจะหยุดนะ หน้าที่เราคือหน้าที่ของการหาความจริงมาให้กับประชาชน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ตอบอะไรสังคมไม่ได้ เราต้องถาม อะไรก็ตามที่ไม่มีความโปร่งใสและไม่มีความเที่ยงตรง เราต้องแสดงออก วิพากษ์วิจารณ์นี่คือหน้าที่เรา เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้" นายสนธิ กล่าว
นายสนธิ ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ประธานศาลฎีกาของปากีสถานมีคำสั่งให้จับกุมผู้ต้องหา 16 คน ซึ่ง 1 ใน นั้นมีนายกรัฐมนตรีของปากีสถาน ( ราจา เปอร์เวซ อัชราฟ)ด้วย ในข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่น ว่า ตนมองว่าปากีสถานคล้ายเมืองไทย คือมีปัญหาขัดแย้งกับอินเดียเรื่องดินแดน คือถ้าไทยทำตัวเหมือนปากีสถานหรืออินเดีย วันนี้คงประจันหน้ากันกับเขมร และตลอดไปตลอดชีวิตไม่มีวันจบ เนื่องจากเรื่องพรมแดนไม่มีใครยอมใคร เหมือนเมื่อเร็วๆนี้เกาหลีใต้มีเรื่องพิพาทกับญี่ปุ่นเรื่องเกาะ เขาจะให้ขึ้นศาลโลก เกาหลีใต้ไม่ไป มีประเทศไทยประเทศเดียวที่เสือกทำตัวสุภาพบุรุษทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้เป็นสมาชิกศาลโลก
ลักษณะที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เหมือนกัน คือรัฐบาลอัชราฟ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง โกงตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีพลังงาน ในการสร้างโรงงานไฟฟ้า และในที่สุดแล้วศาลฎีกาใช้บทบาทของตนเองสั่งให้จับคน 16 คน โดยต้องสั่งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เหมือนกับตำรวจบ้านเรา ปรากฏว่าสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯกลับบอกว่ายังจับไม่ได้หลักฐานไม่พอ คุ้นๆ ไหม นั่นเพราะว่าสำนักงานป้องกันปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น มันขึ้นอยู่กับนักการเมือง เหมือนกับตำรวจเมืองไทยขึ้นอยู่กับนักการเมือง
ที่น่าสนใจในขณะนี้ประชาชนจำนวนมากได้ออกเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกและให้ดำเนินคดีพวกนักการเมือง และให้ยุติการเมืองที่มีการเลือกตั้งระยะหนึ่ง เพื่อมาล้างสิ่งเก่าๆ สิ่งที่สกปรกออกให้หมด ประชาชนเขาเรียกร้อง แต่จริงๆ แล้วเป็นวิธีการที่ทหารปากีสถานในอดีตเขาทำกัน คือถ้านักการเมืองทำเรื่องกระทบความมั่นคงของประเทศ ทหารจะเข้ามาจัดการ เพราะฉะนั้นถ้าทหารประเทศไหนไม่เข้าใจ ตนไม่ได้เอ่ยว่า ทหารประเทศไหน จะอ้างว่าต้องทำตามกฎหมาย แต่หารู้ไม่ว่ากฎหมายนั้นคือสิ่งที่นักการเมืองร่างให้ หรือแม้กระทั่งในกฎหมายรัฐธรรมนูญเอง ระบุชัดเจนว่า "ทหารมีหน้าที่ปกป้องประเทศ และรักษาความมั่นคง ความมั่นคงของชาติ" ปากีสถานมองการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองเป็นการทำลายความมั่นคง ฉะนั้นถ้าเทียบกับประเทศไทย ลำพังการจำนำข้าวอันเดียว ถ้าเป็นปากีสถานเมื่อก่อน ทหารจะออกมาจัดการสั่งให้เลิก แต่ปัจจุบันมันไม่มี ประชาชนปากีสถานเลยต้องออกมาเรียกร้อง
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ในเมืองไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านเป็นจอมทัพ จริงๆ แล้วพระองค์ท่านมีอำนาจเหนือกว่าผู้บัญชาการทหารสูงสุด ทหารรุ่นเก่า ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ คนพวกนี้เป็นทหารนักรบ จะมองความมั่นคงในมิติที่เป็นความมั่นคงหลายมิติ ไม่ใช่มองมิติในเรื่องของสถาบันกษัตริย์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ทหารรุ่นหลังเป็นทหารนักรบ แต่รบบนสนามกอล์ฟ เลยมีความเคยชินกับการดื่มไวน์ราคาแพง เพราะฉะนั้นแล้วจิตใจของคนที่เป็นนักรบกับคนที่เลียนที่จะเป็นนักรบแต่ไม่เคยรบ จะไม่เหมือนกัน สมัยก่อนทหารที่มีเรื่องกับพลเรือน หรือตำรวจ ทหารจะยกพลมาทั้งกรมเลย เพื่อมาเอาตัวทหารที่ถูกตำรวจจับไปเอาออกมา เพราะเขาถือว่าเสียศักดิ์ศรี จริงๆ เป็นเรื่องไม่ควร แต่มันแสดงจุดยืนให้เห็นว่าเขารักพวกรักพ้อง พอเขารักพวกรักพ้องเขาก็รักชาติรักบ้านเมืองตามไปด้วย เพราะว่าเขาไปในทิศทางเดียวกัน เป็นเอกภาพ เพราะฉะนั้นพูดก็พูดเถอะ คนที่ทำลายสถาบันทหารแท้ที่จริงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะว่าเขามองเห็นว่าถ้าสถาบันทหารมีเอกภาพ มีความมั่นคง จะเป็นอันตรายต่อนักการเมืองที่ต้องการจะกินชาติกินบ้านกินเมือง
เหตุผลหนึ่งที่ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ปฎิวัติช่วงแล้วประชาชนปรบมือให้ ก็เพราะช่วงรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ คอร์รัปชั่นมากที่สุด มีการยึดทรัพย์นักการเมืองทันที แต่ว่ากระบวนการยึดทรัพย์ของเขา เขาทำผิดขั้นตอน เขาน่าจะอายัดทรัพย์และให้นักการเมืองมาพิสูจน์ว่าทรัพย์ที่ถูกอายัดไปมาจากไหน นักการเมืองทุกคนที่ประกาศว่าตัวเองมีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง ข้อแรกถ้าถามว่า คุณเสียภาษีปีละเท่าไหร่ เจ๊งทุกคนเลยนะ และที่บอกว่ามีเงินมีทรัพย์สินพันกว่าล้าน ให้แจกแจงว่าได้มาอย่างไร ก็เจ๊งหมดทุกคนแล้ว เพราะฉะนั้นที่รายงานต่อ ป.ป.ช. โกหกที่มาของทรัพย์สินหมดเลย บางคนทรัพย์สินมีน้อยแต่ตั้งไว้สูง เพื่อที่ระหว่างเป็นรัฐมนตรีจะได้โกง และจะได้เพิ่มในวงเงิน สมมติมี 1,000 บาท แต่ตั้งว่ามีจริงแค่ 100 บาท และระหว่างเป็นรัฐมนตรี ก็เพิ่มอีก 900 บาท พอเกษียณไป 1,000 บาท ดูเหมือนไม่มีเพิ่ม
ฉะนั้นต้องตรวจสอบที่มาที่ไปของทรัพย์สิน และถ้าตรวจการเสียภาษี ปีที่แล้วและหลายๆปีก่อนหน้านี้ เจ๊งทุกคน ติดคุกกันหัวโตเลย ยกตัวอย่าง เช่น พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตอนนี้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีทรัพย์สินทั้งหมดกว่าพันกว่าล้าน ชีวิตเป็นตำรวจมาทั้งชีวิต มีได้อย่างไรพันกว่าล้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เหมือนกัน ทำมาหากินอะไร อาชีพอะไร แม้กระทั่ง นายจตุพร แม้มีไม่ถึง 10 ล้านก็ตาม แต่ก่อนที่จะมาเป็นนักการเมืองยังกินมาม่าอยู่เลย
แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวต่ออีกว่า ยุคชาติชายเป็นบุฟเฟ่ต์คาบิเนต ยุคนี้ขอเรียกว่ายุคห่าลงเมือง ไม่เฉพาะเพื่อไทย สมัยประชาธิปัตย์ก็เช่นกัน รัฐมนตรีมีกระบวนทัศน์เดียวกันหมด คอนเซ็ปต์เดียวกัน เวลาจะโกงก็กระซิบให้อธิบดีทำ ถ้าไม่ทำก็สั่งย้าย แล้วพอมีเรื่องมันบอกว่าไม่เกี่ยว ข้างล่างทำเรื่องเสนอขึ้นมา มันแค่อนุมัติตามที่เสนอ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนเคยพูดมานานแล้วว่าคนที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งมันต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานทางการเมืองเสียก่อน ตนไม่เคยเชื่อในเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ตนเชื่อว่าคนอะไรก็ตามถ้าจะทำอะไรต้องมีความรู้ขั้นพื้นฐานในเเรื่องนั้นก่อนถึงจะทำได้ พวกเสื้อแดงบอกว่าสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่ไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวว่าประชาธิปไตยคืออะไร เข้าใจอย่างเดียวว่าประชาธิปไตยของมันคือมีสิทธิจะทำอะไรก็ได้ แล้วถ้าทักษิณกลับมาสำหรับมันคือประชาธิปไตย
คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 18 ม.ค. 2556
รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันศุกร์ที่ 18 มกราคม 2556 เวลา 20.00-22.00 น. ดำเนินรายการโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และ นางสาวกรองทอง เศรษฐสุต ร่วมดำเนินรายการ
กรองทอง - สวัสดีค่ะ วันนี้เราเปิดกันด้วยมิวสิควิดีโอเพลงของขวัญ แต่ว่าเป็นภาคพิเศษที่ทำมาจากใจของพี่น้องพันธมิตรฯ ที่สหรัฐอเมริกา
จินดารัตน์ - ดูแล้วเราก็ซาบซึ้ง และเรามีความรู้สึกเลยว่า เราใจถึงกัน แล้วดูความเข้มแข็งของพี่น้องที่สหรัฐอเมริกา จะหนาแน่นเหนียวแน่นมั่นใจ สัญญาว่าจะไม่เปลี่ยน สัญญาว่าจะซื่อตรงอย่างไร ต้องถามคนที่ไปเยือนมา
กรองทอง - ใช่คะ เพิ่งกลับมาสดๆ ร้อนๆด้วย หลายคนถามถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล สวัสดีคะ
สนธิ - สวัสดีครับ
กรองทอง - เหมือนไปอเมริกามา ทำไมมาอย่างนี้ละคะ
สนธิ - ผมไปงวดนี้ผมประทับใจมาก และจริงๆ แล้ว ผมเป็นคนแรกที่เป็นพี่น้องพันธมิตรฯ ในประเทศไทย ไปเยือนสหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณปี 2549 ผมจำได้ว่า เป็นครั้งนั้นไปพูดที่สนามม้า คนฟังประมาณ 1,000 กว่าคน เกือบ 2,000 คน แน่นเอียดเลย และหลังจากนั้นพวกเราไปกันระลอก มีแอนก็ไป คุณสุริยะใสก็ไป เรามีทีมใหญ่ไป ผมได้สัญญากับพันธมิตรฯ ที่สหรัฐอเมริกาว่า ปีหนึ่งอย่างน้อยจะไปเยี่ยมเขาสักครั้ง แต่เนื่องจากว่าทุกจุดตัวแทนพันธมิตรฯ จะเชิญไปหมดเช่น ถ้าไปแคลิฟอร์เนียต้องไปซานฟรานซิสโก ไปลอสแองเจลิส เสร็จแล้วที่เดนเวอร์ก็อยากให้ไป โผล่ไปที่วอชิงตัน ดี.ซี.ไปเจอพี่ติ๋ว พี่ทัศน์ก็ต้องไปนิวยอร์กไปเจอพี่ไพลิน ไปนิวยอร์กเสร็จก็ต้องไปฟลอริดา ไปเจอคุณคเชน เสร็จแล้วต้องไปดัลลัส และยังมีอีกหลายเมืองที่ยังไม่ได้ไป เช่น ฮิวส์ตัน เขาอยากให้ไปใจแทบขาด แต่ผมยังไม่ได้ไป ทีนี้ปัญหาเวลาไปอเมริกาที่สุดคือ เนื่องจากคนในอเมริกา ถ้าเขาจะว่างก็คือเสาร์-อาทิตย์ ผมก้ไปชิคาโก ถ้าจะไปจังหวะไหนก็ตาม เขาต้องการให้ไปเสาร์-อาทิตย์ ทีนี้ถ้าคุณไปเสาร์ซานฟรานซิสโกได้ อาทิตย์คุณบินไปแอลเอได้หมดแล้ว ต่อไปคุณก็ต้องไปอีกเสาร์-อาทิตย์นึงไปวอชิงตันดีซี เสาร์ นิวยอร์กอาทิตย์ก็ย่อมได้ คุณจะไปฮิวส์ตันกับดัลลัสก็ได้ ก็ต้องอีกอาทิตย์นึง 3 อาทิตย์ พอกลับมาก็ไม่มี ASTV อยู่แล้ว สถานีโทรทัศน์ก็ไม่มี แต่ผมต้องชมพันธมิตรฯที่แอลเอ และพันธมิตรฯที่ซานฟรานซิสโก พี่ต้อยก็เป็นหัวเรี่ยวหัวเเรง ที่ซานฟรานซิสโก พี่ต้อยจะระดมคนมาหมด ถือว่าประมาณ 40-50 คน ก็โอเคแล้ว คนจะน้อยกว่าแอลเอเยอะ แต่ว่าที่ซานฟรานซิสโกเขาก็ตั้งใจมากันจริงๆ และหลายๆคนก็ตั้งใจฟัง หลายคนที่เป็นพันธมิตร เก่ากึ่งเลย เขานี่ไม่เปลี่ยน เขาก็ซื่อตรง และเขาก็มั่นคงกับเรากับ ASTV มาตลอด และก็แอลเอ แอลเอนี่ต้องชมทีมงานเขา เขาจะมีกลุ่มคนประมาณ 30 กว่าคน เวลาจัดงานให้เราทีไร 30 คน จะทุ่มเทชีวิตจิตใจ จะทุ่มเทกำลังทรัพย์ จะทุ่มเทเวลาของตัวเองเข้ามา และทำงานประสานกัน รักกันดี มีคุณหมอสุวัฒน์ ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่อยู่ที่นั่น มีคุณกิตติพล มีเปิ้ล มีคุณบุญชู มีอีกหลายคน หลายคนที่อยู่ คุณตุ๋ย
กรองทอง - ค่ะพี่ตุ๋ย พี่ผึ้ง
สนธิ - -ลายคนเลย เขาช่วยงานกันเอาอาหารการกินมากัน จัดอันโน้นจะมีขาย เขาเรียกบัตรชิงโชค บัตรแร็บ เฟอร์ มีชิงรางวัลที่ 1 ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เท่านี้นะ มีชิงรางวัลที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ผมก็มีหน้าที่คอยจับรางวัลให้เขา และก็คราวนี้ไปซานฟรานซิสโก ไปเจอนักเลงตัวเจริง คือคนที่ไปนั่งฟังที่ซานฟรานซิสโก ก็จะมีส่วนหนึ่งที่เป็นคนที่ไปไล่ทักษิณ ไปแอลเอก็เจอ เขาเล่ากันอย่างสนุนสนานเลย เขารู้สึกว่าการที่เขาไปไล่ทักษิณ เป็นวีรกรรมซึ่งผมถือว่าเป็นวีรกรรมจริงๆ ที่เขาได้ทำอะไรบางอย่าง แสดงออกว่าเขาไม่เอาทักษิณ เขาไม่เอาคนที่ทำร้ายชาติบ้านเมือง มีผุ้หญิงอยู่คน ชื่อคุณอ้อม เป็นผู้จัดการร้านอยู่ที่จันดารา ชื่อร้านจันดารา เพิ่งรู้ว่าวันที่ทักษิณมา แกทนไม่ไหว แกลุกขึ้นมาพรึบพับ แกบอกแม่แกไม่ไหวแหละปิดร้าน แกปิดร้านเลยนะ และแกก็ไปหน้าไทยแลนด์พลาซาเพื่อไปไล่ทักษิณ ไอ้ผมคิดว่า ไปงวดเนี่ยจะได้เจอเสื้อแดงมาไล่ผมบาง แต่ไม่มีใครโผล่มาเลยแม้แต่คนเดียว ถ้าโผล่มาก็เจอ เพราะพันธมิตรฯไทยแอลเอเขาเข้มแข็งมาก เข้มแข็งจริงๆ ไปครั้งนี้เขาจับผมยืนถ่ายรูป ถ่ายรูปแล้วก็คิดเงิน เก็บเงิน ใครจะถ่ายกับผมเนี่ย
กรองทอง - ช็อตละกี่เหรียญ
สนธิ - ช็อตละเท่าไหร่ๆ แล้วก็ได้เงินมาเท่าไหร่นะแอน
จินดารัตน์ - เออที่แอลเอนะคะได้มา 30,469 เหรียญ และให้กองทุนสู้คดี 862 เหรียญ ก็เกือบ 40,000 เหรียญ ส่วนที่ซานฟรานซิสโก 4,478 เหรียญ และที่สำคัญคุณสนธิคะ คุณสนธิไม่ได้ไปวอชิงตันดีซี
สนธิ - ไม่ได้ไป
จินดารัตน์ - แต่ปรากฏว่า พี่น้องพี่น้องพันธมิตรฯที่นั้น ร่วมบริจาคด้วยนะคะ ส่งเงินมาโดยลุงทัศที่โอนมาแล้วที่ 50,181 บาท นี้ขนาดไม่ได้ไปนะ ยังร่วมแบบ แสดงความรักและห่วงใยต่อ ASTV
สนธิ - มัน ผมไม่รู้จะพูดยังไง มันทราบซึ้ง มันก็อยากจะร้องไห้เหมือนกัน ผมมีความรู้สึกว่า เขามีความจริงใจกับเรามาก เขารักเรา แต่อย่างว่านะฮะ เรารักชาติ ความที่เราเนี่ยรักชาติบ้านเมือง ความที่ ASTV ทำทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมือง เป็นสื่อที่ยืนเหมือนพญาอินทรีย์ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น กลัวอย่างเดียวกลัวคนดี คนชั่ว ความเลว นักเลงหัวไม้ไม่กลัวทั้งสิ้น สนธิ - นักเลงหัวไม้ไม่กลัวทั้งสิ้น ขอเอาความดีเป็นตัวตั้ง เอาความถูกต้องเป็นตัวตั้ง เขาถึงศรัทธาในตัวเรา และผมไปช่วงนั้นเป็นช่วงที่เรากำลังมีเรื่องราวกันพอดี เขาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนหมด หลายๆ คนที่อยู่ในแอลเอที่มาฟังผมพูด มีอยู่ไม่น้อยบอกใครบ้างที่ลงไปบินกลับไปประท้วง กินบนถนน นอนบนถนน ยกมือกันพรึบเลย เต็มไปหมดคนพวกนี้ น่ารักและน่าประทับใจมาก จนกระทั่งผมไม่รู้จะพูดอย่างไร ห้องมันเป็นแดนซ์สตูดิโอ จุคนประมาณ 600-700 คนแน่นเอียดเลย คนนั่งบนพื้นเต็มไปหมด และพวกนี้เป็นพวกพันธมิตรฯ ของแท้ ไม่มีแปลกปลอม ไม่มี พวกนี้คือพวกซึ่งพอพูดถึงเรื่องข้อเท็จจริงในเรื่องระหว่างเรา กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปัตย์ เขาจะรู้ทันที และเขาจะไม่เอาประชาธิปัตย์ พวกนี้จะไม่เอา ไม่เอาจริงๆ ไม่ใช่ไม่เอาเล่นๆ และพอเอ๋ยชื่อคนซึ่งเคยอยู่กับเรา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็โห่ชื่อโห่ พอเอ๋ยชื่อปั๊บโห่ คือวัยความรู้ลึกซึ้งว่า ใครเป็นของจริง ใครเป็นของปลอม ใครบ้างที่มาเกาะกินกับเรา ใครบ้างมาตีกิน และพวกที่ตีกินรู้หมดเลย เอ๋ยรู้ทันทีเลย ผมก็ขำนะ
กรองทอง - คือระยะทางไม่ใช่อุปสรรคเลย
สนธิ - ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว เขาติดตามข่าวคราวเราตลอด เขาเป็นห่วงเป็นใยเรา ไปเหมือนไปบ้าน มีเจ้าของร้านอาหารไทยชื่อ สยามนเซ็ทของเฮียฮั้ว
จินดารัตน์ - ของเฮียฮั้ว
สนธิ - อาฮั้วถ้าผมไปแอลเอถ้าไม่ได้ไปกินอาหารเช้าที่ร้านแก รู้สึกแกจะโกรธ แกเอสเปกเลยผมต้องไป และอาหารที่โน้นจานเบอเร่ออย่างกับยักษ์เลย งวดนี้ไปถึงลงจากเครื่องบินเสร็จ คุณนิพนธ์ ไปรับผมกับคุณวินเนอร์ ก็ไปร้านอาฮั้ว พอเดินเข้าไปฮั้วยืนยิ้ม ผมก็ไปกอดแขนบอก ฮั้วขอข้าวผัดจานเล็กๆ ฮั้วจานเล็กๆ เข้าใจเปล่าฮั้วจานเล็กๆ และน้ำแกงถ้วยหนึ่งพอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องเอามา โหเพราะเขาจะขนเต็มไปหมดเลย ร้านเฮียฮั้ว สยามซันเซ็ทเป็นที่เลื่องลือชื่อมากในเรื่องของการที่อาหารเช้า เขาจะมีปาท่องโก๋ มีข้าวต้ม เขาจะมีโจ๊กทุกอย่าง คนจะเดินเข้าเดินออกตลอดเวลา ร้านสยามนเซ็ท และพอตกเย็น เผอิญคืนนั้นต้องไปค้างที่โรงแรมที่สนามบิน ใกล้สนามบินเพราะวันรุ่งขึ้นจะได้ไม่ต้องรบกวนใครไปส่ง ก็ตัดสินใจว่าขอไปทานข้าวใกล้ๆสนามบินเขาเลยพาไปทานร้านจันดารา ซึ่งคุณอ๊อดเป็นเจ้าของร้าน และเป็นพันธมิตรฯตัวจริง เขาจัดเลี้ยงพวกเรา แต่พวกเขามาประมาณ 20 คน อบอุ่นครับ เป็นเหมือนครอบครัว พูดเหมือนกันว่า คุณสนธิถ้าเมืองไทยอยู่ไม่ได้มาอยู่แอลเอ ไม่มีตังค์ไม่เป็นไรเดี๋ยวเลี้ยงเองตลอดชีวิต
จินดารัตน์ - คราวที่แล้วหนูไปฝากลูก 2 คน ไว้เรียบร้อยแล้ว ใครเอ็นดูเด็กสองคนหน้าตาน่ารักนิสัยดี
สนธิ - พันธมิตรฯที่แอลเอเขาบอกว่าอยากให้ผมตชจัดทริปที่มีพวกพิธีกรปากจัดทั้งหลาย เริ่มด้วยจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ และน้องนุก น้องเก๋ อยากให้พี่ตั้วจัดคอนเสิร์ตเล็กๆพาไปหน่อยเขาอยากมาก ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร เขาผูกพันกับพวกเรามาก และเขามีความรู้สึกว่าเขารู้จักนุ้กมาตั้งนานแล้ว เขาบอกว่าคนพวกนี้เขาจะติดตามพิธีกรทุกคนตั้งแต่แรกๆ เดี๋ยวนี้นุกเขาเก่งนะไม่ธรรมดา ของขึ้นนะ เขาปากคอแม่ค้าปากคลองตลาดยังต้องยกมือไหว้ เขารู้หมดเลย
จินดารัตน์ - เขารักพี่ตั้วมากนะคะ
สนธิ - เขารักตั้วมาก จริงๆผมไปพูดที่ซานฟรานซิสโก ขนาดพันธมิตรฯที่ดัลลัสยังเอากล้องมาติดไว้ที่ผมพูดเพื่อถ่ายทอดกลับไปที่ดัลลัสนะ ผมรับปากว่าผมต้องไปดัลลัสสักครั้ง และต้องไปฮิวส์ตันด้วยไม่ไปไม่ได้ พูดคร่าวๆว่าต้องไปเดือนพฤษภาคม ทีนี้พอไปฝั่วนู้นก็ต้องไปเจอนิวยอร์กกับดีซี จะกลายเป็นนิวยอร์ก ดีซี ดัลลัส ฮิวส์ตัน แต่ก็คงจะ 2 อาทิตย์ไม่ได้ อาจจะเป็นดัลลัส ฮิวส์ตัน เสาร์-อาทิตย์ นิวยอร์ก กับดีซี จะต้องเป็นวันธรรมดา ต้องเป็นอย่างนี้ ในที่สุดพอบินกลับมามันก็อาจจะต้องกลับมาที่แอลเอ ลอสเเองเจลิสงวดนี้คงไม่ปราศรัยแล้ว งวดนี้คงพูดกันสั้นๆในกลุ่มคนไม่มากนัก เพราะผมรับปากกับพันธมิตรฯที่อเมริกาว่าปีหนึ่งอย่างน้อยที่สุดที่แอลเอผมจะต้องไปเล่าเหตุการณ์ให้เขาฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไปอธิบายว่าทำไมคนนี้เขาทำอย่างนี้ทำไมพันธมิตรฯพวกนี้ที่เคยอยู่กับพวกเราตอนนี้ไม่อยู่ การตัดสินใจมีอะไรบ้าง ผมก็เตรียมตัวไปเล่าอะไรเรื่องเกี่ยวกับคุณประพันธ์ให้ฟัง ว่าทำไมคุณประพันธ์จำเป็นต้องไปทางนี้เผื่อเขาถาม เขาไม่ถามด้วย ผมไม่ทราบว่าทำไม แต่เขาไม่ถาม เหมือนว่าเขาเข้าใจดี มองในแง่ดีคือเขารู้เรื่องนี้ดี เข้าใจได้ คือผมคิดว่าเขาจะถามแต่เขาไม่ถาม
จินดารัตน์ - แต่ก็มีหลายคนที่พูดถึงคุณประพันธ์ สุดท้ายถ้าคุณเสรีพิศุทธ์คาดหวังการเป็นผู้ว่าฯ คุณประพันธ์ก็น่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ขอแยกไปทำหน้าที่ของตนเองสักพักหนึ่ง ก็มีคำถาม คุณสนธิคงไม่ทราบว่าคุณวินเนอร์เอาคำถามของคนไทยในสหรัฐฯเอากลับมาด้วย เดี๋ยวช่วงท้ายรายการ เพราะมีหลายคำถามที่คุณสนธิยังไม่ได้ตอบ รักพี่น้องพันธมิตรฯที่นั่นมากเพราะเขารักเรามาก งั้นเราจะต้องเอาคำถามมาถามต่อในรายการด้วย เพราะที่นี่เวลามีอะไรเราจะระลึกถึงที่อเมริกาทำทั้งกำลังกายกำลังใจกำลังเงินใครมาถึงช่วงที่เราชุมนุมเขาจะดีใจมาก พี่คะ พี่มาพักผ่อนไม่ใช่หรอ พี่รู้สึกเป็นเกียรติมากคุณแอนกลับไป เขาได้เล่าเหตุการณ์ไปชุมนุมอย่างสนุกสนาน เพราะฉะนั้นเดี๋ยวเราจะถามกันช่วงท้ายรายการ
กรองทอง - และเห็นว่าพี่น้องพันธมิตรฯ ที่อเมริกาฝาก ส.ค.ส.ปีใหม่มาให้พนักงานเอเอสทีวี และวิทยากรณ์ทุกท่านด้วย เดี๋ยวจะขออนุญาตแกะให้ชม ปีนี้เป็นปีงูเล็ก นี่น่ารัก เป็นพี่น้องพันธมิตรฯ และที่น่ารักกว่านั้นเขามีข้อความล่ารายชื่อ เหมือนจะล่ารายชื่อแก้กฎหมายปิโตรเลียมหรืออย่างไรก็ไม่รู้ คือมีเขียน และนี่มายาวอย่างนี้เลย
จินดารัตน์ - คือเช็นชื่อกันมาเป็นหางว่าว
กรองทอง - ขออนุญาตว่า คงไม่สามารถอ่านได้ครบทุกคน แต่ว่าให้ช่างภาพดูจับภาพเอาว่า คือเป็นลายมือของทุกๆ คน
จินดารัตน์ - ขอบคุณมากๆ เลย เราซาบซึ้ง และเอ็มวีที่พี่น้องได้ทำมา ดูแล้วน่ารักมาก คือคนไทยที่นี่แอนเชื่อว่า คุณสนธิว่า ทุกคนได้ดูแบบนี้เหมือนเราเป็นญาติกัน เหมือนเรารู้จักพันธมิตรฯ ที่อยู่อเมริกาด้วยทุกคน พร้อมกับคำอวยพร ไหว้สวยๆ และเงินบริจาคที่ให้มาเอเอสทีวีด้วย ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยนะคะ
สนธิ - มันเป็นสิ่งที่ผมเคยพูดมา และมันเป็นความจริงแล้ว แอน ผมไม่รู้ว่าแอนจำได้หรือเปล่า ผมบอกว่าให้พวกเรารวมตัวกันเอาไว้ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมพูดมาตลอดเวลาว่า สังคมข้างนอกจะเป็นอย่างไรก็ตาม ชาติบ้านเมืองจะไปอย่างไรก็ตาม ถึงเราจะสู้มันไม่ได้ แต่ว่าพวกเราซึ่งยึดมั่นในความดี ศีลธรรม ความถูกต้องอย่าไปท้อใจ อยู่ด้วยกันจับกลุ่มกันเอาไว้ ถึงกลุ่มจะเล็กเหมือนกับพี่น้องที่อยู่ในแอลเอที่มาชุมนุมกันประมาณ 600-700 คน เมื่อเทียบกับพันกว่าคนครั้งแรกเมื่อปี 49 ผมไป อย่างน้อยหายไปครึ่งหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ครึ่งที่เหลือคือครึ่งของคนที่ใจนักเลงทุกคน ของคนที่ไม่เปลี่ยนแปลงซื่อตรง และมั่นคงกับเรา ใช่ไหม เหตุผลเพราะว่าเราไม่เปลี่ยนแปลง เราซื่อตรง และเรามั่นคงเช่นกัน เพราะฉะนั้นคนที่ซื่อตรงและมั่นคงกับเรา เราซื่อตรงและมั่นคงกับเขาตลอดเวลา นี่คือชุมชนของเรา ตอนนี้ชุมชนพันธมิตรฯ ที่เข้าใจเราจริงๆ ที่ผมเคยตีว่า เป็นวงกลม วงใน วงนอก คือวงใน วงนี้คือวงของนักสู้เดนตาย
จินดารัตน์ -ใจเกินร้อย
สนธิ - ใจเกินร้อย พูดอะไรเข้าใจหมด ไม่ต้องอธิบายความมากมาย มิหนำซ้ำบางคนยังจะรู้เรื่องลึกซึ้งกว่าเราเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าพวกพันธมิตรฯ หลายคนช่างจดช่างจำ มีคนหนึ่งอยู่ในเฟซบุ๊ก ชื่อคุณรณยศ โอ้คุณรณยศไม่ได้เลยนะ แกไปเอาข้อมูลมาจากไหนไม่รู้ บางทีผมพูดนานแล้ว ครั้งเก่าๆผมยังจำไม่ได้เลย แกลิงค์ให้ผมคลิ๊กเข้าไป เอ้าตายห่านี่ กูพูดอยู่นี่งานนี้ ใช่ไหม หรือว่าคุณปีเตอร์อภิสิทธิ์
จินดารัตน์ - แอนตี้อภิสิทธิ์
กรองทอง - แอนตี้อภิสิทธิ์
สนธิ - เหมือนกัน แกจะรู้เรื่องหมดเลย เพราะฉะนั้นแล้วพวกพันธมิตรฯ เมื่อเป็นพันธมิตรฯ ที่แท้แล้ว เริ่มที่จะลงเขาไปลึก เข้าลึก เข้าลึก เข้าเนี้ยองค์ความรู้เขาสุดยอด จริงๆแล้วคนพวกนี่ ก็คือหัวใจของพวกเรา หลายคน และคนพวกนี่จะออกมาตอบโต้ จะบอกว่า คุณอย่างนี้ ทำไม เพราะอะไรที่มันเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนคุณพูดอย่างนี้ใช่ไหม อะไรก็คือ จะตอบโต้ทั้งเพื่อไทย ทั้งทักษิณ จะตอบโต้ทั้งอภิสิทธิ์ สาวกอภิสิทธิ์ สาวกแมลงสาบ
จินดารัตน์ - แมลงสาบทั้งหลาย
สนธิ - ตอบโต้เป็นช็อต ช๊อต
กรองทอง - และมีหลักฐานทุกครั้ง
สนธิ - มีหลักฐานทุกครั้ง มีหลักฐานทุกครั้ง
กรองทอง - และแมลงสาบจะหลบฉากทุกครั้ง
จินดารัตน์ - ใช่ ต้องบอกว่าในหลายๆกรณี มันมีมุมมองหลายๆอย่างที่ ออกมาใช้ในการทำงาน ได้มาจากความคิดเห็นของพี่ๆเรา
สนธิ - พวกนี่เขาให้ข้อคิดเราดี
จินดารัตน์ - เปิดดูในเฟซบุ๊ก นะ เวลาที่พี่เขาโพส ความเห็น หรือว่าตอบโต้ หรือว่าเอาเหตุผล เอาความจริงมายันกันเนี่ย คือได้จากพี่ๆเขา
กรองทอง - เหมือนเขามีคลังข้อมูล เขาเหมือนห้องสมุดของเราอีกรูปแบบหนึ่ง
สนธิ - ผมว่ามันเป็นแบบนี้มากกว่า ข้อ 1 เขาเข้ามาเรียนรู้จากข้อมูลเรา เพราะว่าเขาได้ผ่านการทดสอบแล้ว ว่าข้อมูลเราเป็นข้อมูลที่ไม่บิดเบือน ถูกต้อง คือเราเป็นคนที่เดินตรง ไม่ได้เป่ไปเป่มาเหมือนคนเมาเหล้า ที่นี่พอเขาเข้าไปแล้ว ความที่เรามีเรื่องไปเข้ามาเยอะแยะหมด เราก็ไปทำอันโน้น ทำอันนี้ เดี๋ยวประเด็นนั้นโน้น เดี๋ยวประเด็นทางสังคม เขาไม่ เขาประเด็นทางการเมืองอย่างเดียวเลย เพราะฉะนั้นเขาจะสะสมข้อมูล ของเราเลยนะเนื่องจาก 1 เขาเชื่อใจข้อมูลเราแล้ว ถ้าข้อมูลเราไม่ดีเขาจะไม่สะสม เพราะคนพวกนี้มีปัญญา ไม่ใช่คนโง่ และจูงจมูกไม่ได้ด้วย ถ้าเขายืนข้างเรา เราจะภูมิใจ แสดงว่าเราใช้ได้เขาจึงยืนข้างเรา เพราะเขาเป็นคนดีเป็นปัญญาชน เป็นวิญญูชนที่แท้จริง เขาเลยเก็บเป็นอาร์ค้าย(***)ของเขา ในขณะที่เราไม่ได้เก็บ เราก็เก็บเหมือนกัน แต่ไม่ต้องไปเสียเวลาค้นไง แต่เขาเรียกได้ว่า ปุ๊บ ปุ๊บ ปุ๊บ ผมเคยเห็นเขาโต้ คนที่เชียร์อภิสิทธิ์ คนอ่านแล้วผมยังหัวเราะเกือบตกเก้าอี้เลย ช่างคิดจริงๆช่างจดช่างจำหมดทุกอย่าง
จินดารัตน์ - แล้วสังเกตว่าเวลาที่เขาเอาหลักฐานมาปุ้บแมลงสาบวิ่งกระเจิงเลย เงียบไม่พูดสักคำ
กรองทอง - อยากรู้บรรยากาศของพี่ๆพันธมิตรฯที่อเมริกาในวันที่มีทหารมาเที่ยววันเด็กที่ผู้จัดการ
สนธิ - ผมไปถึงวันที่ 11 วันศุกร์ ยังไม่มา วันเสาร์มา
จินดารัตน์ - วันศุกร์มาแล้วค่ะตอนเย็น
สนธิ - ใช่ๆ นายออฟ นายวริษฐ์ ลิ้มทองกุล หลานผมเขาเป็นคนส่ง SMS มา ผมอ่านแล้วผมก็เฉยๆ ผมคิดว่าคงไม่มีอะไร เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะชีวิตผมทั้งชีวิตโดนตบเท้าใส่ตลอดเวลา เดี๋ยวจะเล่าประวัติให้ฟัง ฟังแล้วจะขำ แต่พอมาวันรุ่งขึ้นมาอีกยังไม่เท่ากับที่ผมอ่านข่าวที่ พล.ต.อภิรัตน์ ให้สัมภาษณ์ แล้วผมก็มีความจำเป็นที่จะต้องแสดงจุดยืนของผมผ่านทางรายการตีแสกหน้าวันเสาร์ ภาคพิเศษ
กรองทอง - บางคนบอกว่าภาคพิสดารนะคะ
สนธิ - ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิด เป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ที่ซานฟรานซิสโกของคืนวันเสาร์ ผมกับนายวินเนอร์และโจ ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารไทย มโนราห์ กำลังทานในร้านอาหารอิตาเลียนที่ ลา บริโอ ชิก้า อร่อยมาก มีซีบลาส ลาบริโอลี่ ผมก็บอกว่าขอเวลาหน่อย ผมก็เดินออกไปเข้ารายการข้างนอก มันเป็นอะไรไม่รู้ช่วงที่ไปหนาวโคตรๆเลย ซานฟรานซิสโก แอลเอ ไม่เคยหนาวแบบหนาวติดกันเป็นอาทิตย์เลยนะ เช้าตื่นมา 0 องศา กลางวัน 6 องศา 8 องศานี่ถือว่าสูงสุดแล้วนะ แอลเอก็ 2 องศา 3 องศา ก็ไม่เห็นเหรอใส่เสื้อหนาวกัน สั่นงันงกเลย ก็เลยต้องโทรเข้าไปตอนนั้น พอไปถึงแอลเอวันอาทิตย์ก็ผ่านไปแล้วสำหรับวันเสาร์ที่มากันร้อยคน พวกนี้เขารู้หมดแล้วทุกคน คือกระเหี้ยนกระหือมาก ด่ากันเสียงขรมเลย พวกนุ้กด่ายังไงเขาก็ด่ากันอย่างนั้น เผลอๆด่ามากกว่าด้วยซ้ำ ก็แสดงว่าเขายืนอยู่ข้างเราเต็มตัว
จริงๆแล้ววันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องนี้ให้เข้าใจ ชีวิตผมตั้งแต่ทำหนังสือพิมพ์มา กลับมาเมืองนอกใหม่ๆ ทำเมื่ออายุ 28 นุกปีนี้ 65 อายุ 37 ปี 38 ปี ผมผ่านการตบเท้าการข่มขู่มาเยอะมาก สมัยที่ผมทำหนังสือพิมพ์ เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยตอนนั้น ตอนนั้นเพิ่งจะหลัง 14 ตุลาฯ ใหม่ๆ ใกล้ๆ จะเกิด 6 ตุลาฯ 16 ตอนนั้นนุกอยู่ไหน
กรองทอง - 6 ตุลาฯ 19 นี้หรอ
สนธิ - 19 หรอ
กรองทอง - 14 ตุลาฯ 16 และ 6 ตุลาฯ 19
สนธิ - 6 ตุลาฯ
กรองทอง - นุกยังไม่เกิดคะ
สนธิ - นุกตอนนั้นอาจจะเป็นเทพธิดาอยู่บนสวรรค์ แต่ทำผิดกฎอะไรของสวรรค์ เลยถูกส่งให้มาเกิด ใช่ไหม
กรองทอง - อาจจะเป็นอย่างนั้นคะ
สนธิ - ตอนนั้นแก๊งที่เป็นแก๊งอันธพาล คล้ายๆ กับพวก นปช.ยุคนี้คือ พวกกระทิงแดง แปลกนะไอ้พวกที่เลวๆ มักจะมีอะไรแดงๆ นี่เรื่องจริง นปช.เสื้อแดง สมัยก่อนกระทิงแดง พวกสมศักดิ์ ขวัญมงคล พวกนักเรียนช่างกลเก่า เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ พวกนี้จะเป็นทีมงานของพวกนวพล คือขบวนการฝ่ายขวาออกมาเพื่อปราบปรามขบวนการฝ่ายซ้าย มี พล.ต.สุดสาย หัสดิน คือเจ้าพ่อกระทิงแดง คือตอนนั้นสหรัฐอเมริกาโดยผ่านถึงซีไอเอ มาใช้สุดสายเพื่อสร้างมวลชนขึ้นมา เหมือนกันเป๊ะเลยยุคนี้ เพียงแต่มันกลับด้านกัน ของเราเป็นพวกรักชาติรักเจ้า ถ้าเป็นยุคสมัยนั้นเราก็เป็นฝ่ายขวา แต่งวดนี้เรากลับกลายเป็นฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวาจัดคือ เสื้อแดง นิสัยเหมือนกันหมดเลย ไม่ต่างกันเลย เพราะกระทิงแดงจะเฮไปไล่ตีคนโน้น ไปทุบคนนี้ เกเราไปไล่ยิงคนนั้น ทีนี้หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นหนังสือพิมพ์หัว 9 หน้า แต่เมื่อเป็นหนังสือพิมพ์หัว 9 หน้า กลับถูกมองว่า เป็นหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้าย เป็นหนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ เลยถูกข่มขู่ตลอดเวลา ไม่หยุดยั้งเลยแม้แต่นิดเดียว
ผมจำได้ว่า กระทิงแดงเคยยกพลมาจะบุกโรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ประชาธิปัตย ไม่ต่างอะไรกันเลย ไม่ต่างกันเหมือนสมัยที่เราทำเอเอสทีวีแล้ว ไอ้เป๋ คลองเตยมา ซึ่งเป็นเด็กของ ศิธา ทิวารี ยกขบวนมาจำได้ไหมแอน ที่ตรงบ้านพระอาทิตย์ แต่ปรากฏว่า เจอนักสู้ตัวจริงทั้งผู้หญิงผู้ชายเอเอสทีวีออกมา เอาก้อนหินขว้าง เอาลูกหินยิง แล้วไปยิงนายเป๋ คลองเตย นี่ร่วงเลยจากรถ ลงไปๆ ปรากฏว่า โดนมอเตอร์ไซค์โดนเผาไปไม่รู้กี่คัน จากนั้นมาไม่กล้ามาอีกเลย ลักษณะแบบนี้จะเกิดขึ้นยุคนั้น ผมจำได้ตอนนั้นคือ โดนกระทิงแดงข่มขู่ และคนที่อยู่เบื้องหลังกระทิงแดงคือ กอ.รมน. ทหารไทย สมัยนั้นจำได้เลยเวลาทำงานบนโต๊ะทำงาน ผมเล่าให้ฟังเอา 11 ม.ม.มาวางบนโต๊ะ เพราะไม่รู้ใครโผล่มาเมื่อไหร่ สมัยก่อนที่ดังที่สุดอาวุธกระทิงแดงคือ ระเบิดขวด เข้าใจเปล่า และตอนที่เขาบุกเข้าไปยึดธรรมศาสตร์ตอนนั้น มีคน 3 คน นักข่าว ผมคนหนึ่ง พี่ป๋อง พงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร และน้องมิสพรีแกน มันอยู่ฟาวอีสซั่นเอ็กซ์นาวกรีวิว(***)ผมเข้าไปหลบอยู่ในธรรมศาสตร์ ผมอยากจะดูเพราะว่าเขาเป่าข่าว เขาเปิดข่าวว่า ธรรมศาสตร์นั้นซ่องสุมอาวุธเต็มไปหมดเลย นักศึกษาเตรียมเข้าไปยึดอาวุธ ไม่ได้ต่างกว่าสมัยที่เราชุมนุมที่มัฆวาน และพวกตำรวจทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายอำนวย นิ่มมะโน บอกว่า พันธมิตรฯ มีอาวุธซ่อนเอาไว้ จำได้เปล่า ตอนที่เราออกมาจากทำเนียบ มันบอกว่าเรา มันค้นกระทั่งท่อระบายน้ำ มันดูว่าเราซ่อนอาวุธที่ไหน
กรองทอง - แล้วดำน้ำไปในคลองตรงทำเนียบใช่ไหม ไปหาอาวุธกันในคลอง
สนธิ - เหตุการณ์ครั้งนั้นคล้ายๆ กัน เหมือนกับที่ยุคก่อนที่ถึง 6 ตุลาฯ เขาจะบุกเข้าไปปรากฏว่า ช่วงนั้นเขาใช้พวกกระทิงแดงบุกก่อน ผมดูว่ามันจะบุกเข้ามาเมื่อไหร่ปรากฏว่า หอประชุมเล็กเห็นไหม นุกข้างหน้ามีเสาเป็นต้นๆ ผมก็ยืนทำข่าวอยู่ มันก็เห็นผมยืน ไอ้พวกซ้าย มันเอาปืนไล่ยิงเลย ปืนพกยิงปังๆ ผมหลบกันแหลกเลย หลบเสร็จและวิ่งไปข้างหลังคณะนิติฯ ที่อยู่ติดกับอะไร
กรองทอง - อยู่ติดประตูรั้วด้าน
จินดารัตน์ - อีกฝั่งหนึ่งตรงหอประชุมใหญ่ใช่เปล่า
สนธิ - คณะอะไรที่อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ
กรองทอง - อันนั้นตรงนิติ ฝั่งนิติ
สนธิ - มันเอาระเบิดขวด ระเบิดพลาสติกขว้าง พี่ป๋องบอกว่า ธิพี่ก่อนนะ น้องมิสพรีแกนบอก ไอไปเหมือนกันไม่ไหว เหลือพี่อยู่คนเดียว ตอนที่อยู่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยมีกล้องอันหนึ่ง ปรากฏมันวิ่งเข้ามาเลย มันเปิดประตูมันวิ่งเข้ามา มันถือไม้คมแฝก นักข่าวที่ไหนมันทำท่า พี่ผมดาวสยาม คือสมัยก่อนหนังสือพิมพ์ดาวสยามคือ หนังสือพิมพ์ซึ่งอยู่กับพวกฝ่ายขวา เหมือนวันนี้มติชนอยู่กับพวก นปช.เข้าใจหรือยัง มันเป๊ะทุกอย่าง
กรองทอง - แล้วพอบอกดาวสยามแล้วไง
สนธิ - มันบอกพี่ดาวสยามหรอพวกเดียวกัน พี่ถ่ายรูปผมหน่อย มันยกไม้ทำท่าตีกัน ผมก็ถ่ายแชะปรากฏ หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นฉบับเดียวที่มีรูปไอ้นี้อยู่ นี่ไง เพราะฉะนั้นแล้วกระทิงแดงตอนนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังจริงๆ คือทหารกอ.รมน. โดยผ่านทางสุดสาย หัสดิน อันนี้คือประสบการณ์ครั้งแรก ประสบการณ์ครั้งที่สองก็คือ เรื่องของพฤษภาทมิฬ ที่เคยเล่าให้ฟังไง ว่าทหารก็มา พอเขายึดอำนาจปุ้บ ผมกินข้าวเที่ยงอยู่ที่โรงแรมปริ้นเซส สมัยก่อนไม่มีมือถือ มีแต่เพจ ทหารมาเต็มออฟฟิศ อย่ากลับออฟฟิศ ปรากฏว่า พล.อ.วิโรจน์ แสงสนิท ตอนนั้นเป็น พล.ท.วิโรจท์ แสงสนิท คุม ปรอ.อยู่ ส่งทหารมาชุด มาเพื่อจะมาจับตัวผม ตั้งข้อสงสัยว่าผมหลบพา พล.ต.มนูญ รูปขจร หลบซ่อนอยู่บนสำนักงานออฟฟิศผู้จัดการตอนนั้น ตอนนั้นก็คืออฟฟิศเก่านะ แล้วก็เวรกรรม ตอนนั้นรู้มั้ว่าใครสนิทกับ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ขรรค์ชัย บุญปาน มติชน เผด็จ ภูริปฏิภาณ นั่งกินเหล้ากันคุยกัน ไอ้สนธิ มันกวนตีนต้องจัดการมัน คือพูดไม่รู้เรื่อง พอปฏิวัติเสร็จเรียบร้อยผมก็หลบ ผมรู้ว่ามาไง หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้จะมาจับผมข้อหาอะไร คือเขากะเล่นลูกมั่ว เวลา วัน วอ เวลา นอ ปฏิวัติกะเล่นลูกมั่วจับผมไปฟาด ปรากฏว่าผมไม่อยู่ ผมหลบ และคนที่ขับรถพาผมหนี อยู่ในกรุงเทพมหานคร ก็เป็นน้องคนหนึ่งซึ่งเป็นตำรวจ ซึ่งอยู่กับผมจนถึงทุกวันนี้ ไม่ตอ้งเอ่ยชื่อคงจะรู้ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปนอนอพาร์ทเมนท์ของใครก็ไม่รู้เป็นเด็ก เมียน้อยใครก็ไม่รู้ บอกว่านอนๆเถอะพี่ ปลอดภัย เด็กผมมันไม่มาวันนี้ บอกให้ไปนอนที่อื่นพี่นอนอยู่เถอะ
วันรุ่งขึ้นทุกอย่างก็สงบไม่มีอะไร ผมก็ไปกินข้าว พี่หนั่นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ผมเคารพเชิญผมไปกินที่โรงแรมรีเจนท์ จริงๆก็คือโฟร์ซีซั่น ล็อบบี้ หลังจากปฏิวัติเดือนหนึ่ง สนธินะ ตอนนี้รุ่น 5 เขามีอำนาจมาก เขาเสพทุกอย่างได้หมดเลย สนธิคบเขาไว้เป็นเพื่อน อยากได้อะไรสนธิได้หมด พี่ครับ ผมไม่ได้เดือดร้อนตอนนี้ พี่ไม่ต้องกังวลถ้าเขาทำทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมืองผมพร้อมที่จะสนับสนุนเขา แต่ถ้าเกิดเขาทำอะไรแล้วมันไม่ถูกต้องอาชีพของผม ผมต้องลุกขึ้นมาสู้ ครั้งที่สองแล้ว เสร็จเรียบร้อยแล้ว พอเกิดพฤษภาทมิฬมีประชาชนชุมนุมกันอยู่ มติชนเงียบ เนชั่นเงียบ ทีวีทุกอันเงียบ มีอีผู้จัดการฉบับเดียวนี่แหล่ะพาดหัวข่าวใหญ่ และปรากฏว่าคนที่ชุมนุมตรงราชดำเนินก็เยอะไปหมด เต็มไปหมด แต่ไม่มีใครรายงานเลย วิทยุ ทีวีก็ไม่รายงาน หนังสือพิมพ์ก็ไม่รายงานผมก็เดินอยู่ตรงกอง บก.หลังวัดชนะสงคราม บ้านสบาย นั่งกันเต็มเลยกอง บก.เอาไงดีวะ สั่งบอกห้ามไม่ให้รายงาน จะปิดหนังสือพิมพ์ เราก็เลยถามคำนูณ สิทธิสมาน รุ่งมณี เมฆสุวรรณ สุรวิชช์ วีรวรรณ ก็น่าจะอยู่ด้วยถ้าจำไม่ผิดนะ ผมถามว่าจะเอายังไง จะลงข่าวหรือไม่ลงข่าว คำนูณบอกว่าพี่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้พี่เป็นเจ้าของแล้วแต่พี่ คำว่าแล้วแต่พี่เราก็มองหน้ามัน บอกว่าแต่ละคนนึกถึงสมัยเราหนุ่มๆทั้งนั้นเลย ไฟแรง อุดมการณ์มาก่อน ความถูกต้องมาก่อน เราก็มองว่าในอดีตเราก็เป็นอย่างมันนี่หว่า แต่วันนี้เรารวยแล้ว ตอนนั้นรวยมากนะ เป็นเจ้าของโรงพิมพ์ตะวันออก มีโรงพิมพ์อยู่ที่ต่างประเทศ ที่เมืองคอสเมซ่า มีนิตยสารบลัส อยู่ที่ลอสแองเจลิส มีโรงพิมพ์ มีบริษัทขายแท่นพิมพ์อยู่ที่แมนเชสเตอร์ มีหมด ก็เหมือนกับทุกวันนี้ คนบางคนเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ แท่นพิมพ์ มีหุ้นอยู่ในบริษัท เป็นอันโน้นเป็นอันนี้ มันต้องหวงสมบัติ แต่วันนั้นเรามองหน้าบอกไม่ไหว กูนอนไม่หลับ บอกเฮ้ย นูณ เป็นไงเป็นกัน เจ๊งเป็นเจ๊งก็เลยบอกสั่งให้พิมพ์ หนังสือไซส์แทบลอยด์พาดหัวเลยว่า ประชาชนชุมนุมเรือนแสน อยู่ที่ราชดำเนิน สั่งพิมพ์ 25,000 เล่ม พิมพ์เสร็จเอาไปแจกแอน แจกฟรีแถวสีลมไปหมดเลย ทั่วกรุงเทพฯ ทำให้คนสมัยนั้นเฟซบุ้ก มือถือไม่มี ไม่มีใครรู้ มีเหมือนกันแต่ไม่ถึงขั้นที่ น้อยมาก ข่าวทีวี เบรกกิ้งนิวส์ไม่มี ข่าว SMS ก็ไม่มี ไม่มีใครรู้เลย เอาไปแจกจนกระทั่งมีด้วยเหรอ
จากนั้นคนก็เลยเดินทางจากสีลม สุรวงศ์ มาที่ราชดำเนินกันเต็มไปหมดคืนนั้นมาก็เลยทำให้ประชาชนเพิ่มขึ้นมาเยอะแยะไปหมด และก็ตบเท้าครั้งที่ 3 ที่ผมเจอก็คือ ผมก็เข้าไปในออฟฟิศเหมือนเดิม เขาเตรียมตัวเล่นงานผมแล้วนะ หลังจากที่แจกหนังสือผมแล้วนะ เขาประชุมกันที่กองทัพภาค 1 มีหนุนภักดีคนหนึ่ง ที่เป็นญาติกับ พล.อ.อิสรพงศ์ หนุนภักดี ตอนนี้เกษียณไปแล้ว แล้วก็มี พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และ พล.อ.อ.สุเทพ เทพรักษ์ พล.ต.อ.ผมจำชื่อไม่ได้แล้ว เขานั่งประชุมกัน เขาบอกว่า คำแรกเขาบอกไอ้สนธินะ ผมมีฉายานะ มีสร้อยต้องไอ้สนธิ บางคนที่เกลียดผมมากบอกไอ้เหี้ยสนธิ มีสองพยางค์ มีที่เหนือกว่านั้น 3 ไอ้ ย.ม.สนธิ
ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้วครั้งหนึ่ง เขาบอกว่าไอ้นี่ขอไม่ให้ ซื้อไม่ขาย ต้องฆ่ามัน เขาพูดอย่างนี้เลยนะ ขอไม่ให้ คือขอให้มาเป็นพวกไม่ยอม จ่ายเงินเพื่อให้มาเป็นพวกไม่เอา มีทางเดียวคือต้องฆ่ามัน เขาก็วางแผง เขาจะส่งทหารชุดหนึ่งมายิงผม ปรากฏว่า มีทหารคนหนึ่งชั้นประทวน ยศประมาณจ่า มีหน้าที่เสิร์ฟน้ำ ผมถึงบอกว่า คนเราทำความดีเอาไว้ ความดีมันตอบสนอง จ่าคนนี้ลูกสาวเรียนธรรมศาสตร์แล้วมาทำงานกับหนังสือพิมพ์เราจบแล้ว คณะวารสารศาสตร์ แล้วได้ทุนไปเรียนอังกฤษ เงินก็ไม่มี คือทุนเขามีให้ ค่าเดินทางไม่มี บ้านจนมาก เด็กก็ไม่รู้จะทำยังไงมานั่งขอลาออก ตอนแรกขอลาออกก่อนนึกว่าจะไปได้ หลังจากนั้นก็ไปไม่ได้เพราะไม่มีเงินไง หาไม่ได้ ค่าเครื่องบินไป ค่าต้องเสียงินในขั้นเริ่มต้น ก็ขอกลับเข้ามาทำงานใหม่ได้มั้ย ก็ถามว่าทำไมล่ำ ไหนบอกจะไปอังกฤษไม่ใช่เหรอ น้ำตาไหล ร้องไห้ บอกพ่อไม่มีตังค์ แม่ก็ไม่มีตังค์ เราก็เลยถามเรื่องอะไรเพราะรู้ เราก็เลยออกค่าเครื่องบินให้ ให้เงินไปก้อนหนึ่ง รู้สึกจะให้ไป 3 หมื่นบาท ประมาณพันปอนด์ตอนนั้น เงินปอนด์ยังไม่แพงเท่าไหร่ ก็เลยเป็นหนี้บุญคุณกัน ทั้งพ่อทั้งแม่มากกราบขอบคุณผมที่ออฟฟิศ ออฟฟิศที่อยู่ริมถนนพระอาทิตย์ นั่งอยู่ชั้น 2 แล้วคนที่นั่งกับผมใครรู้มั้ย เสาวลักษณ์ ไก่ไง เลขาฯ เลยเป็นหนี้บุญคุณกัน บังเอิญจ่าคนนี้เสิร์ฟน้ำตอนที่เขาบอกว่า ขอไม่ให้ ซื้อไม่ขาย ต้องฆ่ามัน แกรู้เรื่อง วันรุ่งขึ้นผมมาที่ทำงานเข้ามาตอนเกือบเที่ยงก็เจอคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนทหารแต่ว่าใส่เสื้อที่ไม่ใช่เป็นเสื้อทหาร ผมเกรียนๆนั่งรออยู่ข้างล่าง
จินดารัตน์ - ค่ะ
สนธิ - ผมก็เข้าไปท่านครับ ท่านครับผมเป็นพ่อของ อ้าวลูกสาวเป็นไง สบายดีครับ อ้าวแล้วมีอะไร มีครับท่าน เข้าไปเล่าให้ฟัง ว่า เขาจะฆ่าท่านคืนนี้ เขาจัดทีมมาแล้ว ผมก็เลยนั่งรถ นี้ไงๆ คือการตบเท่าครั้งที่ 3 นะ ตบด้วยปืน
จินดารัตน์ - ตบด้วยปืน ตบด้วยลูกปืน
สนธิ - เกือบตบด้วยลูกปืน ก็ปรากฏว่า ผมก็ลุกขึ้นมาผมตัดสินใจไปอังกฤษทันทีเลยคืนนั้น ผมก็โทรศัพท์บอกพักพวก ไปเจอกันที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์นะ ใครรู้ป่ะที่นั่งอยู่ ชัช เตาเผา แล้วก็สามีของติ๊ก มาลีรัตน์ แก้วก่า และอีกหลายคนนะ อีกหลายคนที่อยู่ในนั้น หลายคนที่นั่งอยู่ตอนนั้นที่ต่อสู้กับสุจินดา คราประยูร ตอนนั้นเนี่ย ก็เป็นพวก นปช.ด้วย ผมก็บอกไอ้ชัชที่จะไปกันอ่ะนะ ผมก็เซ็นเช็กปุ๊ปให้กรอกตัวเลขเอง เอาไปสนับสนุนชุมนุมกันที่ราชดำเนิน และผมก็ไปที่อังกฤษ ไอ้ชัชก็กรอกตัวเลขและก็เอาเงินก้อนนี้ไปซื้อข้าว ข้าวห่อที่กินกันที่ราชดำเนินตอนนั้นเนี่ย เงินผมทั้งนั้น ครั้งที่ 3 นะ
จินดารัตน์ - มันแรงขึ้นๆ ทุกวันนะคะ
สนธิ - มันแรงขึ้นๆ ครั้งที่ 4 พล.ต.พฤณฑ์ สุวรรณทัต สมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวแทนทักษิณ ชินวัตร มาบอกว่า การซึ่งผมเอา พระเจ้าอยู่หัว มาแอบอ้างเป็นการอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะตบเท้ามายื่นหนังสือ แต่พฤณฑ์ ไม่กล้ามา เพราะว่า กลัวพรุน ก็เลยส่งพันตรี พันโทคนหนึ่งมายื่นหนังสือ ผมยังจำได้นะ บนบันไดตรงบ้านพระอาทิตย์อ่ะ เขายืนข้างล่าง ผมยืนอยู่ข้างบน ค้ำค้ำหัวกบาลเขา ครั้งที่ 4 และนี้ครั้งที่ 5 เนี่ยคือ หน้าวัดเอี่ยมวรนุช 200 นัดไง 200 นัดเข้าใจไหม และนี้ครั้งที่ 6 นุกและมีไรที่ผมต้องตื่นเต้นอ่ะ แอนมีไรต้องตื่นเต้นบาง
จินดารัตน์ - เด็กๆ
สนธิ - ผมไม่ตื่นเต้นแม้แต่นิดเดียวเข้าใจไหม นี้คือประวัติ แต่ว่า สิ่งหนึ่งเนี่ยที่เราได้นะ ผมจะบอกให้ข้อแรกมันเกิดความสามัคคีกัน พนักงานเราทุกคนที่อยู่ใน ASTV ร่วมแรงร่วมใจรักกันมากขึ้นกว่าเก่า แล้วรู้ว่า นี้คือความไม่ถูกต้องที่เรากำลังไม่ได้รับความเป็นธรรม ทุกคนต้องร่วมกันสู้ทุกคนไม่มีใครถอยเลย
กรองทอง - ใช่ค่ะ
สนธิ - จะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย ยายเก๋ ยายนุก ยายแอน จินดารัตน์ ไม่มีใครถอยเป็นไงเป็นกัน มันก็เลยโยงจนถึงจิตใจของพันธมิตรฯ ที่เขาไม่เปลี่ยนแปลงเขาซื่อตรงและเขามั่นคง ที่เขามาอยู่กับพวกเธอนั้นแหละพวกนั้น ถึงมากันนะ อันที่ 2 ที่สำคัญที่สุด แสดงว่า สิ่งที่เราทำนั้นถูกต้องแล้ว เพราะว่า ถ้าไม่ถูกต้องเขาไม่มาข่มขู่อย่างนี้ ถูกไม่ถูก ถูกไหม
กรองทอง - ค่ะ
สนธิ - อันที่ 3 ที่สำคัญที่สุด อันที่ 2 ที่ถูกต้องและเรากล้าทำ อะไรรู้มั้ย เพราะว่าสมัยก่อนเวลาคุณทะเลาะกับทหาร สื่อมวลชนทะเลาะกับทหาร เวลาทหารมันว๊ากทีทุกคนจ๋อยนะ เงียบ แต่เราไม่กลัว เพราะเรายืนอยู่บนธรรม เราใช้ธรรมนำหน้า ไม่มีใครชนะธรรมพระพุทธเจ้าได้ เพราะสิ่งที่เราพูดคือความจริง เราถามก็เหมือนอย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังว่า หลวงตามหาบัวเคยตำหนิพระระดับหลวงปู่ต่อหน้าลูกศิษย์ว่าทำไม่ถูก ปฏิบัติไม่ถูก และท่านก็บอกว่า ที่เราต้องพูดเพราะว่าเราเอาธรรมพูด เมื่อเราเอาธรรมพูดแล้วจะเป็นใครก็ตามเราพูดได้หมด เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มีวันผิด เข้าใจมั้ย สุดท้าย อันนี้ต้องให้เครดิตเขา CEO เราคุณจินตนาถ ลิ้มทองกุล ลูกชายผม เหตุที่เกิดเมื่อวันที่ 17 วันพฤหัสบดี ที่ท่าน ผบ.ทบ.ท่านว๊ากออกมา คุณจินตนาถเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการต่อสู้ในเรื่องการเขียนแถลงการณ์ ออกมาในหน้า 1 และคุณจินตนาถเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้จัดรายการตีแสกหน้าพิเศษ และคุณจินตนาถเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงบอกให้เอาผู้หญิงออก นัยยะตรงนี้มีตรงที่ผมนอนตายตาหลับ เพราะผมมีผู้สืบทอดอุดมการณ์ความถูกต้องไว้เรียบร้อยแล้ว คือถ้าเขาเป็นคนอีกประเภทเอาจะบอก ป๋าอย่าไปทะเลาะทหารเลย ไม่คุ้ม เข้าใจมั้ย แต่เขาไม่ เขากลับบอกป๋าไสช้างออกไปชนกับแม่งเลย แสดงว่าอย่างน้อยที่สุดผมนอนตายตาหลับ ผมไม่มีชีวิตบนโลกนี้ ASTV และเครือนี้ยังจะมีคนซึ่งนำได้โดยที่มีอุดมการณ์และมีความกล้าหาญเหมือนผม ตรงนี้คือ 3-4 อย่างที่เราได้ และในที่สุดแล้วผมก็ขอบคุณที่คุณประยุทธ์ ขอโทษขอโพยมาไม่เป็นไร เรายอมรับคำขอโทษ แต่ผมอยากจะเตือนกลับไปว่า การที่คุณขอโทษและเรายอมรับการขอโทษไม่ได้แปลว่า เราจะหยุดนะ หน้าที่เราคือหน้าที่ของการหาความจริงมาให้กับประชาชน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ตอบอะไร สังคมไมได้ เราต้องถาม อะไรก็ตามที่ไม่มีความโปร่งใสและไม่มีความเที่ยงตรง เราต้องแสดงออก วิพากษ์วิจารณ์นี่คือหน้าที่เรา เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ หน้าที่ของทหาร ไม่ใช่เฉาะทหาร นักการเมือง ข้าราชการทุกคน จะต้องมีหน้าที่ตอบคำถามสื่อมวลชน เพราะว่าเราไม่ใช่สื่อมวลชนเจ้าอื่นๆที่เขาเคยชิน ที่เคยว๊ากเฮ้ยมาทีทุกคนก้มหัวหมด เราไม่ พอมึงเฮ้ยมาเราก็เอ้ยไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วอย่ามาเฮ้ยกับเรา แต่พูดกับเราด้วยเหตุด้วยผล เราพร้อม เพราะเฮ้ยบอกไม่ให้ทำข่าวแอนได้ยินใช่มั้ย กูก็ไม่ทำ แต่ถ้ากูเขียนผิดไปมึงอย่ามาว่ากูแล้วกันนะ นั่นข้อแรก
ข้อที่ 2 เราไม่เคยเรียกเงินเรียกทองใคร เราไม่ได้เป็นเครื่องมือใครให้ไปเลื่อยขาเก้าอี้ใครทั้งสิ้น เราสนใจที่จะถามคำถามซึ่งเป็นคำถามที่ประชาชนจะต้องรู้ และเราไม่ใช่สื่อมวลชนที่รับเงินรับทอง เราไม่ใช่สื่อมวลชนที่จะต้องไปเดินกับนักการเมือง ออฟฟิศเราไม่ใช่ออฟฟิศที่รัฐมนตรีมาเยือน นายกรัฐมนตรีมาเยือน และเจ้าของหนังสือพิมพ์มายืนยิ้ม นึกออกไหม
กรองทอง - นั่งระหว่าง
สนธิ - นั่งระหว่าง และภูมิใจนายกฯ มา ไม่ต้องมา ผมไม่อยากให้มาซะด้วยซ้ำ ที่ทำงานของสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หรือ ASTV ไม่ใช่ที่ที่นักการเมือง จะมาแสดงออกและไม่ใช่ที่ที่เจ้าของสื่อ หรือคนทำสื่อจะมีความภูมิใจ ว่าได้ถ่ายรูปกับนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย ไม่ต้องมา เรารังเกียจด้วย เรารังเกียจจริงๆ เพราะว่าหน้าที่คุณทำหน้าที่คุณได้ดี ผมทำหน้าที่ผมให้ดี และไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องมาคอยเอาเงินที่โน้น ที่นี่มาแอบยัดมือเรา ไมต้อง นักข่าวเราไม่จำเป็นต้องรับบัตรเครดิตจากรัฐมนตรีคนไหน จากคนๆไหนที่ไปใช้ นักข่าวเราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปงานโน้น แล้วรับแจกไอโฟน 5 มาเราคืนหมด ไม่มี เราถืออย่างเดียวเรามีศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีเรา ถึงเราจะจนแต่ก็เราอยู่อย่างคนจนที่มีศักดิ์ศรี ถึงเราจะลำบาก เราก็กลืนเลือดกัดฟันอยู่อย่างคนลำบาก แต่เราจะไม่มีวันขายอุดมการณ์ ถ้าวันไหนเราอยู่ไม่ได้เราจะไม่ขายอุดมการณ์ เราพร้อมที่จะปิดตัวเราเอง แล้วเราอยู่เฉยๆ ดีกว่าที่เราจะเป็นหมา ที่ไปกินเศษกระดูกที่ใครบางคนโยนมาให้ หลังจากที่เขาคอร์รัปชัน กินวัวทั้งตัวไปแล้วโยนกระดูกชิ้นหนึ่งมาให้สื่อมวลชน ซึ่งตอนนี้สื่อมวลชนส่วนใหญ่ทำตัวแบบนี้
กรองทอง - อย่าคิดว่าเราด่าเป็นอย่างเดียวนะ ถ้าคุณทำดีเราก็ชม
สนธิ - ชม เรายินดีที่จะปกป้อง พร้อมที่จะมาปกป้องให้ ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วเราจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ เราจะเดินหน้าหาความจริงของเราต่อไป โดยไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น
กรองทอง - วันหนึ่งถ้าท่านซื้ออาวุธห่วยๆ ด้วยเงินภาษีเรา เราก็จะออกมาแฉ
สนธิ - เราก็จะออกมาแฉ แต่ถ้าท่านลุกขึ้นมาแล้วท่านปกป้องประเทศ ท่านบอกว่าเขมรบุกเข้ามา ท่านสั่งกองทัพ ภาค 2 ต้องรุกกลับไป เราจะเป็นคนแรกและเราจะเป็นคนที่หนุนท่านตลอดเวลา ชัดเจนไหมแอน
กรองทอง - รู้อารมณ์คนเลยค่ะ วันที่เขาตบเท้ามา พ่อแม่พี่น้องที่มายืนอยู่หน้า ASTV เขามาปกป้องสื่อที่ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนที่มันเหลือน้อยเหลือเกิน
สนธิ - พันธมิตรที่เป็นคอจริงๆ ที่เป็นวงในจริงๆเขาไม่มีที่พึ่งแล้วนอกจากเราคนเดียว และเราไม่มีที่พึ่งนอกจากพวกเขา เขากับเราเหมือนเนื้อเดียวกัน แล้วเชื่อผม เชื่อเหอะนุก วันนี้สื่อมวลชนฉบับอื่น มันอายเรา อาย และอิจฉา
กรองทอง - คือเจ้าของจะรู้สึกเฉยๆ แต่ว่านักข่าวด้วยกัน อันนั้นเขารู้สึก
สนธิ - เขารู้สึก เขาต้องรู้สึก แต่ด้วยเหตุนี้ เราไม่ได้มีอะไรกับกองทัพ ไม่มีจริงๆ แม้กระทั่งคุณประยุทธ์ ก็ไม่มี ไม่มี
จินดารัตน์ - ถึง ผบ.ทบ.ไม่มีชื่อประยุทธ์ เราจะทำหน้าที่
สนธิ - เราจะทำหน้าที่อย่างนี้ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบทั้งหมด ถ้าวันนั้นคุณประยุทธ์ คือมันเกิดเหตุจากนักข่าวช่อง 3 ไปถามบอกวันที่ 21 คือวันจันทร์ ที่จะมีการชุมนุมกัน มีคุณสนธิ คุณปานเทพ ไอ้นักข่าวที่ถามมันก็บัดซบ เพราะว่ามันโง่บัดซบ
กรองทอง - คือไม่ทำการบ้าน
สนธิ - ไม่ทำการบ้าน
กรองทอง - ถามแต่ถึงพันธมิตรฯ
สนธิ - หรือว่าจงใจ ผมไม่รู้เท่านั้นเองคุณประยุทธ์ของขึ้น แต่ถ้าคุณประยุทธ์คิดสักนิดหนึ่ง ข้อแรกคุณประยุทธ์มีข้อมูลที่ดี ผมไม่รู้ผมไม่ทราบว่า เขาไปชุมนุมเรื่องอะไร
จินดารัตน์ - ที่ชุมนุมไม่ใช่พันธมิตรฯ สักหน่อย
สนธิ - ไม่ใช่ จะใช่ไม่ใช่ วิธีตอบบอกว่า แต่เขามีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ถ้าเขาจะชุมนุม
จินดารัตน์ - อันนี้ปรี้ดแตก
สนธิ - ใช่ไหมครับ เมื่อพูดเพียงแค่นี้ก็จบแล้ว แต่ถ้าไม่พอใจการรายงานข่าวอะไรของเรา หรือไม่พอใจคอลัมน์ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ต้องบอกว่า หนังสือพิมพ์ผู้จัดการวิพากษ์วิจารณ์ผมเยอะพอสมควร หลายเรื่อง ซึ่งผมคิดว่าหลายเรื่องก็ไม่จริง ผมคิดว่าถ้ามีเวลาผมอยากจะชี้แจง จบ จบไหมแค่นี้ จบเลย ไม่มีอะไร แต่ถ้าเริ่มด้วยไอ้ผู้จัดการห่วย ผมก็มีสิทธิถามว่า แล้วไอ้ ผบ.ทบ.มันห่วยหรือเปล่า ตรงกัน คุณหมัดหนึ่งมา ผมก็หมัดหนึ่งไป พล.ต.อภิรัชต์ต้องการแสดงให้นายเห็นว่า ตัวเองรักนาย ปกป้องนาย ไอ้ผู้จัดการมันถ้อยมันสถุน เสริมเข้าไป เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ไหม แต่จะเรียนให้ทราบว่า เมื่อจบแล้วก็จบ แต่ว่าการเดินหน้าหาความจริงของเราจะจบ ของเราจะไม่มีวันจบตลอดชีวิต ไม่ว่าใครเป็นผู้บัญชาการทหารบก ไม่ว่าใครก็ตาม
จินดารัตน์ - ชื่นชมท่าน ที่ท่านยังเป็นสุภาพบุรุษพอ
สนธิ - โอเคครับ
จินดารัตน์ - ขอโทษ และยอมรับว่า ตนเองอารมณ์ไม่ดี อารมณ์เสียบ่อยๆ กับนักข่าว หลังๆ มาคำรามน้อยลง ก็น่ารักขึ้น นักข่าวเข้าง่ายได้มากขึ้น
กรองทอง - เดี๋ยวเราพักกันก่อนดีกว่านะคะ วันนี้อย่างที่เห็นว่า เราใส่เสื้อคอนเสิร์ตเปิดของขวัญ ซึ่งจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ แต่ว่ารายละเอียดจะเป็นอย่างไร ใครยังไม่มีบัตร ต้องรีบหาซื้อกันได้อย่างไร เดี๋ยวกันพักกันก่อนช่วงหน้ามาคุยกัน สักครู่คะ
คลิก! อ่านต่อ