จินดารัตน์- แล้วรถคันแรกก็เพิ่งหัดขับกันด้วย
สนธิ- เดี๋ยวนี้ไปห้างสรรพสินค้าเจอแต่รถป้ายแดงเต็มไปหมดเลย ผมจะเตือนก่อนนะ เดี๋ยวจะหาว่าผู้เฒ่าไม่เตือน ปีหน้าสงกรานต์เมื่อไหร่ อยู่บ้าน อยู่กับลูก อยู่กับเมีย อยู่กับผัว อยู่เอนจอยความเงียบสงบของกรุงเทพฯ แล้วนอกกรุงเทพฯ บนถนนเส้นสายต่างๆมันจะฉิบหายกันหมดเลย นรกมาเยือนจริงๆไม่ได้พูดเล่น นี่คือไซส์เอฟเฟก แล้วพอปีหน้า แก๊สขึ้นราคา ผมถามคุณซิว่า ข้าวผัดคุณเฉลี่ย 35 บาทใช่มั้ย จานนิดเดียว แล้วคุณคิดว่ามันจะขึ้นอีกเท่าไหร่ อย่างน้อยต้อง 40 นี่เฉพาะข้าวผัดริมถนนนะ แล้วข้าวผัดที่ร้านเป็นคูหาหน่อย ที่มีโต๊ะนั่ง เก้าอี้นั่งดีๆ ต้อง 40-50 แล้ว รายได้คนไม่มีเพิ่มขึ้น คนที่จะรวยอยู่ได้คือแบงก์ บริษัทใหญ่ๆอยู่ได้ SME เจ๊งกันเป็นแถวเลย เหมือนอย่างค่าแรง 300 บาท ผมเคยพูดเหมือนกันบอวก่าค่าแรงดีที่สุดคือต้องให้ลอยตัว บอกไม่เป็นไร 300 จ่ายได้ คือเวลารัฐบาลมันมีนโยบายอะไร ไอ้พวกสภาอุตสาหกรรม ไอ้พวกส้นมือส้นเท้าพวกนี้มันจะเชลียร์รัฐบาล ไม่เป็นไรเดี๋ยวมีเงินชดเชย ร้านก๋วยเตี๋ยวมันจ้างเด็กอยู่ประมาณ 10 คน แล้วมันต้องจ่ายคนละ 300 บาทแทนที่จะจ่าย 150 หรือ 200 มันจะอยู่ได้มั้ยล่ะ ชัดๆแค่นี้พอแล้ว
จินดารัตน์- โชคดีนะที่เรามีโรงครัวพันธมิตรฯ ไม่งั้นจ่ายค่าข้าววันละ 45 อ่ะคุณเติม อาชญากรรมตอนนี้รุนแรงมาก คุณสนธิหลายวันที่ผ่านมาเราอ่านข่าวแล้วเราไม่สบายใจเลย เฮ้ยกระทั่งไปตีหัวคนเข็นรถขายลูกชิ้นทอด ปาดคอแท็กซี่
กรองทอง- ยายฆ่าหลานเหมือนละครเลย ยายร้องไห้แบบใครทับหัวหลาน หลานหายไปไหน ปรากฏเป็นเรื่องหักมุมเป็นยายฆ่าหลาน สังคมเสื่อมน่ากลัว
สนธิ- ความอดทนมันน้อยลง ความเครียดมันสูงขึ้น แล้วก็หิริโอตัปปะมันก็ไม่มี คือเมืองไทยมันเป็นสังคมอำนาจนิยมไม่ใช่สังคมปัจเจกนิยม ถ้าสังคมไทยเป็นสังคมปัจเจกนิยม รัฐบาลชุดนี้อยู่ไม่ได้นานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำมันเรื่องโน้นเรื่องนี้ เพราะว่าปัจเจกนิยมเวลามันรวมตัวรุนแรงมาก แต่อำนาจนิยมธุระไม่ใช่
ปล่อยมัน น้ำมันแพงก็ยอมจ่าย แพงก็จ่าย นายกฯว่าไงเอาว่ากัน คือถ้าจะแก้ปัญหาสังคมไทยในอนาคตต้องแก้ที่ปัญญาคนในเมื่อเรามี ส.ส.ที่มันโง่ยิ่งกว่าควายแต่มันตระกละยิ่งกว่าหมู เพราะฉะนั้นมันแก้ปัญหาสังคมไม่ได้ ถ้าตราบใดเรายังมีการเมืองแบบนี้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นแล้วชุดภาษาของพวกที่เป็นนักเลือกตั้งชุดภาษามันก็คือว่า ต้องมีประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยประชาธิปไตยของมึงคืออะไรวะ ประชาธิปไตยคือากรจำนำข้าวแบบนี้ใช่มั้ย คือการลดภาษี เอาเงินมาแจกพวกมึงใช่มั้ย จะเห็นว่าความด้อยปัญญามันเยอะ เหมือนกับผมพูดเมื่อกี้ก่อนที่เติมจะเข้ามา น่าจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสื่อมวลชน ผมจะพูดตลอดเวลา ว่าความเป็นกลางไม่มี แล้วก็จะทะเลาะเขาไปตลอดเรื่องนี้ ต้องเป็นกลางเราต้องเสนอข่าว 2 ด้าน คุณจะไปเสนอ 2 ด้านได้ไงในเมื่อคุณรู้ข้อเท็จจริงหมดแล้ว ก็แสดงว่าโครงการรับจำนำข้าวมันผิด ทุกมีหลักฐานทุกอย่างแล้วคุณยังจะไปให้อีตาบุญทรงมาสัมภาษณ์อีกทีได้ไง ไม่จริง ให้คนสับสนเปล่าๆ มันต้องมีหลักฐาน ไม่มีหลักฐานจะไม่ว่าเขาได้ไง นี่คืออาจารย์คณะนิติศาสตร์ คุณเห็นหรือเปล่าล่ะ คุณมีอะไรพิสูจน์มั้ย ซึ่งผมเคยยกตัวอย่งที่คลาสสิกให้ฟังหลายครั้ง เมื่อคืนนอนหลับตื่นมาตอนเช้าต้นไม้เปียก ถนนเปียกหมด ฝนตกหรือเปล่า ตก แล้วคุณเห็นหรือเปล่า
สื่อมวลชน การเขียนข่าว การวิเคราะห์ข่าวคือการคาดคะแนโดยเอาองค์ประกอบ สิ่งแวดล้อมเข้ามาแล้วทำให้ตัดสินใจได้ว่า มันต้องเป็นเช่นนี้ เหมือนเรานั่งอยู่ตรงนี้ อากาศอ้าวมากแล้วมีฟ้าแล่บ เเปร้บๆ เมฆดำมืดเลยมองไม่เห็นพระจันทร์แล้วแอนบอวก่าจะตก ตกยังไง เห็นหรือเปล่าล่ะ เข้าใจหรือยัง นี่คือหนังสือพิมพ์เมืองไทยเป็นอย่างนี้ แล้วก็โง่มานานแล้ว สมัยหนึ่งแอนคงได้ยินเรื่องนี้มาแล้ว มีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งชื่อเสียงปวงชน เจ้าของคือเฮียเต็ง กำพล แต่ก่อนเป็นช่างภาพอยู่ไทยรัฐ แล้วไปเอาเงินใครไม่รู้มาสร้างดรงพิมพ์ คนที่เป็นบก.บห.คนแรกใครรู้มั้ย ชูพงศ์ มณีน้อย คนที่เขียนคอลัมน์สำนักข่าวหัวเขียว เฮียเต็งเค้าเป็นคนซึ่งสนิทสนมกับ พล.ต.อ.พจน์ เภกะนันทน์ มาก เขาเป็นลูกน้องคนสนิทเลย ติดพันกัน เป็นหนังสือพิมพ์ เป็นช่างภาพ ถ่ายรูป พล.ต.อ.พจน์ ลงหนังสือพิมพ์ ผมเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย และ บก.บห.ผมตอนนั้น รู้มั้ยหัวหน้าข่าวผมตอนนั้นใคร สุวัฒน์ ทองธนากุล มีอยู่วันหนึ่งตอนเช้าพวกเราจะมีหน้าที่เอาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับมาเปิดดู เราตกข่าวอะไรบ้าง เสียงมวลชนแบับเดียวเลย พาดหัวปั้ง เขมรบุกไทย ทหารไทยยิงตอบโต้นองเลือดคลองเล็ก จ.ตราด ตกใจทั้งโรงพิมพ์เพราะพวกเราทำข่าวสมัยก่อนถ้าตกข่าวแบบนี้เหมือนกับเอาเชือกผูกคอตายเลย ประชุม เฮ้ย มึงตกข่าวแบบนี้ได้ไงวะ ไอ้วัฒน์ก็สไตล์สุวัฒน์ เฮ้ย เอารถออกไปเลย รถโรงพิมพ์ก็ไม่มี ก็ให้เอารถส่วนตัวผม จำได้เลยขับนิสสันอยู่ตอนนั้นตีรถไปตราดเลย กลับมาปรากฏว่าไม่มีพี่ แล้วมันเปิดอะไรขึ้น มันก็เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นผมหัวเราะกันตายห่า นี่คือลักษณะหนังสือพิมพ์เมืองไทย เรื่องของเรื่องก็คือว่า ตอนนั้นเขมรแตก เฮียเต็งนี่เค้าเดินกับ พจน์ เภกะนันทน์ เดินข้ามลานของกรมตำรวจสมัยก่อน นายเวรเข้าวิ่งมา ท่านครับทหารเขมรข้ามเข้ามาจากคลองเล็กครับ เฮียเต็งความที่สัญชาติญาณความเป็นช่างภาพไทยรัฐจมูกไว ไม่ฟังอะไรกระโดดเลย ปั้บ โทรศัพท์เลย เฮ้ยทหารเขมรบุกเข้ามา และแล้วด้วยตรรกะ ว่าเมื่อมันบุกเข้ามาทหารไทยกับตำรวจต้องไม่ยอม ต้องยิงกับมันเลือดต้องนอง ปรากฏว่าไอ้เด็กเราที่ขับรถนิสสันมาบอกว่า มันเข้ามาซื้อบุหรี่กรองทองครับ นี่คือลักษณะสื่อมวลชนเมืองไทยเป็นมานมนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเป็น
รุ่นเก่าๆเขาทำกันมาอย่างนี้ แล้วก็มีคนหนึ่งป๋าทูน นักข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย หัวล้านเหน่งเลย เขียนข่าวกีฬาเก่งฉิบหายเลย รู้สึกจะมีนักมวยที่ไหนไม่รู้ มาจากเมืองนอกจะมาชกกับนักมวยไทย แกต้องไปทำข่าว แกไม่รู้ไปอาบอบนวดที่ไหน วันรุ่งขึ้นประชาธิปไตยฉบับเดียวเขียนเลย ชื่อ จอ แจีค อะไรก็ไม่รู้ มาถึง นักมวยไทยได้ดีแน่เพราะไม่ยอมประกาศจะน๊อกยกที่เท่าไหร่ นักมวยไทยสวนกลับ ว่า ผมจะน๊อกมันก่อนจะน๊อกผม มีฉบับเดียว ไอ้นักมวยคนนั้นตกเครื่องบิน ดีเลย์ ไม่ได้มา เนื่องจากแกไม่ได้ไปทำข่าวแกก็เขียนฉิบหายเลย นี่ที่เรียกว่านั่งเทียนเขียนไง เอาเทียนจุดแล้วก็เขียน มันเป็นอย่างนี้แล้วก็พัฒนามามันเป็นพยายามจะเอาวารสารศาสตร์ สื่อมวลชนมา นิเทศศาสตร์มา สอนบอกว่าไม่ได้นะ ต้องเป็นกลาง ต้องเอาข้อเท็จจริงมา ทีนี้พอสังคมมันเริ่มสลับซับซ้อนขึ้นมามากไอ้คอนเซ็ปต์เป็นกลางมันไม่เวิร์ก คุณไปดูข่าวของนิวยอร์กไทมส์ วอชิงตันโพสต์ คุณไปอ่านให้ดีๆข่าวมันไม่เป็นกลางเลย มันเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง อย่างดีที่สุดไอ้คนที่ถูกกล่าวถึงมันจะไปคุยด้วย แต่ว่ามันเล่าถึงไอ้ความชั่วไอ้บ้านั่นเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ถามนิดหน่อยว่าเป็นยังไงเอง นี่มันเป็นอย่างนี้ แล้วหนังสือพิมพ์สมัยก่อนก็คนละแบบ สมัยก่อนหนังสือพิมพ์ชอบกินเหล้า นกน้อยในไร่ส้ม จริงๆ ตามหัวมุม ข้างโรงพิมพ์จะก๊ก กินกันละ อึ้กๆๆ แล้วก็คุยกันเรื่องโน้นนี้ ขอยืมเงินกัน แล้วชอบกู้เงินแขก โรงพิมพ์ประชาธิปไตยจะอยู่ซอยเพชรบุรี วิทยาลัยครูเพชรบุรี เข้าไปเลยหน้าบ้านคุณสนั่น อดีตปลัดกระทรวงการคลัง พ่อตาของคุณดำรง ลัทธพิพัฒน์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยิงตัวตายในรถหน้าทำเนียบ นักข่าวส่วนใหญ่จะกู้เงินแขก สมัยก่อนเดินยังไง วันนี้แขกก็เดินอย่างนี้ เพียงแต่แขกเดินเข้าไปในตลาด แต่ก่อนแขกเดินเข้าโรงพิมพ์ โรงพิมพ์ข้างล่างเป็นแท่นพิมพ์ ข้างบนเป็นชั้นกอง บก. ก็เดินขึ้นไป ผมนี่นั่งมุมสุดเลย แล้วโต๊ะก็กั้นไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าวันนึงขึ้นมา ป๋าไพทูรย์ที่เขียนกีฬา ที่นั่งเทียนเขียน แกฮึดฮัดขึ้นมา แกนั่งโป๊ะแกเปิดลิ้นชัก แกหยิบวิกแกใส่หัวโป๊ะ ผมก็โห บ้าป่าววะป๋า วันนี้ใส่วิก นัดสาวหรือไง แล้วแกยกหูโทรศัพท์สั่งยาม สักพักหนึ่งยามโทรมา ป๋าแขกมาแล้ว ป๋าขยับหันหลังไม่ให้เห็นหน้า ไอ้บาบูมันลุกขึ้นมาเปิดประตูมันมองหาคนหัวล้าน มันจะทวงดอกเบี้ย ไม่มี มีแต่คนมีผมหมดทุกคน มันก็ถามว่า อีนี่ไพทูรย์หายไปไหนล่ะจ๊ะ ทุกคนก็กลั้นหัวเราะจะตายห่าอยู่แล้ว จะหัวเราะกันตายห่าอยู่แล้ว ไอ้ผมก็เห็น มันไม่กล้ายุ่งกับผม ผมเป็น บก. ไง มันดูสักพักมันก็ลงไป มันจะเป็นอย่างนี้
แต่ว่าสมัยก่อนมันไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ชวนตีกอล์ฟ ให้ตีกอล์ฟฟรี ชวนไปเที่ยวเมืองนอก นักการเมืองบางคนมีบัตรเครดิตให้นักหนังสือพิม์บางคน ใช้ให้เต็มที่ มีหน้าที่อย่างเดียวคอยเขียนเชียร์ผม แล้วคุณสังเกตดูหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่หลายเล่มจะมีคอลัมนิสต์บางคนจะเจาะจงเฉพาะคนนั้น จะเลวแค่ไหน แต่ในสายตาของไอ้หมอนี่เป็นคนดี
จินดารัตน์- อย่างเช่นบินไปสร้างวัดทำอะไรอย่างนี้ใช่มั้ยคะ
สนธิ- ตลอดเวลา สมัยก่อนมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง ยังซื้อกันไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยก่อนเงินมันไม่สำคัญ
จินดารัตน์- เขาถึงบอวก่านักข่าวเมื่อก่อนไส้แห้ง
สนธิ- สมัยก่อนมีลูกพ่อแม่ไม่ให้ทำงานหนังสือพิมพ์ เพราะมันไส้แห้งจริงๆ เงินเดือนมันต่ำมากเลย
กรองทอง- เหมือนอย่างรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาจะมีการจัดงานเลี้ยงสื่อ แจกไอแพดไอโฟน
สนธิ- คือการตลาดมันนำหน้าไปแล้วไงนุ้ก สมัยก่อนมันไม่มีอย่างนี้นี้นะ แล้วไงต่อเชิญ
กรองทอง- คืออย่างเราเห็นที่เป็นข่าว มันแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งใช่มั้ยคะ เบื้องหลังมันมีกระบวนการมากว่านี้มั้ยคะ
สนธิ- สมัยก่อนมีขบวนการ 18 อรหันต์ทองคำ คืออะไร มันจะมีกลุ่มคอลัมนิสต์ในหลายๆฉบับรวมตัวกันแล้วมันจะมีหัวโจก ไอ้หัวโจกนี่คือคนตีกิน ถ้ามีเรื่องกับใคร ไอ้นี่จะไปนั่งกินข้าวกินเหล้าด้วย พี่ครับเรื่องนี้พวกผมต้องการเท่านี้ทุกอย่างจะเงียบหมด ถ้าให้มันก็ไม่พูดถึง ถ้าไม่ให้มันตีกระทบเลย ฉบับนี้เขียนวันนี้ พรุ่งนี้อีกฉบับหนึ่ง นี่ไงเค้าเรียก 18 อรหันต์ และบางคนเดี๋ยวนี้ 18 อรหันต์ยังเป็นที่ปรึกษาทักษิณ ชินวัตร อยู่
จินดารัตน์- จริงๆไม่ควรเรียกมัน 18 อรหันต์เลย
สนธิ- ผมจะเรียกว่า 18 หมาขี้เรื้อน แต่ไหนแต่ไรแล้ว มันเป็นอย่างนี้จริงๆแล้วปรากฏว่าสันดานนี้ก็ถูกผ่องถ่ายมาแต่พัฒนาล้ำหน้าขึ้นไปอีกตอนนี้ เนียนกว่าเยอะ ไม่ต้องไปดูอะไรมาก ไปดู เรื่องเล่าเช้านี้ซิเหมือนกัน คือวันนี้ของจริงแทบไม่เหลือแล้ว ผมถึงบอวก่าส่วนหนึ่งที่เราให้คำมั่นสัญญากับพ่อแม่พี่น้องของเราคือ เราสัญญาว่าเราจะไม่เปลี่ยนแปลง เราเป็นยังไงเราเป็น อย่างนั้นตลอด เราสัญญาว่าเราจะมั่นคงในอุดมการณ์เรา และสำคัญเราสัญญาว่า เราจะซื่อตรง
จินดารัตน์- กรุงเทพโพลล่าสุดเค้าฝืนความรู้สึกคนได้กระชากหัวใจจริงๆนะคะ สุดยอดของความสร้างสรรค์แห่งปี คือยิ่งลักษณ์ นโยบายจำนำข้าว อ่านแล้วเราอยากจะร้องไห้ คือต่อไปนี้เราไม่ต้องอ่านโพลแล้ว มันไม่จำเป็นแล้ว
สนธิ- ไม่ อ่านเพื่อขำขัน ผมทำงานหนังสือพิมพ์มานานแล้ว ผมอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ผมจะรู้ว่าคอลัมน์นี้เขียนแปลว่าอะไร ไอ้นี่รับงานใครมา เราจะรู้หมด พอเราเริ่มมาโตขึ้นเรื่อยๆ นานมาแล้ว จนกระทั่งพอเรามาทำ ASTV เรามาต่อสู้เรื่องพวกนี้ เติมเชื่อมั้ยเดี๋ยวนี้ผมไม่อ่านหนังสือพิมพ์เลย ผมดูมันพาดหัวข่าว เพระาเรารู้หมด ผมขึ้นเครื่องบินแอร์เค้าถามคุณสนธิอ่านหนังสือพิมพ์อะไรดีคะ ผมบอกผมไม่อ่านข่าว ผมรู้มากกว่ามันอีก ไอ้พวกนี้โกหกทั้งนั้น
นงวดี-อันนี้ขอเปลี่ยนเรื่องได้มั้ยคะ คือรู้ว่าคุณสนธิทำหลายอย่างเป็นสื่อ เป็นนัก ธุรกิจ ก็เคยเป็น เป็นนักประวัติศาสตร์ แต่ไม่เคยทราบเลยว่า ครั้งแรกที่คุณสนธิทำงานทำอาชีพอะไร และตอนนั้นรู้หรือยังว่าตัวเองจะมาถึงตรงนี้
สนธิ- ผมจบเมืองนอกมา ผมกลับมาเมืองไทย ผมไปทำงานบริษัทโฆษณาชื่อ ACC เป็นเอเจนซี่ทำโฆษณาให้แอร์สยาม ผมเป็นคนถือแอคเคาท์แอร์สยามนะ ทำอยู่พักหนึ่งก็ไปเจอเพื่อนผมคนหนึ่งอยู่แอร์สยามด้วยกัน เป็นเพื่อนกับคุณณรงค์ เกตุทัศน์ เป็นลุกชายคุณสนั่น เกตุทัศน์ ซึ่งเป็นพ่อตาคุณดำรง ลัทธพิพัฒน์ ก็พาไปที่บ้านที่โรงพิมพ์ประชาธิปไตย นั่งกินข้าวกัน ดำรงก็ฟัง ติดใจ เชิญผมไปคุยกับ อย่าหัวเราะนะ พรรคประชาธิปัตย์ สมัยพี่บุญยิ่ง นันทาพิวัฒน์ รุ่นเก่าแล้ว ตอนนั้นอภิสิทธิ์ ยังเป็นวุ้นอยู่มั้งตอนนั้น ก็คุยกันชอบอกชอบใจใหญ่ให้ผมเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ กรุงเทพมหานคร ตอนนั้นเขาลงหาเสียงกัน ปรากฏว่าผมเป็นคนแรกที่โปสเตอร์เขตเป็นคนละสี เขตนี้สีนี้ เขตนั้นสีนั้น ตอนหลังคุณดำรงก็เลยติดใจฝีมือพยายามเอาผมไปเป็นที่ปรึกษา คุณดำรง กับคุณสนั่นเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย โรงพิมพ์อยู่หน้าบ้านแกจะฉุนมากเพราะว่า บก.ประชาธิปไตยตอนนั้นเขียนข่าวด่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่เรื่อย แกก็บอกว่าต้องเอาสนธิเข้าไปเป็น บก.นะ อยู่กับคุณดำรงเลยรู้ว่า คุณดำรงจบรัฐศาสตร์ รู้สึกจะเป็นรุ่นเดียวกับพี่ปราโมทย์ นาครทรรพ จบรัฐศาสตร์จุฬา คุณดำรงแกไม่ได้ธรรมดา ตอนนี้แกจีบคุณแต๋ว ภรรยาของคุณดำรง แกเล่าให้ผมฟัง แกบอกแม่ยายเก คุณจา ภรรยาคุณสนั่น แล้วคุณสนั่นแกชอบพระอยู่องค์หนึ่งเป็นหมอดู คุณดำรงไปหาพระ ซื้อของถวายท่านตลอดเลยแล้วก็เอาดวงให้ท่านผูกให้เข้ากับดวงของคุณแต๋ว นั่นคือเหตุผลที่คุณดำรงได้แต่งงาน ทีนี้พอพรรคประชาธิปัตย์ได้เลือกตั้งเสร็จผมไม่อยากจะทำงานการเมืองผมก็เลยมาเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย สมัยนั้นกี่ปีแล้วล่ะ ผมเพิ่งจะ 30 เองมั้ง ไม่ถึง 30 ด้วยซ้ำ นงสมัยนั้นเงินเดือนหมื่นสองนะ แต่เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง หลัง 14 ตุลาใหม่ๆ ความวุ่นวายเกิดขึ้นมา มีกระทิงแดง สมัยนั้นหนังสือพิมพ์มติชนก็ใช้หนังสือพิม์หัวชื่อว่าประชาชาติ หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยเป็นหนังสือพิมพ์หัวก้าวหน้า สมัยนั้นผมมีอานุธ อาภาภิรมย์ เขียนอยู่ ให้ทายอีกคนใคร เสถียร จันทิมาธร ไพบูลย์ สุสุเมฆ ตอนนี้ก็หายไปแล้ว และเรามีหัวหน้าข่าวก็คือสุวัฒน์ บก.ข่าสังคมคือจันทรา นัยนา ทีนี้พอไปทำปั้บ ไอ้ความที่เราเคยทำหนังสือพิมพ์มาตอนอยู่เมืองนอก พอเรามาจับหนังสือพิมพ์เราก็ไม่ยอมให้ใครมาครอบงำเรา กลายเป็นว่าดำรงเกลียดผม ว่าผมใช้ไม่ได้ ทำไมผมถุงวิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างนี้ ผมก็พยายามชี้แจงจนกระทั่งวันหนึ่งเนี้ย คุณกฤษณ์ ศรีวรา หลังจากเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลามาแล้ว หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยก็จะลงข่าวคุณกฤษณ์อย่างโน้นอย่างนี้ คุณสนั่นก็ขึ้นมาบอกว่า เรียกผมลูก ผมก็เรียกเขาพ่อ พ่อนี่เพื่อนกฤษณ์เค้านะ ไม่อยากจะให้ไปว่าอะไรเขา หรือไปพูดอะไรถึงเค้า ครับคุณพ่อ ก็ประชุมกอง บก. เจ้าของหนังสือพิมพ์บอกว่าไม่อยากให้เขียนถึงคุณกฤษณ์ ก็ไม่เขียน พอต่อมาเขียนถึงเพื่อนคุณกฤษณ์ แกก็ขึ้นมาอีกเพราะบ้านอยู่ติดโรงพิมพ์ คนนี้เป็นเพื่อนพ่อ เป็นเพื่อนคุณกฤษณ์ จนถึงคนที่ 4 ผมก็เลยถามเลยว่า มีอีกกี่คนคุณพ่อบอกชื่อมาให้หมดเลยครับ นักข่าวหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยมันก็แสบ เพราะผมเล่าให้มันฟังหมดนี่ คุณสนั่นขออย่างนี้ คุณจา ภรรยาของคุณสนั่น เป็นคนขี้หึงมาก อีนี่ก็โทรศัพท์ไปออเซาะ บอกว่าพี่หนั่นอยู่มั้ยคะ เดือนนี้ยังไม่ได้ค่านมลูกเลย เท่านั้นแหล่ะ บ้านแตกเลย แกก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจู่ๆคุณจาเป็นบ้าขึ้นมา เหมือนกับจะทุบตีกันให้ตายไปเลย
ทีนี้มาอยู่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ช่วงนั้นเป็นช่วงที่กำลังมีเหตุการณ์พวกฝ่ายขวา สุดสาย หัสดิน อาละวาดใหญ่ สมศักดิ์ ขวัญมงคล รู้จักดี ผู้พันตึ๋ง เฉลิมชัย มัจฉากล่ำ สมัยก่อนทำหนังสือพิมพ์จำได้เลย นั่งอยู่ปืนพก 11 ม.ม.วางอยู่บนโต๊ะ เพราะมันบุกโรงพิมพ์อยู่ตลอดเวลา ผมบู๊ตั้งแต่สมัยผมยังหนุ่มแล้วนะ และผมเป็นคนแรกที่ไปทำข่าวเทิดภูมิ ใจดี ถูกยิงที่วิสุทธิ์กษัตริย์ ยิงเฉียดหัวไปโดนประตูเหล็ก โบ๋เลย ผมเป็นคนแรกที่ไปก็เลยรู้จักเทิดภูมิตั้งแต่สมัยนั้น สมัยก่อนที่ผมแปลกใจเทิดภูมิสไตรท์โรงแรมดุสิตธานี เป็นหัวหน้าจนปิด แต่พอมาเสธ.อ้าย เทิดภูมิสนิทกับสมพจน์ ปิยะอุย ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมดุสิตเก่า เวลาผ่านไปอะไรก็ลืมไปหมด พอทำอยู่มันเหมือนกับตอนนี้ ASTV ประชาธิปไตยเงินไม่พอ เวลาไปเก็บเงินเก็บเงินสดมา ปรากฏว่าลูกชายเจ้าของดึงเงินสดไปเที่ยวพัฒน์พงศ์เงินก็ไม่มีจ่ายลุกน้อง เวลาไปทำข่าวก็เอารถผมไป ค่าเงินไปทำข่าวไม่มีผมต้องไปขอเงินพ่อผมมาจ่ายนักข่าว เป็นอย่างนี้ตลอดเวลาจนกระทั่งครบปีหนึ่ง ปีหว่าเกือบ 2 ปี ที่บ้านถามตลอดเวลา อ.ปุ๊ ท้องปั้บอยู่ ถามว่าตกลงเธอจะเอาอย่างไรกันแน่กับชีวิตเธอ บริษัทจอห์นสัน จอห์นสันตอนนั้นผมไปสมัครงาน เขียนใบสมัครเค้าสัมภาษณ์ผม เค้ารับผมแล้วนะ ให้เงินเดือนผมเริ่มต้นหมื่นเจ็ดพันบาทเกือบ 40 ปีที่แล้ว พ่อผมแม่ผมส่ายหัว อ.ปุ๊ เงียบ ไม่พูด แล้วแต่เธอ จนกระทั่ง 6 ตุลาเกิดขึ้น พอ 6 ตุลาเกิดขึ้นปังปั้บ เค้าก็ปลดผมเลย กอง บก.ไล่ออกหมด ผมก็เลยออกสู้ครั้งแรกที่เอารูปของคุณทาริกา มาขึ้นหน้าปก คุณทาริกาตอนนั้นเพิ่งเลิกกับแฟนที่เป็นสถาปนิกแค้นใจมากมาถ่ายรูปปก เซ็กซี่สวยมาก แล้วบอกว่าใครมี 3 หมื่น เลี้ยงก้อยได้ 1 เดือน หนังสือพิมพ์ขายดิบขายดี จนกระทั่งแกเข้าไปที่ธนาคารไปเบิกเงิน ไอ้ผู้ชายในธนาคารทะลึ่ง 4-5 คน บอกว่าพี่ๆ ผม4คนรวมกันได้ 3 หมื่นพอจะอยู่กับพี่ได้สักเดือนมั้ย คนละอาทิตย์
ในที่สุดก็ก้าวขึ้นมาเรื่อยๆจนก้าวเข้าสู่วงการเต็มตัวทีละนิด
นงวดี- เรียกว่าเฉียดฉิวกับการเป็นสื่อมวลชนมา
สนธิ- ตั้งแต่ผมอยู่อเมริกาแล้ว
จินดารัตน์- แต่แอนจำได้ว่าโฆษณาหนังสือพิมพ์ที่ฮือฮาคนพูดถึงมาก คือผู้จัดการเปี๋ยนไป๋
สนธิ - ไอเดียใครรู้ป่าว ไอ้เบื้อก บัญชา คามิน ไงล่ะ
นงวดี- หนังสือพิมพ์ที่ทุกคนต้องปีนบันไดอ่าน
สนธิ- นั่นคือความคิดผม เพราะว่า
นงวดี- เรารู้สึกว่าเมื่อไรจะปีนบันไดได้บ้าง
สนธิ- เพราะว่าเราต้องการแยกแยะให้ออก เพราะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการตอนนั้นเป็นหนังสือพิมพ์ที่คนทั่วไปไม่ชอบอ่าน แต่คนมีปัญญาชอบอ่าน เราก็เลยต้องการให้ชัดเจนเลย ถ้ามึงโง่มึงอย่ามาอ่าน แล้วการ์ตูนที่ออกแบบนั่นคือไอ้เบื๊อก
จินดารัตน์- คุณสนธิวันหลังเชิญพี่เบื๊อกมาคุยบ้างมั้ยคะ
สนธิ- ได้ๆๆ มีข่าวดีคือวันนี้เขามาหาผม มาสวัสดีปีใหม่กัน ก็บอกเขา เฮ้ยเบื๊อก รวมเล่มการ์ตูนยุคยิ่งลักษณ์หน่อยได้มั้ย คลาสสิคมาก เขาก็อยากจะทำ ผมบอกเดี๋ยวเปิดปีใหม่มารวมเล่มเลย จะพิมพ์ให้ 4 สี แล้วก็น่าจะขายดี พี่น้องพันธมิตรฯ ต้องซื้อเก็บเอาไว้ เป็นสี่สีหมดเลย
เติมศักดิ์- แต่เขาไม่เคยเปิดหน้า ไม่เคยเปิดโฉมหน้าเลยนะ
สนธิ- เบื๊อกนี่ชื่อชูเกียรติ แต่นามสกุลอย่าไปรู้เลย อย่าไปรู้ว่าหน้าตาเขาเป็นยังไง เขาจบศิลปากร ผมรู้จักเขาเมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว ผมเป็น บก.หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย เขาเดินถือพอร์ตฟอลิโอขึ้นมาเลย พี่ ผมอยากวาดการ์ตูนให้พี่ หนังสือพิมพ์พี่เหมาะกับการ์ตูนผม จากวันนั้นเลย วันนั้นถึงวันนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลย เขาเลือกเลย แล้วพอตอนหลังเขาไปเรียนต่อ แล้วไปทำงานที่ชิคาโก ไปทำงานบริษัทโฆษณา เขาเก่งมาก เขาเป็นครีเอทีฟอยู่ที่ชิคาโก ที่บริษัทโฆษณาใหญ่ที่ชิคาโก เขากลับมาเขาไม่เคยลืม เขาก็มาหาผม เขาก็ยังวาดการ์ตูนให้ตลอดเวลาไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ทำสื่อมวลชนอะไร เขาก็จะมาวาดการ์ตูนให้ตลอด แล้วก็อยู่วงการโฆษณา ได้เมีย เมียก็เป็นเลขาฯ ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทโฆษณาฝรั่ง ยัยไก่ เป็นคนที่ทำตับบดอร่อยมาก ชอบทำตับบดให้ผมกิน ขอบคุณมาก ไก่ เสร็จเรียบร้อยแล้วลูกสาวก็ทำงานบริษัทโฆษณา ลูกชายก็ไปเรียนถ่ายภาพ photography นี่คือเบื๊อก
เติมศักดิ์- อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา
สนธิ- นี่ก็ฝีมือเขา คุณจำได้มั้ยสมัยก่อนมันมีโฆษณาโทรศัพท์อิริคสันเล็กๆ แล้วมีคนหนึ่งมองในรู หาโทรศัพท์ บอกหาอะไร นั่นล่ะ ฝีมือเบื๊อก เขาเป็นครีเอทีฟที่ดีมากๆ แล้วเขาเป็นคนที่ความคิดสร้างสรรค์สุดยอดและที่สำคัญที่สุด เขาเป็นคนที่มีจุดยืนทางสังคมที่ชัดเจน เขาไม่เหมือนคนอื่นเลย
จินดารัตน์- วันนี้เราถึงเหลือแต่คนแบบนี้ คิดเหมือนๆ กัน
สนธิ- คิดเหมือนๆ กัน คือผมได้กล่าววาจาที่เป็นอมตวาจาไปแล้วคราวที่แล้ ผมบอกว่าอายุผมมากแล้ว เวลามีน้อย ผมเลือกคบคน ไม่อยากเสียเวลากับใคร ไร้สาระ ถ้าไล่ไปได้ก็ไล่ไปเลย เดี๋ยวนี้เขาบอกผมแรงหลายๆ คนที่รู้จักผมบอกว่าตอนนี้แรงมากไม่เหมือนแต่ก่อนแต่ก่อนผมเป็นคนไนซ์ ยังไงก็ได้มีอะไรให้ผมช่วย ผมช่วย ตอนนี้มีอะไรบอกจบแล้วมีอะไรอีกไหม ไม่มีไปเลย วงเล็บกูไม่อยากคุยกะมึงต่อ ใช่ไหม คุณถึงจุดจุดหนึงคุณจะเป็นอย่างนี้ เชื่อผมซิ คนที่อยู่ASTV สัมผัสกับข้อมูลแล้วรู้ข้อเท็จจริง แล้วรู้ความจริงรับรู้ความชั่วร้ายของทุกอย่างนี้ ถึงวันวันหนึ่ง คุณจะเบื่อคนที่คุณไปพบด้วยคุณจะเบื่อคนที่คุณไปคุยด้วย ถ้ามันคุยคนละคลื่นความถี่กับคุณ
จินดารัตน์- แอนว่าตอนนี้พวกเราก็เป็นอยู่ก็ เริ่มเป็นละ
สนธิ- จริงๆ มันจะเริ่มมากขึ้นมากขึ้น ผมเคยแนะไปคราวที่แล้ว บอกว่าคุณไม่เชื่อคุณลองไปนัดเจอเพื่อนเก่าๆเลี้ยงรุ่นดูซิ แล้วคุณจะมีความรู้สึกว่าพวกมึงทำไมโง่อย่างนี้ว่ะ แล้วคุณจะมีความรู้สึกเบื่อหน่ายๆ ไม่อยากพูดกับมันเลย เห้ยทำไมเงียบไปละ บางคนมันโม้ แล้วคุณก็รู้ว่าที่มันโม้นี้ผิดหมดแต่คุณเหนื่อยหน่ายเกินกว่าที่จะไปอธิบายให้มันฟังว่าคุณนะผิด ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้เพราะเราเบื่อแล้ว
กรองทอง- เหมือนต้องไปฉายหนังให้ดูตั้งแต่ต้นจนจบอ่ะ
สนธิ- นี่ไงมันจะเป็นอย่างนี้นะ ไอ้คนที่อยู่ที่นี้มันจะเป็นแบบนี้ ไม่ได้พูดเล่นนะ แล้วที่น่ารักอย่างนะ ผมสังเกตุพันธมิตรนี้มีหลายแบบถ้าเป็นวงกลม นะ พันธมิตรจะมีวงกลมรอบนอกสุด รอบในสุด และก็รอบในสุดนี้ฉลาดมีปัญญาสูงส่งพูดอะไรเราไม่ต้องอธิบายเขาเข้าใจ หลายคนฉลาดกว่าเราด้วย อ่านเกมส์ออกหมด ส่วนรอบนอกมาไม่ได้ว่าเขาฉลาดน้อยลงเขาอาจเข้าข้อมูลไม่ถึงรอบในสุด ส่วนไอ้รอบนอกโน้นก็คือประเภทที่ทำไมไม่ไปร่วมกับเสธอ้าย ทิ้งเขาได้ยังไงเมื่อไหร่จะออกสักที เมื่อไหร่จะเป่านกหวีด ผมทนไม่ได้แล้วนะ นั้งเฉยมัวแต่ขายน้ำด่างอยู่นั้นละ
ใหม่- ตอนนี้ต้องสามัคคีกันก่อนนะ
สนธิ- ตอนนี้ต้องสามัคคีกันก่อน เพราะฉะนั้นแล้วความโชคดีของASTV เพราะเรามีพันธมิตรรอบในสุดเยอะ พอสมควร และคนพวกนี้เป็นพวกที่มีเครือข่ายเขาจะพยายามพูดกับคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา ผมถึงบอกว่าวันที่เราต้องร่อนตะแกรงหาพันธมิตรใหม่นี้ เราถึงตอบตัวเองได้ว่าเราไม่แคร์มีเท่าไหร่ มีแค่ไหนเอาแค่นั้น เพราะเรารู้ว่าในที่สุดที่เหลืออยู่ในตะแกรงนั้นคือของจริง เขาถึงบอกไง นักเลงเนี่ย ก็ผู้ใหญี่นี้ละ พี่นันก็ได้ พี่อนันต์ อนันตกูล สมัยก่อนเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย คือผ่านมาหมดแล้วในชีวิต บอกว่าสนธิจำไว้นะ นักเลงจริงมันจะมีคนที่ทำอะไรให้มันได้เพียงคนเดียว คนที่เจ้านายมันบอกเห้ยจัดการมันจะเดินไปและหาทางยิง ที่เหลือของปลอมหมดไอ้ที่ล้อม10 คน 20 คน ของปลอมหมด ของจริงไม่มีคนล้อมของจริงจะพูดจานิ่มๆสุภาพ แต่พูดไม่รู้เรื่อง เพราะมันจะมีของจริงอีกคนหนึ่งและไม่เยอะด้วยนะแค่คนเดียว พี่นันบอกมีแค่คนเดียวเองสนธิ ไอ้เนี่ยมันถึงอยู่ยงคงกระพันมาตลอดเหมือนกัน เมื่อพันธมิตรเรามีของจริงอยู่ถึงจำนวนไม่มากแต่ขอให้เป็นของจริงที่ปัญญา เราชนะ เหมือนหนังเรื่อง 300 ไง ยังไงยังงั้นเลย
จินดารัตน์- ยืนหยัด มั่นคง ไม่หวั่นไหว
สนธิ- ยืนหยัด มั่นคง ไม่หวั่นไหวไม่เปลี่ยนแปลง มั่นคง ซื่อตรง และในที่สุด พวกเราผ่านร้อนผ่านหนาวมาผ่านการกรองกันมาแล้ว คนที่อยู่กับเราออกไปเพราะความจำเป็น ซึ่งเราก็เสียดายแต่เราก็รักเขา แต่ในที่สุดคนที่เหลือในที่สุดถึงจำนวนไม่มาก แต่พอมาวันนี้เขาผ่านศึกสงคราม เขาผ่านโน้นผ่านนี้ผ่านร้อนผ่านหนาว เขาเข้มแข็งมาได้ เหมือนพิธีกรของASTV ที่เหลืออยู่ทุกวันนี้ สำหรับผมถือว่าแกร่ง กล้า อุดมการณ์สูงส่ง เห็นเติมก็ถูกชักชวนไปทำงานที่ใหม่ ทำไมเติมไม่ไป
เติมศักดิ์- คือเรื่องสำคัญที่สุด คือเสรีภาพ มันก็ยังมีเรื่องความผูกพัน พี่น้องต่อคนดู คนชมพวกเราซึ่งหาจากที่อื่นไม่ได้ และความสำคัญที่นี้ผู้ชมคือที่เป็นครูเราได้ เขาสามาถแลกเปลี่ยนและให้ความรู้แก่เราได้เป็นกระจกสะท้อนว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นแนวทางที่ถูกต้อง
จินดารัตน์- ตัวเขาไม่ได้รักเราแบบงมงาย เมื่อเราก้าวเดินผิด หรือว่ามันไม่ถูกต้องเขาจะตำหนิเรา เขาจะบอกเรา เขาจะชี้นำเราทันที
เติมศักดิ์- ใช่ ๆซึ่งมันหาไม่ได้ในสถานีอื่น
สนธิ- และเก๋ที่คลอดลูกอ่ะ มีคนถามถึงตลอดเวลา เก๋หายไปไหน คุณอุษณีย์หายไปไหน
อุษณีย์- ก็มีคนถามถึง ญาติเก๋เขาไปเที่ยว เขาก็ไปเจอก็เป็นเสื้อเหลืองอาม่า เขาก็เดินเข้ามาบอก ญาติเก๋บอกว่า เนี่ยรู้จักรักมากเลย อาเก๋อ่ะ เก๋รู้สึกเป็นควมภูมิใจที่หาที่ไหนไม่ได้เลยเรารู้สึกภูมิใจมากและญาติเราก็ภูมิใจไปด้วย
สนธิ- อธิบายไม่ได้ ผมเนี่ยเคยไปเดินที่ตลาดริมโขง หนองคายเขาเรียกตลาดท่าเดือย เติมเชื่อไหมผมเดินๆอยู่เนี่ย คนโน้นก็ทัก คนนี้ก็ทัก สักพักนึงเนี่ย มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามา คุณสนธิๆคุณลุงๆอย่างเพิ่งไปได้ไหม มานี้หน่อยได้ไหมขอร้อง ยายเดินไม่ได้นั้งรถเข็นเขาอยากเจอลุงเขาตามลุงไม่ทันลุงช่วยหน่อยได้ไหม เขาบอกว่าเอ๋ยอีห่า เขาเรียกลูกหลานมาบอก กูเนี่ยอยากเจอมานานแล้วแล้วเขาก็มาแล้วกูไม่ได้เจอมึงไปเอาเขามาหน่อยได้ไหม กูจะได้ตายอย่างมีความสุข ผมต้องเดินย้อนกลับไป 300-400 เมตรไป โอ๊ยแก่กอดผมน้ำหูน้ำตาไหลตรงนี้ มันซื้อด้วยเงินที่ไหน ไม่มี
จินดารัตน์- หาค่าประเมินไม่ได้
สนธิ-และตรงนี้และอีกหลายๆตรงมัน ทำให้ผมต้องสู้ตลอดเวลาผมถอยไม่ได้
เติมศักดิ์- เสวนาตามต่างจังหวัดส่วนใหญ่พันธมิตรจะมาบอกว่า อย่าไปไหนนะ ดีใจที่ยังอยู่ อย่าไปไหนนะ
จินดารัตน์ - ถึงขั้นว่าเขาตื่นมาทุกวัน เขาต้องมาลุ้นรายการตั้งแต่เช้าเนี่ย พิธีกรเดิมๆยังอยู่ไหม วันไหนนุกลาพักร้อนไปไหน เขาจะโทรมาถามแอนทันที น้องนุกไปแล้วหรอ บอกยังค่ะ เขาลาพักร้อนคุณป้าใจเย็นๆ เขาจะลุ้นทุกวันจนเหมือนเป็นโรคประสาททุกวันนี้ ลุ้นว่าอย่าไปไหนนะ
สนธิ-แล้วรู้ไหมคนที่ดูเราเนี่ย มีอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าใครออกไปเนี่ยตอนแรกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ตอนหลังนี้ เขาจะตามคนนั้นไปดู แล้วเขาจะกลับมา แล้วเขาด่าแทนเรา ดีแล้วไปซะก็ดีไอ้คนอกตัญญูแบบนี้ ยังนี้จริงๆนะ ไม่ได้พูดเล่น ผมสังเกตเฟสบุ๊คเติมศักดิ์ ผมชอบดูเขามีลูกเล่นเรื่องเพลงตลอดเวลาเห็นคนที่เขาไปในเฟสบุ๊คเติมศักดิ์เนี่ยเป็นคนมีคุณภาพทั้งสิ้น
จินดารัตน์ - ใช่ๆ จริงๆ หลายๆคน
เติมศักดิ์- หลายอย่างผมเรียนรู้จากเพื่อนๆในเฟสบุ๊ค จากมวลชนในเฟสบุ๊ค
นงวดี-ไหนๆคุณสนธิก็พูดถึงเรื่องเฟสบุ๊คนี้ ก็นอกเรื่องอีกละ คุณสนธิเล่นเฟสบุ๊กจริงไหมค่ะ
สนธิ- ผมเล่นแต่ผมใช้นามแฝง
เติมศักดิ์- อ้าวหรอ
สนธิ- ผมใช้นามแฝงพวกคุณก็รู้อยู่แล้วว่านามแฝงอะไร บางคนใช่ไหม ไอ้เก๋เนี่ยมันชอบแซวมันเคยแซวมา ว่าหน้าสงสารเนอะ เล่นเฟสบุ๊คทั้งทีเพื่อนก็ไม่มีซักคน
นงวดี- และในเพจคุยทุกเรื่องกับสนธิเนี่ยคุณสนธิเข้าไปดูไหม
สนธิ- ผมเข้าไปดูทุกข่าว อ่านทุกคอมเมนต์ ผมดูหมดผมดูอารมณ์ของคน และผมดูความคิดของคน ผมนี้เรียนรู้จากความเห็นของคนที่เข้ามามาในเฟสบุ๊ค คุยทุกเรื่องกับสนธิ ไม่ใช่ผมไม่อ่านผมอ่านมาก ผมถึงบอกว่าหลายๆอย่างเนี่ย ผมถึงสามารถแบ่งประเภทพันธมิตรออกง่าย
จินดารัตน์ - เพราะฉะนั้นจงดีใจ ถ้าพบคอมเมนต์ไหนถูก กดไลค์อาจจะเป็นคนนี้กดไลค์ มีตอบด้วย
นงวดี- ใช่ชื่ออะไรนะ
สนธิ- แอนมันรู้ ไม่มีเรื่องผมนะนง แต่ผมไม่มีเรื่องผมนะ ผมตั้งชื่อผม เพื่อที่จะบังคับให้พวกอย่างแอน เติมศักดิ์ สุรวิทย์ วีรวรรณ คำนูณ สิทธิสมาน ปานเทพ ให้เขาแอดผมไป จะได้เข้าไปดูเข้าได้
นงวดี- แล้วเขารู้ไหมค่ะ
สนธิ- รู้แต่ผมไม่คอมเมนต์อะไร แค่เข้าไปดูเฉยๆ
อุษณีย์- เอาไว้ดูความเคลื่อนไหว
สนธิ- ดูความเคลื่อนไหว แต่ละคนคิดยังไง โพสเรื่องอะไร เพราะว่าผมอยากจะรู้ความคิดของคนหลายๆความเห็น ของปานเทพนี้ผมอ่านตลอด ของเติมศักดิ์อ่านตลอด ของสุรวิทย์ก็อ่าน
จินดารัตน์ - เพราะคุณสนธิไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าเพจตัวเองละไปอ่านของลูกน้องก็ได้หมดครบ
สนธิ- คือผมอยากรู้ ว่าเขาคิดอะไรบาง และผมอยากรู้ว่าแฟนของพวกเขาแต่ละคนเป็นอย่างไร และจริงๆแต่ละคนจะมีแฟนประจำนะ เติมก็จะมีแฟนประจำ สุรวิทย์ก็จะมีแฟนประจำมีปานเทพที่แฟนเยอะไปหน่อย เพราะหน้าเพจแกมีแฟนตั้ง 2 หมื่นกว่าคนแนะ
นงวดี- เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญหลายด้าน
สนธิ- แต่ผมจะสังเกตของเก๋ของมี ผมจะเข้าไปดู อย่างของนุกยังไม่มี ของแอ้มก็มี ของโก้ รัชชพล ก็มี ผมสังเกตการเปลี่ยนแปลงของคนจากเฟสบุ๊คได้ อย่างเช่นโก้เนี่ย แฟนแอ้มเนี่ย ช่วงหลังนี้ยิ่งนานวันยิ่งแรง
จินดารัตน์ - แรงค่ะแรงได้ใจ
สนธิ- ก่อนหน้านั้นยังกลางๆ ตอนนี้เสียคนละนะ
เติมศักดิ์- จุดเดือดต่ำมาก พี่โก้เรา
สนธิ- จุดเดือดต่ำ อารมณ์ร้อนมาก เหมือนวัยทอง มีอีกคนก็รู้สึกว่าแสดงความรู้สึกอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ บ๊อบบี้เราตอนนี้ก้เริ่มออกความเห็นใช่ไหม ผมดูหมด นี้คือวิธีการศึกษาเรารู้ว่าทิศทางจะเป็นไปอย่างไร แต่ผมภูมิใจวันนี้วันสิ้นปี เราพูดถึงพวกเรากันเพื่อให้พ่อแม่พี่น้อง รู้ผมภูมิใจพวกเราทุกคน ทุกคนเลยเอาเฉพาะที่นั้งในนี้ ผมก็ภูมิใจมากๆ ผมภูมิใจตรงไหนรู้ไหม ผมภูมิใจตรงที่ว่าเราหลายคนมีโอกาสไปที่อื่น ได้รับการให้เงินทองสูงแต่ก็ไม่ไป หลานคนอยู่ต่อเพราะว่ารักงานนี้ ที่ทำอย่างที่เติมพูด รักในเสรีภาพที่มีอยู่ ซึ่งคำว่าเสรีภาพเนี่ยมันก็ซื้อไม่ได้ด้วยเงินเช่นกัน คนเราจะไม่รู้ถึงคุณค่าเสรีภาพจนกระทั่งตัวเองเริ่มไม่มีเสรีภาพถึงจะรู้ ผมพูดไปนี้ไม่ได้พูดเพื่อบีบบังคับคุณ แต่ผมกำลังจะบอกว่าเหตุผลหนึงเนี่ยบางครั้งถ้าคุณไปแล้วคุณก็ต้องกลับมาเพราะคุณรับไม่ได้กับการถูกกำจัดสิทธิเสรีภาพใช่ไหม
จินดารัตน์ - ใช่
สนธิ- ผมเนี่ยรู้มาตลอดเรื่องข้อนี้ข้อที่ 2 ที่ ผมประทับใจคือว่า พวกเราทุกคนที่นั้งอยู่ที่นี้ด้วยเป็นคนที่มีหลักหนักแน่น แล้วที่สำคัญที่สุดรู้ร้อนรู้หนาวรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรอะไรที่ควรจะยืนอยู่อย่างหนักแน่น และไม่หวั่นไหวก็จะยืนอย่างนิ่ง อะไรที่ไม่เอาพวกเราจะไม่รีรอที่จะบอกว่าไม่เอาพวกเราเริ่มจะไม่เกรงใจคนเช่นกันช่วงหลังๆ อีกด้านหนึงที่ผม
____________ จอดำ __________________
สนธิ- หลายคนไอ้ฮวงก็บอกอยู่ว่าสงสารนาย นายเป็นคนดี แต่ลึกๆแล้วเนี่ยผมภูมิใจและที่ผมอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะคุณงามความดีที่พวกคุณมี ทำไมผมต้องสู้ ผมนั้นเพราะผมเห็นพวกคุณผมต้องสู้ถ้าไม่มีพวกคุณผมต้องไปสู้ทำไม ถ้าคนผมโหลยโท่ยอย่างคนที่อยู่บ้างช่องห่วยแตกแบบนี้ ผมพร้อมที่จะธุระไม่ใช่ในชีวิต เพราะฉะนั้นนอกจากพวกคุณแล้ว ก็ยังมีพันธมิตร และพวกคุณเองก็มีแฟนของพวกคุณพวกนี้หมด ซึ่งแฟนของพวกคุณทั้งหมด ก็คือผม แต่ไม่ได้แปลว่าผมมีแฟนมากกว่าคุณ ผมจะบอกว่าผมต้องอยู่เพราะพวกคุณ ผมต้องทำให้พวกคุณอยู่ให้ได้ เพราะคุณไม่สามารถที่จะปฏิเสธแฟนคุณ เพราะวันไหนที่ผมอยู่ไม่ได้ หรือผมทำอะไรก็ตามที่ทำให้คุณอยู่ไม่ได้หรือ ASTV ไม่มี เนี่ยคนที่แฟนคุณก็จะต้องเสียใจ ผมไม่อยากให้แฟนคุณเสียใจ และผมก็ไม่อยากให้คุณเสียใจ เพราะฉะนั้นทุกคนก็รู้และพูดเป็นเสียงเดียวว่าคุณสนธิมีตังคุณสนธิไม่หวง ขนาดไม่มีก็ไม่หวงก็ไปหามาใช่ไหม เพราะฉะนั้นผมจะบอกก่อนสิ้นปีนี้ว่า บอกผ่านไปทางนี้ถึงพนักงานทุกคน ถึงความยากลำบากของเขา แต่ผมก็ภูมิใจที่เขามีอุดมการณ์ หลักการ ที่ถูกต้อง และผมก็ดีใจมาก เวลาผมเห็นทุกคนโดนแฟนเข้ามารุมทัก ผมปลื้มใจแทนพวกคุณ ผมมันผ่านตรงนั้นไปเยอะแล้วไ ม่ใช่ผมเก่งกว่าพวกคุณ ไม่แต่ผมมีความรู้สึก ผมพอใจที่จะแอบดูพวกคุณ และมีความสุขกับพวกคุณ ที่คุณมีความสุขกับแฟนคุณ และแฟนคุณมีความสุขตรงนี้ที่มันซื้อไม่ได้ และบางครั้งการที่ไม่ค่อยมีเงิน แบบผมตอนนี้มันกลับดีกับผม ที่ได้ใจพวกคุณเพราะถ้ามีเงินเยอะบางคนอาจคิดว่าสนธิมันรวย แต่วันนี้คุณทำอะไรคุณคิดว่าวันนี้บริษัทยังไม่ค่อยมีเงิน มีทองเท่าไหร่นะต้องสู้ช่วยเขาหน่อย ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเติมช่วยขนาดไหน เติมนี้เป็นอเนาเซอร์สินค้าเราไม่รู้กี่ตัว ผมฟังเสียงเติมอีกละ เติมอีกละ นึกในใจว่าขอบคุณเติมศักดิ์ และไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียวที่ผมเอาเติมศักดิ์มาทำงาน ไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียวที่รับแอนมาทำงาน ไม่เคยเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียวเอาเก๋ออกมาจากการเป็นเลขาบ๊อบบี้ ไม่เคยไม่เคยเสียใจเรื่องนุกเรื่องนง กลับดีใจที่นงออกจากเนชั่นและมาอยู่ที่นี้ แปลกมากไม่ใช่เฉพาะนงสมัยแอ้มอยู่ ดาอยู่ ออกมาจากที่นั้นนะอยู่ตอนแรกกะผมนี้ยังเขินๆไม่ชินแต่ไปๆมาๆกลับชอบที่นี้มากกว่า
จินดารัตน์ - แม้กระทั่งพี่โสภณ
สนธิ- เออใช่ๆโสภณด้วย
จินดารัตน์ - งั้นต้องให้คุณสนธิอวยพรปีใหม่พี่น้องเราหน่อยนะค่ะ ญาติของเรา
สนธิ- ผมว่าหลายปีที่ผ่านมาเนี่ย ผมมีชีวิตอยู่ได้ เพราะผมมีความรู้สึกว่าอะไรในโลกนี้ไม่สำคัญเท่าใจตัวเราเอง ผมพูดมาหลายครั้งแล้วว่าทรัพย์สินเงินทองมี ก็ไม่มี นาฬิกามี ก็หาย ตายก็ต้องให้เขาไป ไม่รู้เขาจะใช้ไหม รถมีก็เก่า ชนก็พัง อย่างกายวันนี้ยังสาวอ ยู่พอมีลูกก็เบอะบะ อยู่ไปก็แก่ตัวลง มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่มีใครขโมยเราไปได้คือใจเรา ใจเราเนี้ยสำคัญที่สุด พรปีใหม่ที่ผมอยากให้กับทุกคนให้กับพ่อแม่พี่น้องให้กับพนักงานASTVทั้ง 5 คนที่นั้งอยู่นี้ คือ ขึ้นปีใหม่เนี่ยอยากให้รักษาใจให้ดี ถนอมใจ อย่าทำให้มันช้ำ รู้ว่าใจเมื่อไหร่จะสงบ รู้ว่าเวลาใจที่ต้องนิ่งสงบให้เป็นนิ่งให้เป็น และรักษาใจเราให้ดีที่สุด คือพรที่ผมอยากให้ เพราะเสียอะไรก็เสียไปอย่าเสียใจ ผมคิดว่าอันนี้เป็นอมตะวาจาเป็นสัจธรรมที่เป็นหลักแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาเลยคือรักษาใจให้ดี เพราะถ้าใจมันดีคุณจะไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แฟนทิ้งไป มีคนเขียนในเฟสบุ๊คของคุยทุกเรื่องของสนธิ ขอมาพูดเรื่องส่วนตัวหน่อยครับ แฟนผมทิ้งไปผมทำใจไม่ได้ คือถ้าคุณฟังอยู่ผมจะบอกว่า ถ้าผ่านไปซักพักนึงคุณก็จะลืมไปแล้ว คำถามว่าทำไมคุณต้องรอถึงวันนั้น คุณถึงลืม ทำไมลืมวันนี้ไม่ได้ เพราะคุณไปยึดติด รูป เสียง กลิ่นรสเข้าใจไหม เมื่อกี้แอนกินข้าว แกงไก่ขนมจีนอร่อยไหม
จินดารัตน์ - อร่อยค่ะ
สนธิ- ของผมข้าวต้มไข่เจียว เพราะวันนี้ทานมัง ผมรู้สึกว่าอร่อย เพราะผมทานให้มันอิ่มเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเรามีพี่ มีน้อง มีพ่อ มีแม่ มีลูก เติมก็มีลูกชาย แอนก็ลูกสาว 2 คน เก๋ก็ลูกสาวเพิ่งออกมา ลูกชาย นงก็ลูกชาย เราต้องเริ่มสอนให้รู้จักรักษาใจตนเอง เด็กนี้ถ้าเค้าเริ่มรู้จักรักษาใจตั้งแต่เด็กว่าใจเนี่ยสำคัญมาก ให้รักษาใจให้ดีๆพอโตไปเค้าจะเริ่มนิ่ง เริ่มมีสมาธิ เริ่มมีอันโน้นอันนี้ เขาจะเริ่มรู้จักทำใจให้นิ่งๆ เขาจะรู้ใจนิ่งคืออะไร ลูกทำใจให้สงบ คือพ่อแม่เราช่วงหลังเนี่ย เขาบอกว่าธรรมะเด็กไม่เข้าใจ ไม่จริงธรรมะนี้เด็กเข้าใจง่ายที่สุดเลย ลูกเคยคิดไม่ว่าวันนี้ของเล่นที่มันหายเนี้ย มันจะหาย แสดงว่าของมันสามารถหายได้ใช่ไหม แสดงว่ามีวันนี้อีกหน่อยก็ไม่มีได้ใช่ไหม นี่คือธรรมะพื้นฐาน ที่เราต้องเริ่มสอนลูกเราแต่พ่อแม่สมัยใหม่จะไม่สอนแบบนี้พอของหายก็ซื้อให้ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านสอนว่า ธรรมะนี้นะอยู่รอบตัวเราหมดคนตาดีมองเห็นคนตาไม่ดีมองไม่เห็น พรปีใหม่คือก่อนที่เราจะไปสอนลูกนี้ละเราต้องสอนตัวเราก่อนว่า ธรรมะอยู่ที่ไหนเท่านั้นเองคือพรที่มี ไม่อยากให้รวย รวยก็เอาไปไม่ได้ อยากให้ใจสงบ ทรัพย์สินเงินทองพวกนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ ฝรั่งมันก็พูดเวลาผมสอนมันบอกเข้าใจดี แต่เวลาร้องไห้ในรถพอร์ชก็ยังรู้สึกดี ขอนิดนึงนิดนึงก็ได้ หลายคนที่รู้จัก
________________จอดำ_________________
สนธิ- แอนรู้สึกไหมว่าเวลาผ่านในช่วงที่ผ่านมาปี 2 ปีหลังที่ผ่านมาเปลี่ยนไปเยอะ ชัดเขาบอกผมเดียวนี้นิ่งมาก
จินดารัตน์ - ใช่ๆ
สนธิ- เหมือนกัน คนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวจริงๆรู้เหมือนกันแต่เก็บ
________________จอดำ_________________
เติมศักดิ์- เย็นลง เริ่มเย็นลง
สนธิ- เย็นมานานแล้ว
จินดารัตน์ - แต่ขี้รำคาญมากขึ้น
สนธิ-ขี้รำคาญอันนี้จริง แต่ไม่แสดงออกแต่เป็นคนที่กล้าพูดตีแสกหน้ามากขึ้น
จินดารัตน์ - เขาบอกว่ายิ่งกว่าไม้หน้าสาม
สนธิ- ไม่เพราะเราไปได้ธรรมของหลวงตามหาบัวที่ท่านเทศนาลูกศิษย์ระดับหลวงปู่ ที่อยู่ในจังหวัดนครพนม คนเคารพนับถือทั้งจังหวัด ทำให้เราคิดได้นำมาใช้ทั้งชีวิตท่านพูดว่า ท่านรู้ที่เรามาพูดกับท่านในวันนี้เราเอาธรรมมาพูด เมื่อเอาธรรมมาพูดแล้ว ท่านต้องฟังธรรม ท่านจะเป็นใครผมไม่รู้ ท่านจะสนิทกับผมยังไง ท่านเคยเป็นลูกศิษย์ผมมาวันนี้ ธรรมเท่านั้นที่จะเป็นตัวสั่งสอน ท่าน ผมก็ได้รู้ว่าถ้าเราเอาความจริงเอาสิ่งที่ถูกต้องมาพูด อายุไม่มีความหมาย พูดได้หมด เพราะฉะนั้นพวกที่ไร้สาระ เราเอาธรรมาพูด ว่าไปได้แล้วผมไม่มีเวลา มาเสีย กับเรื่องไร้สาระ ชีวิตผมสั้น นี่คือธรรม
จินดารัตน์ - ส่งท้ายปีด้วยสิ่งที่ผ่านมา บางเรื่องที่คุณผู้ชมยังไม่รู้ เราต้องรู้ บางเรื่องบางอย่างที่เราทราบซึ้ง อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ เราสัญญาว่าเราจะไม่ขายเครื่องทำน้ำด่างแต่คอลเซ็นเตอร์ ขอหยุดวันที่ 31 หนึ่งวันโทรมาได้ช่วงวันที่ 1 และช่วงนี้ยังทำงานอยู่
สนธิ- จะเล่าว่าช่วงนี้มาวันที่ 7 ส่งหมดแล้ว และอาจส่งมาเพิ่ม ว่าจะไม่ขายของแล้ว พวกเราขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรที่ซื้อน้ำด่างไปเป็นเรื่องที่ดี นอกจากทำให้สุขภาพดี แล้วยังทำให้เราสามารถอยู่ได้ ขอบพระคุณพี่น้องมาก
จินดารัตน์ - 02-63305353 ค่ะ
กรองทอง- วันนี้สั่งได้ถึงเที่ยงคืนนะ และย้ำว่าวัน เสาร์ที่ 19 มกราคม ตั้งแต่ต้นรายการนะ 19 มกราคม ที่สนามม้านางเลิ้งเที่ยงวันยันเที่ยงคืน ร้องเล่นเต้นกระโดด อาหารฟรี บัตร 1,000 บาท และจะขายบัตรแค่ 5,000 ใบเท่านั้น
จินดารัตน์ - ให้น้องเก๋ลาละกัน
อุษณีย์- วันนี้ซาบซึ้งกันมาพอสมควรแล้วส่งท้ายปีก็ขอให้ทุกท่านมีแต่ความสุข
สนธิ-อยากให้ทุกท่านช่วยอวยพรปีใหม่ทุกท่านผู้ชม
เติมศักดิ์- ปีหน้าที่จะถึงนี้ ก็อยากให้ผู้ชมทุกท่านมีจิตใจแข็งแกร่งขึ้น เป็นความแข็งแกร่งบนความสงบ อย่างที่คุณสนธิพูด เพื่อช่วยกันตรวจสอบ เพื่อช่วยให้บ้านเมืองนี้เดินหน้าไปได้ ท่ามกลางความขุ่นข้องหมองใจตลอดทั้งปีที่ผ่านมา รอบครอบมากขึ้น ทำใจให้นิ่งๆช่วยสร้างชาติบ้านเมืองกันต่อไป
จินดารัตน์ - ส่วนของแอนนะค่ะ จิตแจ่มใสกายแข็งแรงนะค่ะ จิตสั่งกายได้ ใจร่มๆเข้าไว้ค่ะพี่น้อง เมื่อเรามีสติปัญญาก็จะเกิด
กรองทอง- ค่ะก็อยากให้ท่านผู้ชม มีสุขภาพที่แข็งแรงละกันนะค่ะ เพราะถ้าหากกายแข็งแรงใจแข็งแรงทุกอย่างก็พร้อมที่จะก้าวเข้ามา และพวกเราก็อยากจะขอบคุณ ที่สนับสนุนกันมาตลอด พวกเราก็เชื่อว่าคงไม่มีอะไรที่จะมาทำให้หวั่นไหวกันไปได้ แล้วเราผ่านอะไรมาเยอะมาก เราสัญญาว่าปีนี้และปีต่อๆไป ก็จะจับมือแบบนี้ เพื่อที่จะสร้างให้สิ่งดีๆเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่รุ่นเรา แต่เพื่อเป็นรุ่นลูกต่อๆไป
อุษณีย์- ขอให้ทุกท่านแข็งแรงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจนะค่ะ อะไรที่ผิดพลาดไป เริ่มต้นในสิ่งที่ถูกในปีหน้า เคียงข้างกันต่อไป
นงวดี-ขอให้ทุกท่านสุขภาพกาย ใจ สดชื่นแจ่มใส พยายามทำทุกๆวันให้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านคิดถึงสิ่งที่นอกเหนือจากตัวเองด้วย แต่ว่าอย่าลืมตัวเองด้วยเช่นกัน เราจะก้าวต่อไปด้วยกัน และสัญญาพวกเราจะไม่เปลี่ยนแปลง
สนธิ นงวดี อุษณีย์ จินดารัตน์ กรองทอง เติมศักดิ์-พวกเราจะไม่เปลี่ยนแปลง พวกเราจะมั่นคง พวกเราจะซื่อตรง
จินดารัตน์ – ขอเปลี่ยนเนื้อเพลงพี่ตั้วอีกนิดนึงได้ไหมค่ะ
สนธิ - อะไร
จินดารัตน์ - สัญญาว่าจะออกตรง น้องๆ ช่างกล้องขำกันใหญ่เลย วันนี้หมดเวลาแล้วนะค่ะ สำหรับการติดตามชมพบกันใหม่ปีหน้าค่ะ สวัสดีค่ะ