"สนธิ" ย้ำไม่เปลี่ยนจุดยืน อวยพรพธม.รู้รักษาใจ ชี้"แม้ว"สั่งทำประชามติหวังยื้อเวลาโกยเงิน เชื่อพ.ร.บ.เงินกู้ผ่าน จะมีเงินเข้ากระเป๋าคนบางคน 4.8 แสนล้าน วิเคราะห์ปีหน้านโยบายรัฐทำ"ปู" สะดุดขาตัวเอง เอสเอ็มอีเตรียมตัวเจ๊ง เตือนสงกรานต์รถนับล้านเต็มถนน การันตี"ป๋าเปรม"จงรักภักดิ์ดีสถาบันไม่เปลี่ยนแปลง
คลิกที่นี่ สัมภาษณ์ โดย "นายสนธิ ลิ้มทองกุล"
วันที่28ธ.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ว่าสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่สนับสนุนให้พรรคเพื่อไทยแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา เพราะไม่กล้าเสียงกลัวว่าหากใครหยิบมาตรา 112 ขึ้นมาแย้งอีก เขาจะคุมเกมไม่ได้ และที่ไม่ยอมให้ผลักดันต่อวาระสาม ก็กลัวอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนที่หันไปทำประชามติเพราะต้องการซื้อเวลาออกไปอีก 2-3 ปี เพื่อประคับประคองให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ ปล่อยให้ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว เพราะต้องการเก็บเงิน
ทั้งนี้หากรัฐบาลยื้อเวลาออกไปได้สักสองปี พ.ร.บ. เงินกู้ 2 ล้านๆบาทที่จะเข้าสภาเดือนพ.ค. ตรงนี้จะมีเงินตก 30% หรือราว 6 แสนล้าน ในจำนวนนี้จะไปเข้ากระเป๋าคนบางคนถึง 80% หรือ 4.8 แสนล้าน ถึงตอนนั้นหากไม่ได้เป็นรัฐบาล จำเป็นต้องทิ้งประเทศไทยเขาพร้อมจะหอบเงินไปทันที ที่น่าสนใจแกนนำเสื้อแดงบางคนรู้ถึงกับบอกอีกหน่อยทักษิณก็ทิ้งประเทศไทย แต่ไม่ขัดเพราะเป็นช่วงทำเงินของเขาเช่นกัน ฉะนั้นการเมืองจะเป็นการเมืองที่ประนีประนอมตลอดเวลา
"พันธมิตรอย่าได้ไปเสียใจ ตนกล้าพูดได้เต็มปากจะหาคนที่จงรักภักดิ์ดีต่อสถาบันยิ่งกว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม่มีอีกแล้ว อายุ 90 กว่าแล้ว จิตใจยังหนักแน่นมั่นคง ไปอ่านคำพูดให้ดี พล.อ.เปรม บอก"ยอมรับได้ความคิดที่แตกต่าง ในกรณีเอาชาติ ส่วนรวมเป็นตัวตั้ง" นี่คือสัญญาณที่ท่านแสดงออกชัดเจน หากดูพรรคเพื่อไทยแล้วเขาไม่ได้เอาชาติเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง"
นายสนธิ กล่าวว่านโยบายด้านเศรษฐกิจทั้งในเรื่อง รถคันแรก ภาษี เงินกู้เพิ่มเติม ฯลฯ จะทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สะดุดขาตัวเอง ค่าเงินน้อยลงแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น คนที่อยู่ได้และยิ่งรวยเพิ่มขึ้นคือแบงค์ บริษัทใหญ่ๆ ส่วนเอสเอ็มอี เตรียมตัวเจ๊ง เอาง่ายๆอย่างโครงการรับจำนำข้าว วันนี้ต่อให้ระบายเก่งขนาดไหนก็จะเหลืออยู่ในโกดัง อย่างน้อย 8 ล้านตัน เขาบอกขาดทุน 1.5 หมื่นล้าน แต่ตนว่า 2 แสนล้าน ขณะที่รัฐบาลบอกขาดทุนแค่ 7 หมื่นล้าน ก็อยากถามกลับว่า เอาสมองส่วนไหนคิดแล้วเรื่องอะไรจะต้องยอมขาดทุน 7 หมื่นล้าน ใครจะรับผิดชอบ
นายสนธิ กล่าวเตือน สงกรานต์ปีหน้าอยากให้สนุกสนานอยู่บ้าน เหตุโครงการรถคันแรก ผู้ประกอบการจะส่งรถได้หมดราวเดือน ก.พ. - มี.ค. คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ แล้วซื้อรถคันแรก ย่อมอยากเอารถกลับไปอวดคนที่ต่างจังหวัด ขณะที่คนกรุงเทพออกรถก็อยากพาลูก พาแฟน ไปเที่ยว จะมีรถอีกเกือบล้านคันไปสู่ต่างจังหวัด แล้วจะรู้ว่านรกดีๆนี่เอง ที่สำคัญเป็นป้ายแดงหัดขับทั้งนั้น นี่ขนาดโครงการรถยังไม่ครบ ไม่ทันปีใหม่เลยตายไปแล้ว 33 ราย
"หากจะแก้ปัญหาสังคมไทยต้องแก้ที่ปัญญาคน ในเมื่องเรามีส.ส. โง่ยิ่งกว่าควาย ตะกละยิ่งกว่าหมู ฉะนั้นจะแก้ไม่ได้หากเรายังมีการเมืองอย่างนี้ต่อไป"
นายสนธิ กล่าวว่าให้สัญญาจะไม่เปลี่ยนแปลง จะมั่นคง ซื่อตรงในอุดมการณ์ พร้อมกล่าวทิ้งท้ายตนมีชีวิตอยู่ได้ เพราะรู้สึกว่าอะไรในโลกนี้ไม่สำคัญเท่ากับใจตัวเอง ตนพูดหลายครั้งแล้ว ทรัพย์สินเงินทองมีก็ไม่มี นาฬิกามีก็หายตายก็ต้องให้คนเอาไป รถมีก็เก่าชนก็พัง ร่างกายวันนี้ยังหนุ่มสาวต่อไปก็แก่ตัวลง มีอยู่อย่างเดียวที่ไม่มีใครขโมยเราไปได้คือใจ พรปีใหม่ที่ตนอยากให้ รักษาใจให้ดี ถนอมใจอย่าให้มันช้ำ รู้ว่าใจเมื่อไรที่ต้องสงบ เมื่อไรที่ต้องนิ่ง สงบให้เป็น นิ่งให้เป็น รักษาใจตัวเองให้ดีที่สุด
คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 28 ธ.ค. 2555
รายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ออกอากาศทางเอเอสทีวี วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม 2555 เวลา 20.00-22.30 น. ดำเนินรายการโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล นางจินดารัตน์ เจริญชัยชนะ นางสาวนงวดี ถนิมมาลย์ นางสาวกรองทอง เศรษฐสุต นายเติมศักดิ์ จารุปราณ และนางสาวอุษณีย์ เอกอุษณีย์ ร่วมดำเนินรายการ
จินดารัตน์- สวัสดีคะ ขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2555 เราส่งท้ายปีเก่าด้วยเพลงของขวัญ เปิดรายการให้คุณผู้ชมได้รู้สึกเชื่อมั่นในตัวคนเอเอสทีวีมากขึ้น และวันนี้เจ้าของรายการนั่งอยู่กับเราแล้ว ที่สำคัญที่สุดวันนี้เราได้มีน้องๆ ที่ทำงานเบื้องหลังอยู่ในเอเอสทีวีพูดคุยกันด้วย และพิธีกรสาวๆ ของเรา คุณนงวดี ถนิมมาลย์ และน้องนุกของเรา สวัสดีคะคุณสนธิ ก่อนอื่นแอนอยากให้คุณสนธิพูดถึงเรื่องเพลงนี้ก่อน
สนธิ- เพลงของขวัญหรอ ตัวเขาอยากแต่งเพลงให้กับพ่อแม่พี่น้องชาวพันธมิตรฯ เขาขอให้ผมมาร้องเพลง บอกพี่ร้องสักช่วงหนึ่งตอนหนึ่ง แล้วผมจะส่งเสียงมาให้ดูว่า มันควรจะร้องอย่างไร ผมก็ตอนนั้นกำลังยุ่งเลยบอกส่งมา ส่งมา พอส่งมาแล้วผมนึกในใจ คงไม่ได้หรอกล่มแน่นอน ผลปรากฏตั้วบอก อย่าให้พี่ร้องเลย ตั้วบอกเอาอย่างนี้ละกันเดี๋ยวจะมาสัมภาษณ์พี่ เอางั้นไม่เป็นไร แล้วตั้วเขาไปจัดฉากพวกคุณร้อง โดยที่ผมไม่รู้เรื่องเลย แล้วเสร็จเรียบร้อยมีอยู่วันหนึ่งวันเสาร์เข้ามา หลังจากเนื้อเรียบร้อยแล้ว พี่เขาสัมภาษณ์ปรากฏเรื่องที่มหัศจรรย์ที่สุดคือว่า สิ่งที่ผมพูดออกไปที่พวกคุณได้ดูในทีวี และพี่น้องพันธมิตรฯ ได้ดูไม่ได้อยู่ในสคริปต์เลย ไม่มีการเขียนใดๆ ล่วงหน้าเลย พูดออกมาจากใจผมว่า ผมอยากให้อะไรเป็นของขวัญปรากฏว่า มันบูรณาการเข้ากับเพลง คู่ขนานกันไปเลยโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ นั้นคือที่มาของชุดนี้ แล้วผมก็ลืมไป จนกระทั่งวันหนึ่งรายการตีแสกหน้า คุณชัชวาลย์เขาเห็นตั้วส่งเพลงชุดนี้มาเขาบอก ออกเลย ปรากฏว่า ออกรายการตีแสกหน้าครั้งแรก แล้วกลับมาพูดเล่าให้ผมฟังทันที ผมอยากฟังเลยให้อ้อม ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์รายการตีแสกหน้า เขาส่งซีดีมาให้ดู ผมดูแล้วผมยอมรับว่า ผมน้ำตาซึม เพราะว่าทั้งเนื้อเพลง และทำนอง และความหมายของมัน อาจจะประกอบสิ่งที่ผมพูดด้วย มันเป็นเนื้อเดียวกันและทำให้มีความรู้สึกว่า เออใช่นี่คือสิ่งซึ่งพนักงานเอเอสทีวี อยากจะให้กับพี่น้อง พอผมมองเข้าไปลึกๆ แล้ว ผมยังบอกคุณชัชเลย ชัชดูให้ดีๆ นะ พันธมิตรฯ คือเอเอสทีวี เอเอสทีวีคือ พันธมิตรฯ เพราะว่าทุกวันนี้เอเอสทีวีอยู่ได้ เพราะพันธมิตรฯ จริงๆ คนที่มาสนับสนุนเอเอสทีวีด้วยใจ ด้วยเงินด้วยทองด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง คือพันธมิตรฯ เพราะถ้าเขาไม่ใช่พันธมิตรฯ เขาจะไม่ซาบซึ้งกับสิ่งซึ่งเอเอสทีวีทำ และผมชอบที่สุด และผมคิดว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดให้พ่อแม่พี่น้องคือ คำมั่นสัญญาของเราว่า เราจะไม่เปลี่ยนแปลง ว่าเราจะมั่นคง เราจะซื่อตรงใช่ไหมครับ ตรงนี้สำคัญมาก เพราะว่าจริงๆ แล้วมันเป็นพันธสัญญาจริงๆ ไม่ใช่เอเอสทีวีกับพันธมิตรฯ อย่างเดียว มันเป็นพันธสัญญาซึ่งมนุษย์กับมนุษย์เมื่อรู้จักกันแล้ว ต้องมีพันธสัญญานี้ อย่างน้อยที่สุดวันนี้ แอนกับโดมซึ่งเป็นสามีแอนจะไม่เปลี่ยนแปลง เราจะมั่นคง เราจะซื่อตรง
ส่วนนุกอีกหน่อย จะมีแฟนคนไหนก็ตาม สิ่งที่นุกต้องการก็ต้องการอย่างนี้เช่นกัน ฮวงก็มีผัวไปเรียบร้อยแล้ว ฮวงต้องการเช่นนี้เหมือนกัน นงก็ต้องการ ใหม่ มูฮัมหมัด เราก็ต้องการเช่นกัน ใช่ไหม ทีนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงต้องการ ส่วนผู้ชายมันจะทำตามหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่ามันเป็นหลักการ มันเป็นปรัชญาจริงๆ ของสัญญา ผมให้สัญญาชีวิตผมจะไม่เปลี่ยนแปลง ผมให้สัญญาผมจะซื่อตรง อันนี้สำคัญมาก และสิ่งหนึ่งที่พี่น้องพันธมิตรฯ ที่ดูเอเอสทีวีมา กี่ปีและ 7-8 ปีเขาเห็นได้ชัดว่า จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เราไม่เคยเปลี่ยน จากวันแรกที่เราออกจนถึงวันนี้ จุดยืนเราเหมือนกันหมดตลอดเวลา ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียที่จะเปลี่ยนแปลง วันนี้จิ คุณจิราพร ชื่อใหม่ชื่ออะไรผมไม่เคยจำ
ฮวง- รติกร
สนธิ- เห็นไหมผมจำเขาแต่จิราพร ท้องลูกคนที่ 2 แล้วกำลังจะลาคลอด วันนี้พาพิธีกรมาอวยพรปีใหม่ผม มีปุ้ย กาญจนา ทัพจีน นาถฤดีแล้วใครอีกคนผมจำไม่ได้ กานต์ และมีผู้ชายอีกคนหล่อๆ
ฮวง- บาส
สนธิ- ไม่ใช่บาส
จินดารัตน์- แจ็กหรือคะ
สนธิ- แจ็ก มีอีกคนผมนึกไม่ออกใคร ผมถามเขาผมถามอย่างนี้ ผมบอกว่า ถามจริงๆ ตอบผมมาตรงๆ เลยว่า อยู่มาตั้งไม่รู้กี่ปี คุณคิดว่า จากวันแรกที่คุณรู้จักผมจนถึงวันนี้ผมเปลี่ยนไปไหม เขาบอกไม่เปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยน ไอ้คำว่าไม่เคยเปลี่ยนแล้วผมถามว่า พวกคุณที่อยู่กันจนถึง 7-8 ปี คุณเปลี่ยนไหม ไม่เปลี่ยนเหมือนกัน เพราะฉะนั้นตรงนี้ถ้าหากแอน ตรงนี้คือสัจวาจาที่เราให้คำมั่นสัญญาที่เราให้ประชาชน เพราะฉะนั้นแล้วของขวัญปีนี้ ที่เราให้คำมั่นสัญญากับประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องพันธมิตรฯ ของเราว่า เราสัญญาชั่วนิรันดรเราจะไม่เปลี่ยน ไม่เปลี่ยนจากไหน ไม่เปลี่ยนจากความดี ไม่เปลี่ยนจากความถูกต้อง ไม่เปลี่ยนจากคนซึ่งเคยยืนอยู่บนความถูกต้อง แล้วไปยืนอยู่บนความไม่ถูกต้องเราไม่เปลี่ยนเด็ดขาด และเราจะซื่อตรง ซื่อตรงกับใคร ซื่อตรงกับตัวเราเองแล้วเราไม่เปลี่ยนเหมือนกับเราซื่อตรงกับพันธมิตรฯ และประชาชนถูกไหมครับ ถ้าเราซื่อตรงกับอาชีพที่เราทำ เราซื่อตรงกับตัวเราเอง เราซื่อตรงกับทุกอย่างพันธมิตรฯ เมื่อจากภาพใหญ่ลงมาสู่ภาพเล็กเราก็ซื่อตรงกับคนที่เรารัก เห็นไหมครับ เพราะฉะนั้นแล้วจะเล็กขึ้นไปส่วนใหญ่ แต่จริงๆ แล้วที่สำคัญคือ จากใหญ่ลงมาหาเล็ก ถ้าเราซื่อตรงกับประชาชนได้ ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะไม่ซื่อตรงกับครอบครัวเรา ใช่ไหมใช่ นั้นแหละคือที่มาของเพลงนี้
วันนี้เชิญคุณใหม่ มูฮัมหมัด เราและฮวง สองคนซึ่งอยู่เบื้องหลัง เราอยากจะให้ท่านผู้ชมได้รับรู้ว่า สองคนนี้เป็นโปรดิวเซอร์ ฮวงเป็นหัวหน้าโปรดิวเซอร์ คือเขามีหน้าที่ๆ จะจับคนโน้นคนนี้ไปผลิตรายการ รายการตีแสกหน้า รายการโน้นรายการนี้ อยู่ภายใต้การบริหารงานของฮวง แต่ๆ ละรายการจะมีโปรดิวเซอร์ประจำ เช่น ใหม่จะเป็นโปรดิวเซอร์รายการนี้ อ้อมจะเป็นโปรดิวเซอร์ตีแสกหน้า หลายๆ เรื่อง หลายๆ โปรดิวเซอร์สุดแต่เขาจะจัดกัน เพราะฉะนั้นสองคนนี้อยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ที่สำคัญที่สุดที่ผมอยากจะพูด และประเดี๋ยวเติมศักดิ์ กับเก๋ อุษณีย์ จะมา จริงๆ มาแล้วหลบอยู่ตรงมุมนั้น ที่น่ารักอย่างหนึ่งวันนี้ที่จิเขาพาผู้ประกาศข่าวมา และพวกเราที่นั่งที่นี่ ท่านผู้ชมถ้าคิดดูดีๆ ที่เห็นหน้าทุกคนล้วนแล้วแต่ผ่านเวทีต่อสู้มาหมดทุกคน ไม่มีใครหลบที่ไหนเลย ปุ้ยก็ขึ้นเวที คงก็ขึ้นเวที ทุกคนมีบทบาทในการเข้าไปร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อสู้ในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเพียงแต่สองคนนี้ ใหม่กับฮวงอยู่เบื้องหลัง แต่ถ้าคนซึ่งไปชุมนุมตลอดเวลา เดินมาที่หลังเวที ถ้าดูให้ดีๆ จะเห็นว่า ใหม่กับฮวงจะอยู่ตลอดสุดแล้วแต่ช่วงไหน แต่ฮวงจะอยู่กลางคืนมากกว่าจนถึงเช้า ถ้าสองคนนี้อยู่ สองคนนี้คือ หัวใจจริงๆ ของการถ่ายทอดสด ที่คอยกำหนดว่าจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ ทั้งหมดเลยพามาแนะนำให้รู้จัก
นงวดี- เบื้องหลังคนสำคัญ
สนธิ- เบื้องหลังคนสำคัญที่สุด
กรองทอง- อย่างตอนกลางคืน สองคนนี้รอดตำรวจด้วย จะเป็นหน่วยคอยรับตำรวจตลอดที่ได้มากลางคืน
นงวดี- พวกเราอยู่ข้างหน้า พี่น้องจะเห็นแต่เราอยู่ตรงข้างหน้า แต่ว่าถ้าเราไม่มีเบื้องหลัง อยู่ข้างหลังและหนุนให้พวกเราเหมือนกับข้างหน้าเรามีพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ คอยรอดูพวกเราอยู่ คอยรับรู้ข่าวสารจากพวกเราอยู่ เราไม่รู้จะทำตรงนี้ไปเพื่อใคร และจะทำได้ขนาดนั้นหรือเปล่าด้วย
จินดารัตน์- ช่วงที่เราชุมนุมกัน 193 วัน ระดับ บก.ที่ช่อง 3 ถามแอนว่า จ้างบริษัทออแกไนซ์มาทำหรอ ถ่ายทอด 24 ชั่วโมง แอนขำใหญ่เลย แอนบอกว่า เด็กเอเอสทีวีทำ ทำ 24 ชั่วโมงนะ ใช่คะพี่ มันทำได้ขนาดนี้เลยหรอวะ ใช่ไหม 7 วัน 193 วัน ไม่เคยมีวันไหนหยุด
สนธิ- แอนรู้ว่า การถ่ายทอดสด 24 ชั่วโมงเป็นครั้งแรกของโลก เกิดที่เราและคนซึ่งอยู่เบื้องหลังที่สุดไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว นี่ผมคิดถึงเขามาก สายัณห์ เขาจบสถาปัตย์ จุฬาฯ รุ่นพี่ของตั้ว และเขาเป็นรุ่นเดียวกับผมเรียนอเมริกา สายัณห์จบภาพยนตร์จากยูแอลเอ สายัณห์นี่เป็นใคร สายัณห์เป็นศิลปินเต็มตัว อาทติส มากผมจำได้เขาเช่าอพาร์ทเมนต์ แถวเวสต์วูด เขาศิลปินจ๋าเลย กับพวกสร้างภาพยนตร์ และเขาจะคอยรับหนังสือพิมพ์ตอนเช้า พอตื่นตอนเช้ามาสายัณห์จะลุกเลย เดินลงมาเพื่อหยิบหนังสือพิมพ์ ซึ่งเด็กมาส่งทิ้งเอาไว้บนบันไดทางขึ้นอพาร์ทเมนต์ ไม่ใส่เสื้อผ้า จริงๆ สายัณห์เดินแก้ผ้าโทงๆ ไข่แกว่งไปแกว่งมา และก็หยิบหน้าตาเฉยไม่รู้เรื่องเลย แล้วก็ขึ้นไป เฮ้ยไอ้โตเอาไป ผมชื่อโต ผมอัสสัมฯ ศรีราชารุ่นเดียวกับเขา ไอ้โตมึงเอาไป แล้วก็ไปคลุมโปงนอนต่อ ที่ผมใช้มันเพราะว่า ผมจะเข้าห้องน้ำ ยัณห์มึงไปเอาหนังสือพิมพ์ให้กูหน่อย ไอ้ยัณห์บอกไอ้เหี้ยทุกเช้าเลยมึงอย่างนี้ แล้วมันก็ลุกทันที กระโดดแล้วมันก็เดินลงไป คือมันขี้เกียจมันเบื่อ ที่จะลุกขึ้นมาและแต่งตัว นี่คือสายัณห์ เล็กอุทัย สายัณห์ ให้ข้อคิดกับพวกเราเยอะ ผมเสียดายมากที่เขาเสียชีวิต และงานศพเขา ผมอยู่เมืองนอก แต่เขากับผมมีใจหากัน เป็นเพื่อนรักกันมากเลย เขาบอกผมอย่างนี้ บอกไอ้โตมึงรู้ไหม พวกที่ทำทีวีทำผิดหมดเลย ผมบอกผิดตรงไหน ไอ้เคเบิลทุกช่องมันพยายามทำเหมือนฟรีทีวี เอ็งอย่าลืมนี่คือเคเบิล เอ็งร้องมีเอกลักษณ์ของเอ็งเอง เอ็งอยากจะออกก็ออก เอ็งอยากจะหยุดก็หยุด มันพูดอย่างนี้ เอ็งอยากจะเปลี่ยนรายการก็เปลี่ยนไปเลย ไม่มีความจำเป็น และมันเป็นคนพูดตลอดเวลาเลย ทำไมต้องแต่งตัวให้เนี้ยบ และทุกอย่างเป็นเหมือนกับ สมบัติผู้ดี สวัสดีคะ อย่างนี้ใช่ไหม ตายสบาย สายัณห์บอกนี่คือเคเคเบิล นี่คิดถึงเขา การถ่ายทอดสดครั้งแรกสุดความคิดมาจากสายัณห์ 24 ชั่วโมง ถ่ายทอดสดมาจากเขาจริงๆ แล้วถ้าจำได้ ใหม่ ฮวงจำได้ไหม ทุกครั้งที่มีการชุมนุม จะมีคนผอมๆ ใส่ชุดพรางทหาร และนั่งอยู่ข้างโอบี นั่งสูบบุหรี่ กินกาแฟ และยิ้มหัวเราะไปตลอดคืน นั้นคือสายัณห์ เล็กอุทัย
กรองทอง- และอีกอย่างหนึ่ง สำหรับพี่ๆ น้องๆ เบื้องหลังพี่ใหม่ พี่ฮวง หรือว่าจะเป็นพี่โปรดิวเซอร์คนอื่น พี่อ้อม พี่ต้น ถ้าจะเป็นช่วงเช้าเราจะมีเจ้าโอ๋ มีหมง มีน้องแม็กทีมช่วงเช้า ที่เราจะมาอยู่กันช่วงเช้า นอกจากจะดูแลเรื่องการผลิต เรื่องรายการ เรื่องเนื้อหา เวลาหิวเขาให้เราอิ่มก่อนเสมอ เวลาที่จะเกิดอะไรที่เป็นภาวะบีบกดดันคับขัน เขาจะให้เราอยู่ในที่ปลอดภัยเสมอ และเขาจะดูแลเราตลอด
สนธิ- น่ารัก คนของเราน่ารัก
กรองทอง- ใช่น่ารักมาก ถ้าจะให้อิ่มเราต้องอิ่มก่อน ถ้าจะเป็นอะไรเขาจะเป็นก่อน นี่คือพี่ๆ น้องๆ ของเราที่อยู่เบื้องหลังกันมา
สนธิ- คือวันนี้ต้องพูดถึงคนของเราบ้างพอสมควร อันแรกต้องพูดต่อหน้าพ่อแม่พี่น้อง พูดต่อหน้าแอน นุก นง ต้องขอบคุณฮวงต่อหน้าทุกคน ฮวงเหมือนพี่สาวคนโตของบรรดาโปรดิวเซอร์ทั้งหลาย เราผ่านวิกฤตมาเยอะ วิกฤตที่สำคัญที่สุดคือ วิกฤตเงินไม่ค่อยออก ทำให้ลูกน้องฮวงซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์หลายคนลาออกไปเยอะ เราได้ผ่านวิกฤตช่วงนั้นไป และช่วงนั้นฮวงมีแต่บรรดามือใหม่เท่านั้น แน่นอนที่สุดคนที่ชำนาญงานแล้ว กับคนที่เพิ่งมาหัดงาน มันจะมีปัญหาตะกุกตะกักไปหมดเลย แต่ว่าผมต้องชมว่า ฮวงก้าวข้ามตรงนั้นไปได้ ใช้ความอดทน โชคฮวงดีอย่างที่ฮวงมีผม เพราะผมเป็นคนซึ่งไม่สนใจ ทำไปเลยฮวง ถึงเด็กมือใหม่ทำผิดพลาดช่างมัน ไม่ว่าเอาไปเลยเรื่องเล็ก ให้มันเรียนรู้ไป และฮวงมีรุ่นน้องอย่างเช่นใหม่ ใหม่นี่เป็นคนเก่งมาก ผมก็ต้องพูดกันตรงๆ และเป็นคนที่หัวไว สามารถที่จะปรับเปลี่ยนหลายเรื่องได้ และเวลาที่เขาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง ที่เขาเรียนโปรดิวเซอร์ของรายการ เขาพูดกับผม 2-3 คำ เขารู้แล้วผมต้องการอะไร เขาไปจัดมาให้ทันทีเลยที่ ไม่ต้องกำชับว่า ไปเอาไอ้โน้น เดี๋ยวผมจัดการ แล้วเขาจัดการให้ผมทันที
จินดารัตน์- ใช่คะ
สนธิ- ทีนี้คุณภาพของใหม่มันสะท้อนถึงคุณภาพของฮวง ถูกไม่ถูก เพราะฉะนั้นแล้วใหม่ดูแลลูกน้องใหม่ เหมือนที่ฮวงดูแลลูกน้องของฮวง เรามีต้น เรามีอ้อม เรามียายเร ซึ่งสมัยก่อนอยู่วิทยุ เดี๋ยวนี้เริ่มคล่องขึ้น ชำนาญมากขึ้น เดี๋ยวนี้มันอุ้มยี่หวามาหาผม ไม่ใช่หรอกมันมาขอเงินของขวัญปีใหม่คุณตา มันไม่พูดไง แต่เรารู้พอมันอุ้มเด็กมา อุ้มลูกมันมา สวัสดีคุณตา ยี่หวามาไหว้ เรานึกในใจเดี๋ยวกูต้องเสียเงินแน่เลย พอได้เงินแล้วไปเลยนะ
จินดารัตน์- อย่างใหม่เองเขาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เก่งมากอันนี้นยอมรับ
สนธิ- ทุกเรื่องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
จินดารัตน์- ทุกเรื่องคะ แม้กระทั่งปัญหาชีวิตส่วนตัว
สนธิ- ปัญหาชีวิตส่วนตัวใหม่มันอย่างนี้แหละ 1 2 3
จินดารัตน์- จะเก่งมากชำนาญมาก แล้วเขาก็เป็นโปรดิวเซอร์เคาะไข่ใส่ข่าวด้วย
สนธิ- เคาะไข่ใส่ข่าว ใช่
นงวดี- ทีนี้พ่อแม่พี่น้องติดกันแหงมเลย
จินดารัตน์- เขาบอกว่า พิธีกรเสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น ต้องเอามือฉมังระดับนี้มา
สนธิ- เพราะรายการนี้มันเป็นรายการคนบ้าไง
จินดารัตน์- แต่ว่าช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แอนเห็นอย่างหนึ่งอย่างที่คุณสนธิบอกว่า ทั้งสองคนนี้สามารถข้ามช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้น คือน้องทยอยออก ลาออก โปรดิวเซอร์มือใหม่ทั้งนั้นที่เข้ามาอยู่ได้บ้างไม่ได้บ้าง น้องที่เหลือทำงานกันหนักหน่วง
สนธิ- เห็นใจมาก
จินดารัตน์- อยากให้ทั้ง 2 คนลองเล่าดู
สนธิ- ไหนฮวงลองเล่าให้ฟังหน่อย ผมไม่เคยพูดกับฮวงเรื่องนี้ ฮวงจะรู้ว่า เวลาฮวงมีปัญหา ฮวงจะบ่นว่า คุณสนธิตอนนี้เด็กลาออกเยอะ ผมจะบอกว่า แล้วแต่ฮวง มีใครก็ใช้ไป มือใหม่ไม่เป็นไรใช้ไป คือผมจะไม่เข้าไป ฮวงทำไมรายการห่วย ไม่มี ให้เขาทำงานโดยสบายใจ ไหนฮวงลองเล่าฮวงรู้สึกอย่างไร ที่คนลาออกไปเยอะๆ และต้องสร้างเด็กใหม่ขึ้นมา
ฮวง- มีความรู้สึกว่า เหมือนกลับไปนับ 1 ใหม่ เหมือนสมัยเริ่มๆ ที่เริ่มเปิดสถานี ตอนแรกๆ ยังงงอยู่เลยว่า ทำไมคุณสนธิเอารายการนำข่าว เพราะว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสมัยอยู่เนชั่น เนชั่นเขาเอาข่าวนำรายการก่อน ทีนี้ช่วงนั้นก็เอาน้องใหม่ๆ เข้ามา เพราะว่าเราไม่อยากจะเสียจ้างคนที่แพงเข้ามา
สนธิ- จ้างแพงมันก็ไม่มา เพราะมันรู้ว่าได้เงินเดือนช้า
ฮวง- คือเราประสบปัญหาตรงที่ว่า น้องที่เข้ามาต้องตัดต่อเอง อย่างถ้าเป็นที่อื่น เขาจะมีส่วนตัดต่อเลย Editor ให้ เพียงแต่ว่าเราต้องการอะไรบอกเขา แต่ที่นี้มาถึงคุณต้องมาเรียนรู้ทั้งเรื่องเนื้อหา และมาเรียนรู้เรื่องการตัดต่อ แต่เนื้อหาบางครั้งยังอะลุ่มอะล่วยแต่ว่าเรื่องตัดต่อ
สนธิ- เทคนิคจะต้องรู้
ฮวง- ใช่ คือทุกคนต้องใช้จี 5 เป็นตัดต่อเป็น ค่อยๆ เรียนรู้ปรับไปเรื่อยๆ อาจจะเหนื่อยเพิ่มขึ้น ลองไปดูดีเทลน้องตัดได้ไหม เนื้อหาเป็นอย่างไร บางครั้งอาจจะต้องลงไปช่วย จะมีแจงมาช่วยด้วย เอาแต่ละหัวอย่าง มีพี่ต้น พี่ต้นจะอาจไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองมาก ก็ไปช่วยในส่วนรายการอื่นๆ ด้วย จะเอาคนที่เป็นอยู่แล้ว ดันขึ้นมาให้คลุมน้องๆ เป็นกลุ่มๆ ไป จะช่วยแบ่งเบาภาระ
สนธิ- ตอนนี้เบาขึ้นพอสมควรแล้วใช่ไหม
ฮวง- เบาขึ้นแล้วคะ เพราะว่าเก่าๆ ตอนนี้หยุดทยอย
สนธิ- หยุดทยอย
ฮวง- ใช่คะ
สนธิ- เพราะน้ำด่างเปล่า
จินดารัตน์- ต้องขอบคุณน้ำด่าง
ฮวง- ที่ทำให้เงินเดือนออกเร็วขึ้น
สนธิ- เพราะว่าจริงๆ แล้วผมเคยสังเกตว่า และมันเป็นปรัชญาของผม ไม่ว่าเฉพาะทีวี หนังสือพิมพ์เหมือนกัน คนที่อยู่กับพวกเราต้องทำงานเป็นกันทุกคน ทำงานเป็นทุกอย่าง ผมกล้าพูดนะ อย่างอาจหาญเลยว่า ทหารราบของเราไปเป็นแม่ทัพที่อื่น ผมไม่กล้าพูดว่าทหารเลว เอาเป็นว่าทหารไม่มียศ ไปเป็นแม่ทัพที่อื่น และหัวหน้าหมู่ หรือว่าหัวหน้ากองของเราไปเป็นผู้บัญชาการที่อื่น ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้อวดอ้างโอ้อวด เพราะว่าที่นี้สอนให้คนรู้จักงานด้วยตนเอง และต้องทำตั้งแต่ ก ถึง ฮ พวกแอนกับนงไม่รู้หรอกว่า ชีวิตผมเริ่มมาจากการเป็นนักข่าว บรรณาธิการ ผมทำได้ตั้งแต่เขียนข่าว ถ่ายรูป สมัยก่อนผมถ่ายรูปผมใช้กล้องนิคอนเอฟ ไม่ใช่อย่างนี้ ต้องปรับโฟกัส เสร็จเรียบร้อยแล้วผมถ่ายได้แม้กระทั่งภาพข่าวที่เกิดเหตุการณ์ ยิงกัน รถชนกัน หรือแม้กระทั่งแฟชั่น สมัยก่อนเคยได้ยินนิตยสารไหม ผู้หญิง ยุคแรกๆ ผมถ่ายคนเดียวนะ
จินดารัตน์- หรอคะ
สนธิ- ผมทำอยู่คนเดียวเลย ทั้งเขียนเรื่อง คิดนามปากกาเป็นผู้หญิง เป็นคนแก่ เขียนหลายสไตล์ทำหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจะชำนาญหมด สมัยก่อนใครเอาหนังสือมาให้ผมเล่มหนึ่งมาให้ผมตีราคา ผมพลิกดูจำนวนสีกี่หน้า กระดาษประเภทไหน กระดาษปอนด์ กระดาษอาร์ตหนักเท่าไหร่ 120 แกรม หรือ 85 แกรม กระดาษปอนด์เท่าไหร่ กระดาษปรูฟ คุณพิมพ์เท่าไหร่ พอบอกจำนวนพิมพ์มาผมบอกได้ทันทีต้นทุนเท่าไหร่ มันชำนาญถึงขนาดนี้ เพราะฉะนั้นแล้วพอเราขยายกิจการขยายงานขึ้นมา เราอยากให้คนของเราเรียนรู้งาน และไม่มีอะไรแอน ที่จะเรียนรู้งานได้ดีเท่ากับให้เขาเข้าไปสัมผัสงานด้วยตนเอง และอย่าไปจู้จี้เขา สอนเริ่มต้นและให้หกล้ม ล้มลุกคลุกคลานด้วยตัวเขาเอง ขออย่างเดียวเมื่อเขาล้มตรงนี้ งวดหน้าเขาจะไม่ล้มตรงนี้ เพราะเขารู้ว่าตรงนี้มีหลุมพรางเท่านั้นเอง แต่ถ้าล้มแล้วทำให้เสียหายไปเฉยๆ ปล่อยมันไป เพราะฉะนั้นแล้วฮวงจะเห็นว่า เราไม่เคยยุ่งเรื่องพวกนี้เลย ที่เสียใจอยู่อย่างเดียวตอนนี้ ยังมีเงินมากไม่พอที่จะเปลี่ยนอุปกรณ์ สวิตเชอร์ในห้องส่งจำเป็นต้องเปลี่ยน เราซื้อมา 8 ปี 8 ปีสำหรับสวิตเชอร์อันหนึ่งไม่ใช่เก่าแล้ว โคตรเก่าเลย
จินดารัตน์- ใช่คะ
สนธิ- คงจะเร็วๆ นี้ถ้าพ่อแม่พี่น้องยังจะซื้อเครื่องทำน้ำด่าง แต่วันนี้สัญญาว่า จะไม่พูดจะไม่ขายเครื่องทำน้ำด่าง แต่มันเป็นของดีจริง ได้ทั้งสุขภาพและในขณะเดียวกันได้ช่วยเอเอสทีวีด้วย
จินดารัตน์- แอนจำได้ว่า ตอนแอนเข้ามาทำงานที่นี่ใหม่ๆ แอนเห็นประกาศติดเอาไว้ที่ประตูว่า เป็นนโยบายบริษัทให้พนักงานทุกคนเรียนรู้การตัดต่อ ซึ่งในยุคนั้นจี 4 จี 5 ยังไม่มี
สนธิ- จี 5
จินดารัตน์- ยังไม่มีใครใช้เลยคะ แอนบอกจี 5 มันคืออะไร
สนธิ- ผมเล่าเบื้องหลังให้ฟังเรื่องนี้สนุกมาก คนที่มาร่วมกับเราส่วนใหญ่จะมาจากโทรทัศน์ระบบเก่า ไม่ว่าจะเป็นบ็อบบี้ ไม่ว่าจะเป็นคนโน้นคนนี้ คนที่มีไอเดียตรงนี้ และสองคนอยู่ด้วยกัน เหมือนคู่แฝดคนหนึ่งชื่อฉัตรชัย คนหนึ่งชื่อสายัณห์ ฉัตรชัยนี่เขาจบวิศวะ และเขาเป็นคนซึ่งมีความรู้สึกว่า เขาจะหาเทคนิคใหม่ๆ มาทำทีวี เขาพูดกับผมตลอดเวลา และสายัณห์พูดบอก ทำโทรทัศน์ไม่ได้แพงอย่างนั้นหรอก บ้าลงทุนอะไรกัน เห็นกล้องโทรทัศน์ในช่อง 3 ช่อง 7 ช่อง 5 ที่เบ่อเร้อเลื่อนโน้นเลื่อนนี่ไม่มี เขาบอกธรรมดาขอให้กล้องมีเลนส์ดี คนดีโอเคหมดทุกอย่าง ที่ผมพูดถึงตัดต่อสมัยก่อนเวลาเขาตัดต่อ เขาจะเอาเทปเอาเทปใส่รถเข็นเลย มาเป็นทั้งรถเข็นมาดึงเทปมาเสียบ เสียบตรงนี้ตัดตรงนี้ เอาออก เราใช้จี 5 คือแมคอินทอชตอนนั้นซื้อมาก็หนักเหมือนกัน ตู้ละ 2 แสนกว่าบาท ตอนนั้นทุกคนบอกใช้ไม่ได้ แต่ความที่ผมเชื่อมั่นในคุณฉัตรชัย และเชื่อมั่นในตัวสายัณห์เหมือนกับที่คุณต้องเชื่อมั่นในคนบางคนที่คุณจะต้องใช้ชีวิตด้วย คุณต้องศรัทธา ด้วยความที่ผมเชื่อมั่นในตัวเขา ผมถึงแบ็ก ทั้งสายัณห์และฉัตรชัย ให้เดินหน้าจี 5 และกลายเป็นว่าเราเป็นเจ้าแรกที่ใช้ และใช้เยอะที่สุด และคนที่อยู่ในวงการจี 5 ที่อยู่ช่องอื่นทุกวันนี้ หลายคนที่เหมือนกันเรา และหลายคนเอาคนของเราไปทำ และเด็กของเราเข้ามาทำงานจี 5 ตัดต่อด้วยตนเองได้ ใช้แมคอินทอชจี 5 ได้หมดเลย นี่คือที่มาของพวกเรา
จินดารัตน์- เพราะแอนจะงงมากอยู่ช่อง 3 ว่า อยู่ช่อง 3 ทำหน้าที่อ่านข่าวไป ตัดต่อก็อีกคนหนึ่งทำ แต่เข้ามาเห็นพวกน้องๆ ถูกบังคับให้ไปเรียนหมดเลย วันแรกแอนเข้าไปเรียนกับพี่ไก่ ต้องพูดถึงพี่ไก่นิดหนึ่ง พี่ไก่แกเก่งมาก แกสอน เหมือนเราเข็นไม่ไป อายุเกิน พยายามเรียนนะคะ คุณสนธิ ตอนนั้นเราก็
สนธิ- อายุไม่เกินหรอก น้ำหนักเกิน
จินดารัตน์- ก็ยังแปลกใจว่า ทำไมคุณสนธิต้องให้เราไปเรียนตัดต่อ และเครื่องนั้นมันทันสมัยมาก ใช้ไม่เป็น ท้อใจมากเลยตอนนั้น หัวเราะ นี่ต้องไปเรียนบ้าง
กรองทอง- ตอนแรกทุกคนต้องเรียน
สนธิ- นักข่าวต้องตัดต่อเป็น
จินดารัตน์- เพราะพวกน้องๆ กลับมาเขาไปทำสกู๊ปมา เขาตัดเอง แบบแอนทึ่งมาก และพี่ไก่นี่สุดยอด และพี่ไก่ยังคงอยู่กับเรา
สนธิ- ยังอยู่ตลอดตั้งแต่วันแรก ไก่เดิมทีเป็นคนขายจี 5 ให้เรา และมีหน้าที่มาฝึกคนของเรา เรามีเงื่อนไขจะให้ผมซื้อจี 5 ต่อกับเจ้าของร้านที่ไก่เขาทำงานด้วย เพิ่มขึ้นต้องเอาไก่มาทำงานกับเรา ไก่มาวันนั้นถึงวันนี้เลย เป็นน้องที่น่ารักมาก
จินดารัตน์- และหลายคนชมว่า กราฟฟิคของเราทันสมัย เพราะฝีมือพี่ไก่
สนธิ- คือถ้าคนอื่นมาทำทีวีแล้วเห็นเราทำ และเห็นต้นทุนที่เราใช้จะทึ่ง เขาจะทึ่ง
นงวดี- มีอีกนิดหนึ่งเวลาคุณสนธิพูดถึงพี่ฉัตรชัย กับพี่สายัณห์ อันหนึ่งเลยที่เป็นเรื่องขำๆ แต่ว่ามันพิสูจน์ว่า คือเราเป็นทีวีทางเลือกจริงๆ คือเรื่องรถถ่ายทอดสด คือเข้าใจว่าพี่สายัณห์เป็นคนคิด เอาอุปกรณ์ทุกสิ่งมาประกอบเอง และเป็นที่เม้าท์กันมากว่า เวลาเอเอสทีวีเอาไปถ่ายทอดสดที่ไหน โอบีของเราต้องวัดระดับน้ำ ต้องทำเอง ทุกคนงงเพราะว่า สถานีอื่นรถเขาอลังการมาก
สนธิ- คืออย่างนี้รถถ่ายทอดสด ที่จะซื้อฉัตรชัยเช็กราคามาแล้วคันละ 10 กว่าล้าน ไอ้ประเภทนึกออกไหม ขับไปกดปุ่มจานลอยขึ้นอย่างโน้นอย่างนี้ และข้างในมีเครื่องไม้เครื่องมือ ผมก็บอกว่า ยัณห์ 10 กว่าล้านกูก็ไม่มี ไอ้ยัณห์บอกว่า เอาอย่างนี้ดีกว่าไม่เกินล้านกูทำได้
จินดารัตน์- จาก 10 ล้านไม่เกินล้านหรอคะ
สนธิ- คือไปซื้อรถปิคอัพ รถกระบะมาคันหนึ่ง 9 แสนยังจอดอยู่ข้างหลัง
จินดารัตน์- กล้องจับได้หรือเปล่าคะ
สนธิ- ฮวง 9 ปีแล้วนะคันนี้ เสร็จเรียบร้อยก็เอาจานมา ทีนี้ทำอย่างไร 10 กว่าล้านมีกดปุ่มมันขึ้น จากของเราไม่ถึงล้านมันหมุนๆ กันแหลกเลย พอหมุนเสร็จเรียบร้อยบิด ไอ้ข้างล่างดูสัญญาณ ซ้ายอีกนิด ขวาๆ อีกนิด เป็นเรื่องที่ฮา เป็นอะไรบางอย่างที่เวลาถ่ายทอดสด ช่องอื่นไปแล้วเราไปนี่นะโหดมันฮาจริงๆ เด็กของเราตั้งแต่มันเขิน มันอายเหมือนกัน ทำไมมันจะไม่อาย คนอื่นไปฟอร์มเยอะ กดปุ่ม ไอ้นี่ต้องไปหมุนๆ ตะโกนกันอย่างโน้นอย่างนี้ ปรากฏว่าไปๆ มาๆ กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเริ่มทึ่ง และพอบางคนที่อยู่ช่องอื่นเริ่มคิดเป็น ถามว่าราคาเท่าไหร่บอกไม่ถึงล้าน ในขณะที่เขาจ่ายสิบกว่าล้าน ถามว่าถ้าผมมีเงินเยอะจะถ่ายทอดสดคันสิบกว่าล้านไหม ก็ไม่ เพราะนี่คือปรัชญาพอเพียง เพราะฉะนั้นปรัชญาพอเพียงเอามาใช้กับพวกเราได้หมดทุกอย่าง และรถโอบี รถนิสสันที่ใช้อยู่ใช่ไหม
ใหม่- ใช้อยู่ครับ
สนธิ- กี่ปีและ
ใหม่ - 9 ปีครับ
สนธิ- 9 ปีเหมือนกัน ก็ซื้อรถนิสสันตู้มา และสายัณห์ไอ้สุนทรคือ ฝ่ายเทคนิคหัวหน้าช่าง มันจะไปออกแบบตัดต่อตรงนั้น เลื่อยตรงนี้ บัดกรีตรงนั้น ยัดเข้าไป ยัดเข้าไป 9 ปีโอบีคันนี้ยังไม่เคยเปลี่ยนเลย สวิชเชอร์ 8 ปีแล้ว ยังไม่เปลี่ยน นี่คือเอเอสทีวี
จินดารัตน์- จริงๆ อย่างรถถ่ายทอดทั่วๆ ไป 4-5 ปีเขาก็เริ่ม
สนธิ- เปลี่ยนกันหมดแล้ว ผมจะบอกให้รู้ ถ้าเรามีเงินเหมือนอย่างช่อง 3 ช่อง 7 ช่อง 5 ช่อง 9 หรือไทยพีบีเอสนะ ผมว่าเราคือ เสือติดปีก ขณะที่เราอดมื้อกินมื้อ อันนี้เป็นทีวีกระยาจก น้ำพักน้ำแรง ทีวีพักกระยาจกจริงๆ เรายังทำงานออกมาได้แบบนี้ และแอนคิดดูสมัยก่อนดุเดือดขนาดไหน ถ่ายทอดสดโดนขว้าง โดนรังแกตลอดเวลา โดนอำนาจรัฐตลอดเวลา เราเป็นเจ้าแรกที่มาแล้วโดนรังแกตลอดเวลา เด็กของพวกเรายังสู้ ยังฮึดสู้ เลือดตาแทบกระเด็น ไม่ถอยเลยแม้แต่นิดเดียว และจริงๆ เอเอสทีวีเกิดขึ้นเพราะถ่ายทอดสด นั้นคือคอนเซ็ปต์ของเคเบิล เพราะว่าถ้าเราไม่ถ่ายทอดสด อ้าวตัดเข้ามาเข้าสู่ห้องส่งเข้าไปใส่เสื้อนอก แต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าแต่งตาไม่ได้เลย มันผิดประเด็นคนจะไม่สามารถติดตามเหตุการณ์ได้ และพันธมิตรฯ ของเราที่เกิดขึ้นในอเมริกาเต็มไปหมดเลยถ่ายทอดสด และเราเป็นเจ้าเดียวนะ เจ้าแรกนะแอน ที่ถ่ายทอดสดรายการเราไปสู่อเมริกา เจ้าแรกจริงๆ
ฮวง- เพราะช่อง 5 ยังเป็นเทปอยู่
สนธิ- ช่อง 5 ยังเป็นเทปอยู่ แล้วไปเอาโน้นนี่มาใส่ แต่ของเราไม่มี
นงวดี- และคุณสนธิบอกว่า ตอนนั้นที่ถ่ายทอดไปอเมริกาคุณสนธิสั่งไว้เลยว่า เวลาเราเข้ารายการต้องทักทายพี่น้องที่อเมริกาด้วย ต้องสวัสดีคะ คุณผู้ชมที่อยู่ที่นี่ และคุณผู้ชมที่อยู่ที่สหรัฐอเมริกา วันนี้เราจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุณสนธิบอกไว้
จินดารัตน์- จากวันนั้นมาสู่วันนี้ อย่างที่บอกคุณผู้ชมไปว่า 1 ปีที่ผ่านมา มันเป็นช่วงวิกฤตของน้องๆ คุณสนธิอาจจะไม่เคยได้ฟังจากน้องๆ ว่า เวลาเขาจะต้องคุยกับน้องอีกทีเขาจะคุยกันอย่างไร ทำไมคนที่อยู่ใจเขาคิดอย่างไร
สนธิ- ทำอย่างไรฮวงกับใหม่ ถึงจะให้น้องๆ เขาอยู่กับเรา ทั้งๆ ที่เงินเดือนออกช้า
ฮวง- ให้ใหม่ตอบก่อน
ใหม่- ศรัทธาครับ ศรัทธาในองค์กร และเชื่อว่าสิ่งที่ทำมันถูกต้อง
สนธิ- ถูกต้องอันนี้สำคัญ
ใหม่- มันก็จะ น้องๆ จะเข้าใจในจุดนี้ แต่ว่าคนที่ออกไปก็มี แต่ไม่ได้โกรธไม่ได้อะไร
สนธิ- ไม่ได้ว่าเขา เพราะว่าความจำเป็นของคนไม่เหมือนกัน แล้วฮวงละ
ฮวง- จริงๆ แล้วน้องๆ เอง พอทำงานแล้วซึมซับ รู้ว่าสถานี นโยบายเป็นอย่างไร นายเป็นอย่างไร และเขาก็มั่นคง และเขามีความเชื่อมั่นโดยเฉพาะนายอยู่แล้ว โดยที่บางทีหนูไม่ได้พูดเลย
สนธิ- เขาเชื่อมั่นอะไรผม ว่าผมจะติดคุกรอมร่ออยู่แล้ว
ฮวง- คือเขาเชื่อมั่นการที่เราเดินต่อสู้ขึ้นมา และมันก็เป็นความจริง สิ่งที่นายเคยพูดทุกวันนี้มันคือเรื่องจริง ซึ่งเราไม่ต้องไปบอกว่า มันใช่นะอย่างโน้นอย่างนี้ เขาซึมซับด้วยตัวเขาเอง
สนธิ- ฮวงอยู่หรือเปล่าวันที่ ผมตัดสินใจที่จะมาสู้กับทักษิณ และผมเรียกประชุมพนักงานที่สระ อยู่ใช่ไหม แอนอยู่หรือเปล่าวันนั้น
จินดารัตน์- อยู่คะ ไม่รู้นะคะแอนว่า น้องๆ บางคน เขาคงอยู่ด้วยความภาคภูมิใจ ที่วันหนึ่งเขาออกไปเดิน คือตอนนี้ในแวดวงสื่อแอนว่า ลึกๆ เขายอมรับว่า คนที่นี่เจ๋งจริงวะ ทั้งใจทั้งความรู้สึก ถ้ามันไม่แน่จริงมันไม่อยู่มาได้ถึงทุกวันนี้หรอก
สนธิ- คนที่นี่เจ๋งจริง แต่คนที่สนับสนุนเราเจ๋งกว่า เพราะอะไรรู้ไหม ไม่เคยถอยจากเราเลย รักเรามาก จุดเริ่มต้นของโรงครัวพันธมิตรฯ แอนจำได้ใช่ไหม มันเริ่มเพราะว่าเราไม่มีตังค์ เงินเดือนออกช้า พอเงินเดือนออกช้าเลยมีพันธมิตรฯ มาลงขันกัน ขอมุมๆ หนึ่งที่เอเอสทีวีเพื่อทำครัว ทำอาหารแจก มื้อเที่ยง และเป็นสถานีโทรทัศน์อาจจะแห่งเดียวในโลกนี้ ที่เลี้ยงข้าวเที่ยงฟรี และพนักงานเดินถือจานถือช้อนกันต่อคิวกันเพื่อตักข้าว และอาหารถือว่าใช้ได้ด้วยใช่ไหม
จินดารัตน์- ดีเลยคะ
สนธิ- อาหารดี ปรากฏว่า ความเจ๋งของพันธมิตรฯ ที่รักเรา รักขนาดไหน บุ๋งจะติดต่อพวกแม่ยกพันธมิตรฯ เยอะหมดเลย เขามีหน้าที่ยกโทรศัพท์ซ้อ ข้าวจะหมดแล้วนะ เดี๋ยวๆ อั๋วส่งมาให้ เดี๋ยวข้าวมา น้ำแข็งมา หมูมา ไก่มา วันดีคืนดีมีคนมาตั้งครัวเป็นอาหารพิเศษเฉพาะวันนั้นให้ อันนี้น่ารัก ผมคิดว่าอันนี้มันซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ใช่ไหม อย่างที่บอกไง หลายคนที่มาทำครัวเป็นอาซ้อ เจ้าของโรงงาน มีฐานะร่ำรวย แต่มานั่งผัดอาหาร จัดอาหารกันเสร็จเรียบร้อย จนกระทั่งมาตั้งโรงครัวพันธมิตรฯ จนมีคนถามว่า คุณทำงานอะไร วันๆ อยู่แต่ในโรงครัว
จินดารัตน์- จนพวกเราลืมไปแล้วว่า เฮียบุ๋งประกอบอาชีพอะไร
สนธิ- แต่ว่านี่ๆ ไงผมถึงบอกว่า เอเอสทีวีอยู่ได้ 2 อย่าง อย่างแรกเพราะว่าเรามีพันธมิตรฯ ที่เจ๋งมาก ที่รักเรา เข้าใจเรา อันที่สอง พนักงานที่อดทน และเข้าใจเรา และที่สำคัญที่สุดพนักงานยินดีที่จะยืนอยู่บนความถูกต้อง ถึงลำบากก็จะอยู่ เพราะมีอันนี้ถึงมีอันนั้น เพราะมีอันนั้นถึงมีอันนี้ เพราะฉะนั้นความเจ๋งความมั่นคง ความแน่นอน ความไม่เยอะของพนักงานเอเอสทีวี เลยก่อให้เกิดพันธมิตรฯ ที่มั่นคง ที่แน่นอน และที่ไม่เยอะ และถ้าไม่มีพนักงานเอเอสทีวีก็ไม่มีพันธมิตรฯ นี้ ถ้าไม่มีพันธมิตรฯ ที่เจ๋ง พนักงานเอเอสทีวีอยู่ไม่ได้เช่นกัน มันเลยกลายเหมือนกับเชือกเส้นเดียวกันไปแล้ว เชือก 2 เส้นมาแล้วมาผูกเป็นเงื่อนตาย นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเอเอสทีวี ถูกไหมนุก
กรองทอง- ชัดเจนคะ แล้วมันเหมือนแบบพวกเรา อย่างที่การที่เรามีโรงครัว มันคือเหมือนกับคำพูดง่ายๆ เลยเพราะพวกเรากินข้าวหม้อเดียวกัน มันเลยยิ่งทำให้เรารักกัน และที่ต้องพูดถึงคือ นอกจากพนักงานทุกๆ คนแล้ว ยังมีครอบครัวของพวกเขาที่ต้องเข้าใจด้วย เพราะว่าอย่างพวกเราบางทีทำงานเงินเดือนออกไม่ตรง แต่ว่าการใช้ชีวิต การรับผิดชอบครอบครัว เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ หรือมีสามี หรือมีภรรยา หรือมีลูก มันต้องกระทบกันไปหมด เราต้องขอบคุณครอบครัวของพันธมิตรฯ ครอบครัวของพนักงานด้วย ที่เขาอยู่กันแบบเข้าใจสภาพ และเป็นกำลังใจ นุกเชื่อว่าทุกๆ คนมีครอบครัวที่เป็นกำลังใจ
สนธิ- อันนี้จริง อย่างน้อยก็พ่อนุกที่เขาพันธมิตรฯ เต็มตัวเลย แอนก็เหมือนกัน นง ทุกคน คือทุกคนที่อยู่กับเราเอเอสทีวี ถ้าครอบครัวไม่รัก และเข้าใจเขาๆ ทำงานอยู่กับเราไม่ได้
กรองทอง- ใช่เขาจะไม่เข้าใจว่า เรามาทำอะไร
จินดารัตน์- ทำไมถึงจะต้องอยู่ เงินเดือนก็ไม่ตรง ต้องไปเสี่ยงชีวิต สารพัดเหตุผล แอนเคยได้คุยกับน้องช่างภาพคนหนึ่ง แอนไม่รู้จักชื่อน้องเขานะคะ แอนถามเขาว่า อยู่มากี่ปีแล้ว ปีนี้ปีที่ 5 แล้วครับ ลำบากไหมเงินเดือนออกไม่ตรง นิดหน่อยครับ แต่ว่าชินแล้ว ผมปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตนิดหน่อย คือด้วยการไม่อยู่อพาร์ทเมนต์แล้ว กลับไปอยู่ที่บ้าน เพราะที่บ้านมีแม่ทำกับข้าวให้กิน ค่าอาหารเย็นไม่ต้องเสีย ตอนเช้าผมถีบจักรยานมาทำงาน
สนธิ- และที่ให้เรากินฟรี
จินดารัตน์- เขาบอกผมก็โอเคนะพี่ ผมว่าอยู่ที่นี่มันสุขใจ แอนก็จบและ แค่นี้แอนแฮปปี้และ แอนได้ยินคำตอบน้องๆ
กรองทอง- นุกเคยไปเจอเพื่อน เพื่อนนุกบางคนก็เป็นผู้จัดการ มีเงินเดือน ขับรถคันโต เขาก็จะถามเราว่าไม่อยากย้ายงานเหรอ ทำไมไม่ไปทำงานที่อื่นล่ะ เขาขับป้ายแดง มีรถคันใหญ่ เราก็มีรถของเรา เราก็บอกว่า ก็ตอนนี้เรามีความสุขแล้ว
สนธิ- เพื่อนนุกเขามีความสุขกับวัตถุ แต่นุกมีความสุขกับใจ เพราะฉะนั้นแล้ว อะไรมันอยู่นานกว่ากัน ทั้งแอนกับนง ก่อนจะมาอยู่เอเอสทีวี เคยทำงานอยู่ที่อื่น เปรียบเทียบหน่อยซิ ระหว่างอยู่เอเอสทีวี กับอยู่ที่อื่นเป็นยังไง นงก่อน
นงวดี- นงก่อนมาอยู่เอเอสทีวี อยู่ที่เนชั่นค่ะ ก็เริ่มเป็นผู้สื่อข่าว เป็นนักข่าวเศรษฐกิจ ก็ที่เนชั่น พูดถึงอยู่ปัจจุบันแล้วกันค่ะ คืออยู่ที่นี่มีความเป็นอิสระ ที่เราเป็นตัวของตัวเอง กับการทำสิ่งที่เรารัก คือคุณสนธิไม่เคยมากำหนดว่าเธอจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนี้อย่าไปพูด เดี๋ยวอย่างนั้นเดี๋ยวอย่างนี้ แม้กระทั่งนงมาที่นี่ 9 ปีก่อนก็ยังถือว่าเด็กมาก แต่คุณสนธิก็ยังเชื่อมั่นที่จะให้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่มันน่าจะเกินตัวเรา แต่เราก็มีโอกาสนั้น แล้วมันก็ทำให้เราโตขึ้นๆๆ จนเราหาอย่างนี้ที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว แล้วเราก็ไปทำอย่างนี้ที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว
สนธิ- แอนล่ะ
จินดารัตน์- แอนอยู่ช่อง 3 เคยไปเจอแฟนรายการ เวลาเขากรี๊ดเราก็เหมือนกับกรี๊ดดารา กรี๊ดกับคนที่อยู่หน้าจอ จบแล้วก็แล้วกันไป เราก็แค่รู้สึกว่ามีคนกรี๊ดเราเยอะ แต่พอมาอยู่ที่นี่ เวลาเราออกไปข้างนอก คนเดินเข้ามากอด คุณแอนดีใจมากเลยนะ ขอบคุณนะที่ทำงานแบบนี้เพื่อประเทศชาติ ขอบคุณที่อยู่กับคุณสนธิ ขอบคุณที่อยู่กับประชาชน แอนเลยมีความรู้สึกว่า .. แอนบอกลูกเสมอว่าเรามีญาติ เรามีคนที่รักเราทั่วประเทศเลย
สนธิ- อันนี้จริง แล้วนุกล่ะ นุกไม่เคยทำงานที่อื่นมาก่อน วงการสื่อ ไม่เคย
กรองทอง- นุกเคยอยู่แกรมมี่ เป็นฟรีแลนซ์ที่แกรมมี่ แต่ก็เป็นฝ่ายผลิตรายการ แต่ให้มาเป็นสื่อมวลชนจริงๆ เลยก็คือเริ่มต้นที่นี่ มันเปลี่ยนจากทุกอย่างที่เราเคยเรียนรู้หมดเลยค่ะ มันไม่มีอะไรสักอย่างที่อยู่ในตำราเหล่านั้นเลย เราถูกสอนมาตลอดว่าสื่อจะต้องเป็นกลาง มันคือตำราของนิเทศศาสตร์ สื่อสารมวลชน ว่าสื่อจะต้องเป็นกลาง
สนธิ- ซึ่งเขาเกลียดผมมาก
กรองทอง- แต่พอมาอยู่ที่นี่ มันไม่มีความเป็นกลางระหว่างความดีกับความชั่ว
สนธิ- ผมเคยเป็นอาจารย์พิเศษสอนอยู่ที่คณะวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์ สอนปริญญาโทด้วย อาจารย์ที่เรียนทางสายวารสารศาสตร์ และนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ แกเกลียดขี้หน้าผม เพราะผมบอกว่าสื่อไม่มีวันเป็นกลาง ถ้าคุณมีข้อมูลที่ถูกต้อง คุณต้องยืนอยู่บนความถูกต้อง เมื่อมันถูกแล้ว คุณจะให้ถูก 50 เปอร์เซ็นต์ คอนเทนต์ 50 เปอร์เซ็นต์ ผิด ให้โอกาสทั้งคู่เท่ากันได้ยังไง มันไม่ได้ สื่อมีหน้าที่ต้องฟันธง ผมเถียงมาตลอด คนชอบพูดบอกว่าเมืองไทยนี่สื่อเหมือนกระจกที่จะสะท้อนความจริงให้ฟัง แต่ผมบอกว่า นั่นเป็นสังคมที่ในห้องมีไฟสว่าง สื่อจึงเป็นกระจกได้ เมืองไทยยังก้าวไม่ถึงขั้นนั้น เมืองไทยห้องยังมืดอยู่ สื่อต้องมีหน้าที่คลำไปก่อน ว่าตรงไหนมีหลุม ตรงไหนมีบ่อ และสื่อมีหน้าที่ต้องค่อยๆ จุดเทียนขึ้นมาเพื่อให้เห็น แล้วนำทางมวลชน เมื่อนำทางไปแล้ว คนเอาเทียนมาต่อจนไฟในห้องสว่างแล้ว วันนั้นสื่อถึงทำหน้าที่เป็นกระจก เพราะว่าคนเสพสื่อจะเข้าใจถูก ผิด ชอบ ชั่ว ดี ได้ เมื่อเป็นกระจกเขาจะดูได้แล้ว นี่อัปลักษณ์ นี่สวย นี่ดี แต่วันซึ่งยังไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว คุณจะเป็นกระจก คุณเป็นกระจกให้ใครดู นอกจากเป็นคำพูดสวยหรูทางวิชาการ ต้องเป็นกลางนะ ต้องเป็นกลางนะ กลางอะไรของคุณ ถ้าพูดตามภาษาสนธิก็คือ เผอิญวันนี้จะสิ้นปีแล้ว จะหลีกเลี่ยงคำหยาบคาย เป็นกลางอะไร มันไม่มีกลาง ไม่มี มีได้ยังไง แล้วอีกอย่างหนึ่งวันนี้ ไหนๆ ก็พูดแล้ว ก็พูดต่ออีกสักนิดหนึ่ง จิราพร เขาพาเด็กมา แล้วก็มาสวัสดีปีใหม่ เขาขอโอวาทผม ผมบอกเอาอย่างนี้ดีกว่า ถามตัวเองหน่อยว่า ตัวเองมีความสุขไหม อยู่ที่นี่ ต้องตอบ ถ้าไม่มีความสุข ถามต่อว่าเพราะอะไร ถ้าไม่มีความสุขเพราะงาน ไม่ชอบ เพราะปรัชญาชีวิตที่นี่ไม่ดี เพราะหลักการไม่โอเค เพราะไม่เห็นด้วยกับการต่อสู้ของเรา ถ้าคิดอย่างนี้ อย่าอยู่ คุณจะยิ่งไม่มีความสุขมาก คุณลาออกไปเลย แต่ถ้าคุณอยู่แล้วคุณมีความรู้สึกว่า เอ๊ะ ผู้ใหญ่คุณ เจ้านายคุณ อย่าว่าแต่มาระดับผมเลย ขนาดระดับหัวหน้าคุณ เขายังไม่แทรกแซงคุณเลย คุณมีความคิดยังไงคุณปล่อยออกได้ตามสบาย เป็นความสุขในการทำงานหรือเปล่า เป็น ถามว่ากล้องที่เขาถ่ายยังถ่ายออกมาชัดไหม ชัด สวิตเชอร์ยังทำได้มั้ย ทำได้ ไวร์เลสยังชัดมั้ย ยังชัด ติดอยู่อย่างเดียว เงินเดือนออกช้าใช่มั้ย ถ้าช้าก็ต้องหัดคิดเป็นว่า เอ๊ะ แล้วมันออกหรือเปล่าล่ะ นี่คือประเด็นสำคัญ เงินเดือนออกช้า แต่ว่าจบสุดท้ายว่าออกหรือเปล่า ออก ถ้าออก แล้วมันออกช้าบ่อยๆ แต่มันออก บางทีเราต้องเรียนรู้การเริ่มคิดวิธีการใช้เงินที่ถูกต้องแล้ว เช่น ถ้าเงินเดือนออกปั๊บ ต้องเก็บแล้วส่วนหนึ่ง เผื่อเอาไว้ในเดือนหน้าซึ่งมันยังไม่ออก จะได้เอาอันนั้นใช้ก่อน อันนี้ต้องถือว่าเป็นบทเรียนที่เรียนรู้นะ เป็นการสอนให้รู้จักการบริหารตัวเอง ถามตัวเองว่าดีมั้ย ดี คำถามก่อนคำถามสุดท้ายก็บอกว่า คุณอยู่ที่นี่คุณเรียนรู้อะไรหรือเปล่า ถ้าคุณอยู่วันแรกที่คุณเข้ามาจนกระทั่งถึงวันนี้ คุณยังโง่เหมือนเดิม ก็มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ สถานที่นี้ไม่เป็นสถานที่ๆ คุณจะเรียนรู้ได้ คุณก็ออกไป อย่างที่ 2 ต้องถือว่าเป็นความซวยขององค์กร เพราะคุณโง่โดยธรรมชาติ ผมถาม เด็กเขาก็หัวเราะ แต่ว่า อย่าลืมนะว่าคุณต้องหมั่นเรียนรู้ตลอดเวลา ผมนี่อยู่กับคุณได้ไม่นานหรอก ผมปีนี้ 66 แล้ว คุณอย่าไปหวังว่าผมจะอยู่กับคุณตลอดชีวิต จนกระทั่งตะบันน้ำกินแล้วผมยังต้องมานั่งอบรมคุณ ผมไม่ได้อบรมคุณ ผมมีหน้าที่ที่จะทำให้องค์กรนี้เดินไปด้วยสิ่งที่ถูกต้อง ทิศทางที่ถูกต้อง คุณธรรมที่ถูกต้อง ความถูกต้องจะต้องมาก่อนเพื่อน ผมมีหน้าที่ทำเพียงแค่นี้ ที่เหลือคุณต้องช่วยตัวคุณเอง ตอนนี้ก็ดี เด็กก็แฮปปี้หมดทุกคน
จินดารัตน์- น้องบางคนก็บอกว่า ดีเหมือนกันนะพี่ เงินเดือนออกไม่ตรง เราไม่ต้องซื้อหวย เพราะเรามีลุ้นทุกเดือน อะดรีนาลีนมันหลั่งทุกเดือน เดือนนี้ออก/ไม่ออก ออก/ไม่ออก ลุ้นสนุกยิ่งกว่าหวยอีกค่ะ
ฮวง- แต่เขาบอกว่าเดือนนี้ออกก่อน เขาช็อก แตกตื่นนะ
สนธิ- เป็นอะไรนะ
ฮวง- เงินเดือนเดือนนี้ออกก่อนบริษัทอื่นค่ะ โดยเฉพาะบริษัทสามีหนู
ใหม่- ทำตัวกันไม่ถูก
กรองทอง- ไม่บอกใคร เก็บเงียบเลย เจ้าหนี้ก็ไม่จ่าย
นงวดี- พอออกมาปุ๊บ วันนั้นวันที่ 25 พอดี วันคริสต์มาส ทำงาน ปี๊ดมาตั้งแต่เช้าเลย อะไรเนี่ย ทำไมโทรมาทวงหนี้อีกแล้วหรือ ไปกดเอสเอ็มเอสเข้า ว่าเงินเดือนเข้า ทำอารมณ์ไม่ถูกเหมือนกัน
กรองทอง- เอสเอ็มเอส เข้าตั้งแต่ 7 โมงเช้า
สนธิ- ใครเป็นคนส่ง
กรองทอง- ธนาคารไงคะ เขามีสมัครเอสเอ็มเอส ถ้าเงินเข้า เงินออก มันก็จะติ๊ดๆ ตลอด นั่งอ่านข่าวอยู่กับวรรษมน ช่างภาพเดินเข้า เดินออก ถือโทรศัพท์
จินดารัตน์- ดูวุ่นวายพิกล
กรองทอง- วุ่นวาย คือคงคิดว่าใครส่งเอสเอ็มเอสมาแกล้ง นั่งอ่านข่าวอยู่ก็ เอ๊ะ มีอะไรปรึกษากันได้นะ เดินเข้า เดินออก อยู่ทำไม มีอะไรหรือเปล่า พอเบรค จบรายการถึงได้รู้ว่าเงินเดือนออกวันนี้ งง
สนธิ- คุณรู้มั้ยว่าวันที่ 25 เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุด ตั้งนานแล้วไม่เคยมีความสุขอย่างนี้ มีความสุขที่ได้เห็นทุกคนมีความสุขที่เงินเดือนออกเต็มจำนวน วันนั้นผมอยากจะนอนยิ้มอยู่คนเดียวแล้วไม่อยากเจอใครเลย คือผมก็บอกจิราพรว่า เป็นวันที่มีความสุขที่สุด ผมจะมีความสุขที่เห็นพวกคุณมีความสุข และคุณจะไม่มีวันเห็นผมทุกข์ เพราะผมทุกข์ไม่ได้ ถ้าผมทุกข์ ความทุกข์ของคุณมีอยู่แล้ว คุณจะยิ่งทุกข์มากกว่าเก่า
จินดารัตน์- ห่อเหี่ยวเลย
สนธิ- ห่อเหี่ยวไปเลย ดี วันนี้ดีมาก
จินดารัตน์- คุณสนธิอาจจะไม่ทราบนะคะ แอนเล่าให้ฟัง จริงๆ ระดับโปรดิวเซอร์อย่างฮวง อย่างใหม่ มีหลายบริษัทนะคะเขาเสนอเงินเดือนมากกว่านี้เท่าตัว โบนัส สารพัดสารเพหยิบยื่นให้น้องๆ เหล่านี้ เขาก็มาเล่าให้ฟัง แอนก็ถามว่า แล้วทำไมวันนี้ถึงยังอยู่ที่นี่ ทั้งที่ไปอนาคตก็ดีกว่า อนาคตดีกว่า เงินเดือนออกตรงทุกเดือน ได้เยอะกว่าด้วย แอนอยากฟัง อยากให้น้องๆ เขาพูด
สนธิ- ไหนเล่าให้ฟังหน่อยซิ ฮวง
ฮวง- โดนช็อตเด็ด
สนธิ- เปล่า เพราะว่ามันมีการแย่งตัวกันเยอะ แล้วเอเอสทีวีเหมือนตักศิลานะในการฝึกคน
จินดารัตน์- คือใครเปิดสถานีใหม่ปุ๊บ พรรคการเมืองบางพรรคที่เพิ่งเปิด แล้วก็มาดึงคนเอเอสทีวี
สนธิ- แล้วฮวงว่ายังไง
ฮวง- สำหรับตัวเอง อย่างน้องๆ เวลามาขอลาออก หรือก่อนหน้านี้ก็ตาม ที่เงินเดือนยังไม่กระท่อนกระแท่น หนูจะถามเขาก่อนเลยว่าไปอยู่ที่ไหน จะให้คำแนะนำเขา ถ้าไปอยู่เคเบิลด้วยกันแกไม่ต้องไปหรอก มันไม่ได้ต่างอะไรจากที่นี่ ถ้าไปอยู่ฟรีทีวี หรือบริษัทที่เขามั่นคง แกไปเถอะ ไม่ว่ากัน อันนั้นถือว่าเป็นโอกาสของน้อง แต่โดยส่วนตัว ของตัวเอง ...
จินดารัตน์- มีหลายครั้งไม่ใช่เหรอ
สนธิ- ทำไมฮวงไม่ไป เขาให้เงินเดือนฮวง 2 เท่า ทำไมฮวงไม่ไป
ฮวง- ไม่ถึง 2 เท่าค่ะ คือจริงๆ แล้วเริ่มมาจากที่นี่ ที่นี่ก็ให้ความรู้หนู คือถ้าอะไรที่ทำแล้วเดิมๆ มาก เหมือนรู้ตัวเองว่า เบื่อ สำหรับตัวเอง แต่ที่นี่ได้ จากไม่เคยดูผังรายการ เรื่องสปอตโฆษณา คือเรามีความรู้เพิ่มเติมโดยที่เราไม่ต้องไปเรียนรู้ แล้วก็เรียนรู้เรื่องการตัดต่อเพิ่มเติมจากเดิมที่เคยตัดเป็นเทป ก็มีความชำนาญขึ้นอีก ถือว่าเราได้ความรู้เพิ่มขึ้น แล้วก็ด้วยความที่ห่วงน้อง จริงๆ ก็ห่วงองค์กร เพราะว่ามองแล้วอนาคตยังต้องทำม็อบอีก ถ้าหนูขอลาออก หนูจะมีเหตุผลอะไร
สนธิ- คือพูดง่ายๆ ว่า ลึกๆ ก็เป็นโรคติดม็อบ
ฮวง- ไม่ติดค่ะ
จินดารัตน์- เขาห่วงค่ะ แอนว่าเขาห่วง .. ห่วงคุณสนธิด้วย
สนธิ- ขอบคุณมาก รู้ แต่ไม่อยากจะพูด ไอ้ผมมันอายุมากจนทุกคนเป็นลูกเป็นหลานไปหมดแล้ว เรารู้ อาจจะเป็นเพราะว่าเรา ... ไม่รู้สิ มันเป็นบทเรียน ถ้าคนเราทำอะไรแล้วไม่ได้คิดถึงตัวเอง คิดถึงองค์กร คิดถึงสังคม คิดถึงชุมชน เราคิดถึงบริษัท เราคิดถึงพนักงานเรา กังวลทุกวัน กินไม่ค่อยได้ นอนไม่หลับ ในตอนปลายๆ เดือน จะโทรถามเล็ก บัญชีเล็ก มีเงินเท่าไร มีเท่านี้นาย เอ้า ทยอยจ่ายไปก่อนแล้วกัน เคยมีจำได้มั้ยออกมาทีคนละ 500 บาท หรือคนละพัน สองพันบาท
กรองทอง- เคยอยู่ยุคที่ต้องจ่ายเป็นเงินสด จ่ายใส่ซอง
สนธิ- นี่ล่ะ มันเป็นอย่างนี้ แต่มันเป็นชีวิตที่มีรสชาตินะ
จินดารัตน์- มีเสน่ห์
สนธิ- แล้วใหม่ล่ะว่ายังไง ถ้าใหม่โดนออฟเฟอร์มา ทำไมใหม่ไม่ไป
ใหม่- ก็เคยโดน ก็ปรึกษาพี่แอน เคยบอกพี่แอนว่ามี เขาอยากให้ไปทำรายการด้วย แต่คิดไปคิดมาก็ ... คืออยู่ที่นี่ผมได้ทำทุกอย่าง อย่างที่ตัวเองอยากจะทำ ไม่ว่าการดีไซน์ แม้กระทั่งฉาก การจัดฉากทุกอย่าง
นงวดี- อย่างที่เห็นอยู่ตรงนี้
ใหม่- การที่จะทำอะไร ยกเอง โซฟายกเอง มาตั้งเอง คือทุกอย่างมันได้ทำหมดทุกอย่าง และรู้สึกผูกพันกับทุกคน ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใหม่จะเป็นยังไง ต้องไปเริ่มอะไรใหม่ๆ ถ้าอยู่ตรงนี้ มีประโยชน์กับตรงนี้มากกว่า ก็ขออยู่ตรงนี้ดีกว่า
จินดารัตน์- เขามาถามแอน แอนบอกเขาว่า พี่ไม่รู้นะ พวกเราอยู่มาจนถึงทุกวันนี้แล้ว พี่ว่าเรื่องเงินสำคัญน้อยกว่าแล้ว ใจต่างหาก
สนธิ- นั่นคือที่มาของเพลงสัญญาไง จริงๆ เนื้อเพลงมันสะท้อนถึงความจริงในจิตใจพวกเราทุกคน แล้วถ้าพวกเรารักองค์กรแบบนี้ แล้วองค์กรก็ดีกับประเทศชาติแบบนี้ ก็เหมือนเรารักประชาชน เราถึงได้รับความรักตอบกลับมาไงฮวง เมื่อกี้แอนพูดถูก ระหว่างคนไปกรี๊ดเราสมัยแอนอยู่ช่อง 3 กับวันนี้คนเขาดูเอเอสทีวี แล้วเขามากอดแอน เขาคิดถึง เป็นห่วงแอน ความรู้สึกมันต่างกันมาก ไอ้กรี๊ดอันแรกมันกรี๊ดแบบหลอกลวง เหมือนกับของปลอม ของเก๊ แต่อันหลังมันเป็นทองแท้ ถึงจะเส้นเล็ก แต่มันทองแท้ แล้วก็จริงใจและจริงจัง เหมือนวันนี้อาอี๊ใจดี ฝากเงินสดให้ อ.ปานเทพ มาให้ 120,000 บาท อาอี๊บอกให้ผมโทรศัพท์ไปหาหน่อยเพื่อที่จะ .. อาอี๊เป็นห่วง อยากจะฝากความระลึกถึง ผมก็โทรไป ลูกสาวรับสาย บอกขอเรียนสายอาอี๊-ใครจะพูดสายคะ-สนธิ ลิ้มทองกุลครับ อาอี๊ตะโกนลั่นเลย มา คุณสนธิ ฝากเงิน-ได้รับเรียบร้อยครับอาอี๊ ขอบคุณมาก ไม่ต้องพูดเลย ซาบซึ้งมาก-ไม่ เป็นห่วง สงสารพนักงาน นี่สิ้นปีแล้ว ฝากมาให้ 120,000 บาท จะมีแบบนี้อยู่เรื่อย ซึ่งบางคน นี่ผมกล้าพูดเลย อย่าให้เอ่ยชื่อว่าชื่ออะไร ไม่อยากให้เขาต้องเดือดร้อน ทุกเดือนจะมาหาผม มากินกาแฟกับผม ทุกเดือนเลยนะ ทุกเดือน เอาเงินสดมาเดือนละล้าน รู้ใช่มั้ย
จินดารัตน์- รู้ค่ะ
สนธิ- คุณสนธิ-โธ่เฮีย ผมเรียกเฮีย อายุมากกว่าผมหน่อย ไม่เอาน่ะเฮีย-เอาไปเถอะ ใจๆ สิ่งที่คุณทำให้ชาติบ้านเมืองสำหรับผมมันจิ๊บจ๊อย เงินแค่นี้กับผมไม่มีความหมายหรอก ใจ มีอีกรายหนึ่ง อาม่า อย่าไปรู้เลยว่าอยู่ที่ไหน ทุกเดือนจะให้เด็กขี่มอเตอร์ไซค์เอามาให้ อาม่ามาค่ะคุณสนธิ เลขาฯ เธอบอก อาม่าฝากมาให้ เดือนละ 3 แสน ทุกเดือนล้านสามจะมาจากตรงนี้ ทุกเดือนเลยนะ แล้วก็จะมีของลุงลองบ้าง ของคนโน้นคนนี้บ้าง คนนั้นฝากมาหมื่น คนนี้ฝากมา 5 หมื่น แอน สถานีโทรทัศน์อันไหนวะที่มันมีอย่างนี้
นงวดี- เมืองไทยไม่มี
สนธิ- ต่อให้มึงรวยหมื่นล้านก็ไม่มีความหมายสำหรับกู พนักงานข้าพเจ้าก็ยังมีรับประทานกันอยู่ ยังอยู่ได้ โอเคถึงจะได้เงินน้อยกว่าที่คุณออฟเฟอร์ให้ แต่ที่คุณออฟเฟอร์ให้น่ะมันของปลอม แต่ของผมพูดถึงมาตรฐานเงินเดือนไม่ได้น้อยกว่าคนอื่นเขา แต่ว่า หาคนมารักเราอย่างนี้ และทุ่มเทให้เราอย่างนี้ ไม่มีทาง ใครจะไปทุ่มเทให้ช่อง 3 ใครไปทุ่มเทให้ช่อง 7 ใครจะไปทุ่มเทให้เนชั่น ใครจะไปทุ่มเทให้บลูสกาย ไม่มี มีที่นี่ที่เดียว และนั่นคือที่มาของเพลงของขวัญไง นั่นคือที่มาของคำมั่นสัญญาที่เรากำลังจะให้กับทุกคน ที่รักเรา และเป็นพันธมิตรฯ ไม่รักเรา ไม่ดูเรา เกลียดเรา ไม่เป็นไร ไม่ต้องเสือกมาดู ไม่อยากให้ดูด้วย อยากให้คนที่รักเรา อยู่กับเรา และจะรู้ดีว่าเราจะให้คำมั่นสัญญาว่าเราจะไม่เปลี่ยนแปลง และเราจะซื่อตรงตลอดไป
จินดารัตน์- วันนี้ถึงขั้นเหมารถตู้กันมาจากโคราช กดกระจกบอก รปภ.หน้าสถานี รปภ.บอกไม่มีที่จอดแล้วครับ-ผมมาจ่ายเงินเดือนให้พนักงานเอเอสทีวี-รปภ.ตะเบ๊ะครับ
นงวดี- แล้วก็มี ไปทานข้าวตรงโรงครัวเฮียบุ๊ง ก็มีพี่น้องพันธมิตรฯ มาบ่อยๆ มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นพี่แอนก็น่าจะนั่งอยู่ เล่าให้ฟังว่ามีเพื่อน ซึ่งปัจจุบันนี้ทุกเดือนๆ จะต้องมาบริจาคให้เอเอสทีวี เพราะว่าคุณแม่ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว สั่งเสียเอาไว้ว่า คุณแม่ไม่อยู่แล้ว...
สนธิ- ให้ลูกทำต่อ
นงวดี- ต้องให้เขาตลอดไป เพราะว่าแม่มี และทุกวันนี้ก็ยังเอามาให้เอเอสทีวีทุกๆ เดือน ประจำ มันจะไปพูดถึงเรื่องมูลค่าอะไร ทำไม คือนี่มันสิ่งที่ประเมินอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
สนธิ- คุณเชื่อเรื่องของผลบุญ ผลกรรม ไหมล่ะ
จินดารัตน์- เชื่อค่ะ
สนธิ- แอนจำได้มั้ยที่ผมเคยเล่าให้ฟังเรื่องพ่อแม่ของน้องโบ ชื่ออะไร .. กมลวรรณ หมื่นหนู ที่เสียชีวิต
จินดารัตน์- ที่อยู่พัทลุง
สนธิ- เขาเสียชีวิตแล้วพ่อแม่เขามางานศพที่วัดโสม นั่งร้องไห้ ผมบอกอย่าไปเสียใจเลย มันถึงเวลาต้องไป-บอกนั่นก็เสียใจอยู่ แต่ที่เสียใจก็คือเขาเป็นเสาหลักของบ้าน เขาให้ฉันเดือนละ 5 พัน จากวันนั้นถึงวันนี้ผมให้เงินเดือนพ่อแม่น้องโบเดือนละ 5 พัน ก็นี่ไง นี่คือผลบุญไง กรรมดีที่เราทำ แม่เสียชีวิตไป สั่งลูก บอกให้จ่ายเงินต่อถึงแม่จะเสียชีวิตแล้ว ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Law of Compensation ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น
จินดารัตน์- เก๋เคยมาเล่าให้แอนฟังว่า พี่ มีพันธมิตรฯ ที่เป็นแมลงสาบเขาโทรมา ตอนช่องแมลงสาบเปิดใหม่ๆ เขาบอกว่า น้องเก๋ไปบอกพิธีกรเอเอสทีวีเถอะ ตั้งหลายคนน่าเสียดาย อยู่เอเอสทีวีไปเดี๋ยวอีกหน่อยจะไม่มีที่ยืนนะน้อง แอนบอก อ๋อเหรอ เพิ่งรู้นะเนี่ย แอนบอกคำตอบมีแค่นี้ "อย่ามาชวนกันเสียให้ยาก" แอนว่าคุณเติมศักดิ์คงจะเล่าได้ดีเพราะว่าคุณเติมศักดิ์ก็ถูกชวนเหมือนกัน
นงวดี- ทีนี้ของขวัญที่เรามีให้กับพี่น้องพันธมิตรฯ นอกจากเพลงและสิ่งที่พวกเราพยายามจะทำตลอดเวลา เพื่อทุกคน โดยมีคุณสนธิเป็นเสาหลักให้พวกเรา เดือนมกราคมนี้ เราก็จะมีคอนเสิร์ต
จินดารัตน์- คอนเสิร์ตปีใหม่
สนธิ- คอนเสิร์ตปีใหม่ครับ
นงวดี- คอนเสิร์ตปีใหม่ โปรดิวเซอร์จะให้พูดเลยมั้ยคะ
ใหม่- พูดเลยครับ
นงวดี- เป็นคอนเสิร์ต ชื่อว่าเปิดของขวัญ มหกรรมดนตรีต้อนรับต้นปี รวมพลคนร้องเล่นเต้นกระโดด พวกเราจะเอาความสามารถทุกอย่างที่เรามี
กรองทอง- ไม่ว่าจะเป็นความสามารถที่ไม่มีเราก็จะพยายามทำให้มี
สนธิ- 19 มกราคม
นงวดี- ใช่ค่ะคุณสนธิ 19 มกราคม ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน
จินดารัตน์- ตรงกับวันเสาร์นะคะ
สนธิ- ที่สนามม้านางเลิ้ง คือจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ครับ มันเริ่มจากความคิดของทุกๆ คนว่า เราน่าจะจัดคอนเสิร์ตรวมให้พันธมิตรฯ แล้วเอาดนตรีที่เคยเล่นกับพันธมิตรฯ มาทุกวงเลย วันนั้นไม่ใช่คุยเรื่องการเมือง จะคุยกันเรื่องความสุขสนุกสนาน จะระบายความรู้สึกกัน แล้วจะเชิญพันธมิตรฯ มา ก็คือเราจะขายบัตรใบละพันบาท อาหารฟรีเลยนะ เฮียบุ๊งบอกว่าพร้อม ซื้อมา 1 พัน กินข้าวได้ฟรี 3 มื้อ เงินที่ได้มาก็จะไปจ่ายให้ค่าตัวให้นักดนตรีของพันธมิตรฯ ทุกวง อย่างเต็มราคา ไม่ใช่ราคาตีตั๋วเด็กเหมือนที่มาขึ้นเวที สมบูรณ์แบบ ถ้ายังเหลืออยู่ก็บริจาคให้เอเอสทีวี วันที่ 19 ใช่มั้ย
นงวดี- 19 มกราคม เที่ยงวันยันเที่ยงคืน
จินดารัตน์- มีบัตรจำนวนจำกัดด้วยนะคะ
นงวดี- 5 พันใบ ใบละ 1 พันบาท
สนธิ- กินอาหารฟรีไง
จินดารัตน์- มีอาหารเป็นซุ้มๆ
นงวดี- แล้วก็จะมีจับรางวัลด้วย เห็นบอกว่าทางด้านแกนนำพันธมิตรฯ ก็มีเตรียมไว้ให้ ซึ่งเราก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอะไร แต่ว่าแกนนำทั้งนั้นเลยนะคะ
จินดารัตน์- ขายบัตรยังไงคะ
นงวดี- คุณน้องอ้อมเขาบอกว่าตอนนี้กำลังจัดทำบัตรอยู่ แล้วก็คาดว่าการขายบัตรน่าจะเริ่มได้ประมาณวันศุกร์แรกของปีหน้า คือประมาณสัก 4 มกราฯ
สนธิ- เรามีเวลาขายบัตร 2 อาทิตย์
นงวดี- แล้วเดี๋ยวความคืบหน้าเราจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆ
สนธิ- ผมอยากให้พันธมิตรฯ ที่อยู่ต่างจังหวัดรวมตัวกันมาสนุก มากันเลยครับ เหมือนกับที่จะมาชุมนุมกัน เต็มออกๆ มาเลย มาอยู่ด้วยกันเที่ยงคืนถึงเที่ยงคืน
นงวดี- ก็จะมีอะไรเด็ดๆ ซึ่งบางอย่างเราจะอุบไว้ก่อน แต่ถ้าน้ำจิ้มๆ ก็จะมีอย่างเช่น พี่โสภณ ซึ่งไม่รู้เจ้าตัวเขารู้หรือยัง ต้องให้คุณใหม่บอกจะให้พี่โสทำอะไรบ้าง
สนธิ- เท่าที่คิดอยู่จะให้แกรำฉุยฉาย
จินดารัตน์- จะดีเหรอคะ
นงวดี- หรือว่าพี่สุวัตร พี่ทนายสุวัตร ...
สนธิ- นี่นักร้องเสียงทองเลยนะ อย่าทำเป็นเล่นไปนะ
ใหม่- เท้าไฟด้วยครับ
สนธิ- เท้าไฟด้วย? โถ
กรองทอง- ก็เรียกว่าครบทุกคน ทั้งพิธีกร ผู้ประกาศ ผู้ปราศรัย
สนธิ- พิธีกรก็จะต้องร้องเพลงกัน เลือกเพลงกันอยู่
นงวดี- ก็อย่างน้องนุกเห็นบอกว่าจะไป ...
กรองทอง- อ๋อ นุกตอนนี้กำลังไปเข้าคอร์สเรียนเต้นอยู่ค่ะ เพราะว่าคอนเซปต์เขาร้องเล่นเต้นกระโดดใช่มั้ย นุกก็ต้อง...
จินดารัตน์- คือนุกเขาดูราคาบัตรแล้วกลัวพี่น้องจะเสียดายตังค์ ก็เลยต้องไปเรียน
กรองทอง- คือตอนแรกก็เอาสนุกๆ ฮะ! ขายบัตรเหรอ คิดว่าจะคุ้มค่าเงินที่เขาเสียไปมั้ย เครียดเลยๆ ร้องเพลงก็เครียดอยู่แล้วนะ
นงวดี- ก็เต็มที่ แล้วพี่แอนก็จะมีช็อตเด็ดด้วยใช่มั้ยคะ
จินดารัตน์- ยังไม่มั่นใจค่ะ เดี๋ยวไปลดน้ำหนักก่อนนะ
สนธิ- 19 มกราฯ อยากให้พี่น้องพันธมิตรฯ ท่านผู้ชมที่ดูรายการนี้อยู่ มาร่วมกัน ทั่วประเทศไทย อยากให้มา
จินดารัตน์- สนุกแน่นอน
สนธิ- สนุกแน่นอนครับ
จินดารัตน์- อิ่มด้วย
กรองทอง- อาหารดี ดนตรีไพเราะ
จินดารัตน์- งั้นเดี๋ยวก่อนจบเบรค แอนอยากให้น้องใหม่ กับน้องฮวง ในฐานะตัวแทนน้องๆ เอเอสทีวี ..
สนธิ- ที่อยู่เบื้องหลัง
จินดารัตน์- กล่าวขอบคุณพ่อแม่พี่น้องที่น่ารักของเราด้วย
ใหม่- ก็ขอขอบพระคุณครับ ขอบคุณจริงๆ สำหรับพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่สนับสนุน แล้วก็สัญญาว่าจะทำรายการดีๆ รายการสนุกๆ และคิดอะไรใหม่ๆ มาให้พี่น้องได้ชมกัน
ฮวง- ฮวงก็ขอเป็นตัวแทนน้องๆ เอเอสทีวี ทั้งฝ่ายเทคนิคด้วย ฝ่ายผลิตรายการด้วย ก็พยายามจะมั่นคงกับเอเอสทีวีตลอดไป จริงๆ ถ้ามองว่าตัวเองไม่ได้ทำอยู่เบื้องหลัง...คือซึ้งใจกับพันธมิตรฯ ที่เขามาร่วมกับเรา จริงๆ มันเหนื่อยนะคะ เหนื่อยมาก ถ้าเป็นตัวเอง ตัวเองจะมาหรือเปล่า
จินดารัตน์- จะเสียสละถึงขนาดนี้
ฮวง- ใช่ ตรงนี้เคยพูดกับพี่แอนอยู่ว่า ถ้าเป็นเราคงไม่ได้ ขอบพระคุณค่ะ
จินดารัตน์- งั้นเดี๋ยวเราพักกันก่อนนะคะ ช่วงหน้ากลับมาคุณเติมศักดิ์ กับคุณเก๋ อุษณีย์ มาแล้ว พักกันสักครู่ค่ะ
----------------- เบรค ----------------
อุษณีย์- สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับเข้าสู่คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่วงที่ 2 แล้วก็โผล่มาท่ามกลางพี่ๆ น้องๆ ที่เขาคุยกันไปแล้วช่วงแรก กับคุณเติมศักดิ์ด้วย
เติมศักดิ์- สวัสดีครับ
จินดารัตน์- ให้เกียรติพี่ใหญ่เราก่อนมั้ย วันนี้พี่ใหญ่อยากรู้อะไรคุณสนธิบอกถามได้เลย
สนธิ- ทุกเรื่อง เรื่องส่วนตัวก็ได้ เรื่องอะไร วันนี้วันสิ้นปี ถ้าจะถามผมเริ่มก่อนก็ได้ มีคนเขาถามว่า วาทะเด็ดประจำปี สำหรับผมแล้วประทับใจอะไรมากที่สุด ผมประทับใจคำว่าการที่เฉลิมยอมรับว่าตัวเองเป็นขี้ข้าทักษิณ หาไม่ได้นะ
จินดารัตน์- จริงค่ะ
สนธิ- คือ นึกไม่ถึงว่าคนบางคนยอมที่จะเหยียดหยามตัวเองถึงขนาดนั้น ผมนึกไม่ถึงจริงๆ คือเขาอาจจะพูดเพราะว่าเขามีความรู้สึกว่าเขาต้องการสื่อไปถึงทักษิณว่า ผมยอมคุณทุกอย่างนะ แม้กระทั่งประกาศว่าผมเป็นขี้ข้าคุณ หนึ่ง คุณอย่าลืมเก็บตำแหน่งให้ผมนะ คุณต้องเก็บให้ผมอยู่ในรัฐบาลนี้นะ เวลาผมขออะไรคุณต้องให้นะ แต่เขาไม่ได้คิดถึง .. คือเขาคิดถึงเฉพาะวันนี้ เขาไม่เข้าใจหลักอนิจจัง ว่าทุกอย่างมันมีการเปลี่ยนแปลง อนิจจัง ทุกอย่างไม่คงที่ ทุกขัง อนัตตา แล้ววันข้างหน้าเขาจะทุกข์ เขาจะทุกข์ตรงไหนรู้มั้ย เขาจะทุกข์ตรงที่ว่า วันข้างหน้าถ้าทักษิณไม่อยู่บนโลกนี้ หรือทักษิณเกิดพังทลายไป หรือว่ามีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันต้องมีแน่นอน เพราะไม่มีอะไรในโลกไม่มีการเปลี่ยนแปลง วันนั้นไอ้คำที่บอกว่าผมเป็นขี้ข้าทักษิณ มันจะมาหลอนตัวเขา และหลอนลูกเขา และหลอนหลานเขา เอ๊ยปู่มึงขี้ข้าทักษิณใช่มั้ย แล้วถ้าเกิดทั..จะด้วยเหตุผลกลการณ์อันใดก็ตาม จะต้องพังทลายลงไปที่สุดแล้ว จะต้องถูกขุดคุ้ยอะไรจนกระทั่งอยู่ไม่ได้เลย คำว่าผมเป็นขี้ข้าทักษิณมันจะตราตรึงซึ้งใจไปตลอด ผมถึงบอกเป็นวาทะเด็ดจริงๆ อันนี้ พูดโดยไม่คิด
จินดารัตน์- ระวังนะ หลานไปโรงเรียนจะโดนล้อ
เติมศักดิ์- ชั่วลูกชั่วหลานเลยนะครับ
สนธิ- โอ้โฮ ไม่ได้เลย แล้วสมมุติว่าหลานเขาเกิดไปเรียนโรงเรียนไหนและเป็นเพื่อนกับอีกคนหนึ่ง ซึ่งหลานอีกคนซึ่งเป็นพันธมิตรฯ เขาบอกรู้มั้ยปู่มันเป็นขี้ข้าทักษิณ ไม่เชื่อไปถามหลานมันสิ หลานก็กลับบ้านถาม พ่อๆ มีวันนี้เพื่อนล้อว่าปู่ของหนู ปู่ของผมเป็นขี้ข้าทักษิณ ใช่หรือเปล่า พ่อจะตอบว่าไง
จินดารัตน์- ใช่ พ่อก็เคยเป็นลูกขี้ข้ามาแล้ว
สนธิ- พ่อเป็นลูกขี้ข้า นี่ไงผมถึงบอกว่าไม่ได้ ของแบบนี้ มันสะท้อนให้เห็นเหมือน ผมเคยคิด ผมเคยเจอ มีคนที่เคยสอนผมให้ความรู้ผม คือพี่นันต์ อนันต์ อนันตกูล - สนธิ สนธิโตไป สนธิต้องจำเอาไว้นะ ใครก็ตามที่มากราบสนธิแล้วบอกพร้อมจะตายแทนสนธิน่ะ ถีบให้กระเด็นไปเลย มันไม่มีใครจะตายแทนใครได้หรอก มันโกหก มันพูดเพื่อให้สนธิรักมัน มันกำลังจะขออะไรบางอย่างจากสนธิ มันกำลังจะทำอะไรเบื้องหลังสนธิ มันกำลังจะหักหลังสนธิในอนาคต มันถึงบอกว่าผมพร้อมจะตายแทนท่านได้ พี่นันต์สอน เพราะฉะนั้นแล้วคุณจะเห็นว่าข้าราชการในประเทศไทยจะเป็นอย่างนี้จริงๆ นักการเมืองบางคนเหมือนกัน จะเป็นอย่างนี้ ท่านครับ ท่านมีอะไรท่านบอกผมมาได้ทุกเรื่อง ผมทำให้ท่านได้หมดทุกเรื่อง ท่านสั่งผมทำได้หมด อาจจะเป็นคำพูดลึกๆ ในใจของธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็ได้ วันนี้ผมได้ข้อมูลใหม่ คุณธาริตมีเชื้อเขมร เป็นคนบุรีรัมย์เก่า
กรองทอง- มิน่าล่ะ
เติมศักดิ์- นึกถึงคำพูดคุณชายคึกฤทธิ์
สนธิ- เป็นคนที่รู้จักตระกูลคุณธาริตดี เขาบอกดั้งเดิมตระกูลเขาอยู่บุรีรัมย์ มีเชื้อเขมรเต็มตัวเลย
กรองทอง- ไม่น่าเลย .. ไม่น่า และมิน่าด้วยนะ
จินดารัตน์- หรือบางคนเขาบอกว่า กูว่าแล้ว
เติมศักดิ์- งั้นผมขอเริ่มคำถามแบบซีเรียสหน่อยได้มั้ยครับ
สนธิ- ได้ๆ เติมน่ะซีเรียสทั้งวัน เติมจะไม่ซีเรียสตอนจบรายการ จบรายการเตมจะกุ๊กกิ๊กแล้วหายไปเลย เอาว่ามาเลย
เติมศักดิ์- หลายคนคงอยากจะรู้ ว่าการเมืองปีหน้าจะเป็นอย่างไรคุณสนธิ
สนธิ- ถ้าจะดูการเมืองปีหน้าผมอยากให้ดู คืองี้เอาภาพรวมให้ดูก่อน ภาพรวมที่เค้าจะสร้างปีนี้ คุณเห็นว่าการเกิดครั้งแรกของรัฐบาลปู พยายามหักด้ามพร้าด้วยเข่าด้วยการเอา พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสภาฯ พอโดนพันธมิตรฯประท้วงหนัก แล้วประชาชนออกมาเยอะมาก จนกระทั่งยอมถอน พ.ร.บ.ปรองดองออกมาไม่ให้อยู่ในวาระต้นๆ ใช้คำว่าแช่แข็ง ก็มีการเปลี่ยนหลักการใหม่ ว่าอย่าไปหักล้างอะไรทั้งสิ้น อย่าไปสร้างเรื่องกับใคร จากนั้นเป็นต้นมาไม่สังเกตเหรอมาตรา 112 ก็ไม่ยุ่ง พูดง่ายๆว่าเป็นยุทธศาสตร์ของทักษิณว่า 1.ถึงแม้ว่าจะมีกระบวนการล้มเจ้าอยู่ในพรรคเพื่อไทยและอยู่ในที่ปรึกษาของทักษิณ ถึงแม้ว่าในพรรคเพื่อไทยจะมีขบวนการล้มเจ้าอยู่ แต่ให้เก็บเงียบ ห้ามแสดงออก คุณสังเกตช่วงนี้ซิ เหวง โตจิราการ พูดมั้ย คุณไปดูทุกคนเลย ปิดปากเงียบ เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย วรเจตน์เงียบไปเลยมั้ย เพียงแต่ว่าใครก็ตามที่เคยจาบจ้วงสถาบันแล้วมีโอกาสจะถูกดำเนินคดีเขาก็เงียบเหมือนกัน เขาไม่ดำเนินการต่อแต่ว่าไม่ให้มีการโฉ่งฉ่าง ไม่ต้องการแสดงให้รู้ว่าตัวเองล้มเจ้า 2.คุณไม่สังเกต งบประมาณต่างๆ ที่อยู่ในโครงการพระราชดำริจัดให้เต็มที่เลยนะ คือพูดง่ายๆว่าทางด้านของเจ้าเขาสงบศึกไงแล้วเขาก็จะช่วยเหลือตลอดเวลา 3.สิ่งที่เขากำหนดจุดยุทธศาสตร์ใหม่ก็คือว่า ในขณะนี้เขาต้องการให้น้องสาวเขาเป็นนายกฯนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เหตุผลเพราะเขาต้องการเก็บเงินเก็บทอง พรรครัฐบาลเพื่อไทยต้องการจะเก็บเงินเก็บทอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าว เจ๊โน้นเจ๊นี่ เขาปล่อย เพราะเขาเล่นไพ่หลายหน้า
ไพ่หน้าที่ 1 ก็คือว่าถ้าหากเขามีเวลาสักช่วง อย่างน้อยอีกสัก 2 ปี พ.ร.บ.เงินกู้ 2ล้านล้าน ที่จะเข้าสภาเดือนพฤษภาคม เมื่อมันผ่านแล้วจะใช้เวลาภายใน 2 ปี 2 ล้านล้าน 30 % 6 แสนล้านนะ เข้ากระเป๋าคนบางคนประมาณ 80 % 8 คูณ 6 เท่ากับ 48 480,000 ล้าน อีกแสนสองหมื่นล้าน เศษเนื้อเศษกระดูกกระจายให้ทั่วไป เติม 480,000 ล้าน คิดเป็นดอลลาร์เท่าไหร่ 16 มิลเลียนดอลลาร์ ถึงตอนนั้นถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาล แล้วถ้าจำเป็นต้องทิ้งประเทศไทย จะด้วยเหตุใดก็ตาม เขาไปเลย ก็ปล่อยพวกควายแดงทั้งหลายวิ่งหาที่เกาะ และที่น่าสนใจแกนนำพวกเสื้อแดงบางคนอย่าให้ผมเอ่ยชื่อรู้เหมือนกันถึงกับพูดเลยว่าอีกหน่อยทักษิณก็ทิ้งประเทศไทย ทิ้งให้พวกเราอยู่อย่างนี้ รู้ทำไมไม่รู้ แต่ทั้งๆที่รู้สำหรับพวกเขาช่วงนี้ก็เป็นช่วงทำเงินเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้วการเมืองจะเป็นอะไรที่ประนีประนอมตลอดเวลา ทำไมเขาถึงเน้นประชามติ เพราะประชามติใช้เวลา 2 ปีถึง 3 ปี ซื้อเวลา เขาถึงไม่เอาแก้รายมาตรา เขาไม่กล้าเสี่ยง เพราะถ้าแก้รายมาตราแล้วเกิดใครฟิตขึ้นมาเอามาตรา 112 ขึ้นมา เขาคุมเกมไม่ได้ เข้าใจหรือยัง เขาไม่ผลักดันต่อวาระ 3 เพราะว่าเขากลัวอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่ศาลรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างมันเป็นเรื่องเงินที่กองอยู่ข้างหน้า ต้องไขประตูเปิดให้ได้ กระบวนการเดินเข้าไปไขประตูมันต้องดำเนินการ ปีหรือ 2 ปี นั่นคือการเมืองเมืองไทย ดังนั้นพอสรุปได้มั้ย
นงวดี- อย่างนี้ทักษิณก็คงไม่ได้กลับมาแล้ว
สนธิ- จริงๆวันนี้เขาไม่ได้สนใจนะ ขอให้โครงการเดินต่อไป ระหว่างแลกกับเงิน 16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ กับเขาไม่ต้องกลับมา เขาไม่กลับมาหรอก อยู่ข้างหลังคุมเกมสนุกว่า
จินดารัตน์- แต่คนอย่างทักษิณมันจะมีอารมณ์แบบบางอารมณ์อยากกลับเต็มที่
สนธิ- อันนี้เป็นอารมณ์ชั่วคราวที่เกิดขึ้น
จินดารัตน์- ซึ่งอาจจะทำให้เกิดกรรมบังตา
สนธิ- คนเราเวลาดวงตก คนเราเวลาทำอะไรผิดพลาดแล้วมันทำอะไรก็ผิดไม่หมด คือถ้ามีคนได้เสียเขามากขึ้นก็จะมีคนเดือนเขามากขึ้น อาจจะเป็นครอบครัวเขาบอกพี่ใจเย็นๆ บอกว่าเรื่องนี้อย่าเพิ่ง
กรองทอง- แล้วถ้าซื้อเวลาเพื่อจะได้กินยาวๆ แล้วตัวหุ่นเชิด ตัวนายกฯล่ะคะจะเปลี่ยนมั้ยคะ
สนธิ- คือเขาคงไม่เปลี่ยนน้องสาวเขาเพราะถ้าเขาเปลี่ยนเขาไว้ใจใครไม่ได้แล้วไง เขาจะไว้ใจขี้ข้าคนนั้นเหรอ เขาก็ไม่ไว้ใจ ไม่มีทางไว้ใจหรอก เขาว่าคนคำนวณไม่ไม่สู้ฟ้าลิขิต ผมเป็นคนเชื่อแบบนี้ บางทีไม่มีเรื่องก็มีเรื่องขึ้นมาของแบบนี้ เหมือนกับที่ผมพูดกับเติมก่อนออกรายการ เรื่องคำพูดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ น่าสนใจ อีกคำพูดหนึ่งคุณไปอ่านดูดีๆ พล.อ.เปรม ป๋าเปรม ท่านถามทหาร ท่านถามคำถามทหาร ว่าทหารจะรักษาชาติบ้านเมืองอย่างไรแล้วมีการถามต่อไปอ่านดูซิ ทหารจะทำอะไรไหมที่แสดงให้เห็นว่ารักชาติบ้านเมือง ปั้ดโธ่ ผมถึงบอกพันธมิตรฯ คนอย่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผมกล้าพูดเลยนะว่า จะหาคนที่จงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯและพระบรมราชินีนาถ เท่าพล.อ.เปรม ไม่มีอีกแล้ว 90 กว่า จิตใจหนักแน่นมั่นคง ไม่เคยถอยแม้แต่นิดเดียว พันธมิตรฯหลายคนใจเสีย บอกว่า เออสามารถมีความคิดที่แตกต่าง สามารถจะยอมรับได้ พล.อ.เปรม บอกยอมรับได้ความคิดที่แตกต่างในกรณีที่เอาชาติเป็นตัวตั้ง ในกรณีที่เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เพื่อไทยมันเอาชาติเป็นตัวตั้งที่ไหน มันเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้งที่ไหน นี่คือสัญญาณที่ท่านพูดแล้ว ชัดเจน ท่านพูดอย่างนี้ไอ้พวกสุกำพล หรือพวกประยุทธ์ ก็เถียงไม่ออก มันก็เลยเอาคำพูดบางตอนมาเป็นประโยชน์ของตัวเอง
กรองทอง- ใช่ๆ หลังจากนั้นประยุทธ์ให้สัมภาษณ์เลยว่า ปัจจัยเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่าเอาเรื่องเก่ามาพันกับเรื่องใหม่ และอย่าเอาเรื่องใหม่มาพันกับเรื่องเก่า ไม่งั้นประเทศมันจะเดินหน้าไม่ได้ นี่คือประยุทธ์
สนธิ- มันเดินไม่ได้จริงๆ ที่มันเดินไม่ได้จนวันี้มันยังหาคนที่ฆ่า พ.อ.ร่มเกล้า ยังไม่ได้เลย ต้องให้เมียเขาออกมาโวยวายตลอดเวลา
เติมศักดิ์- แต่ไม่มีใครออกมาถามนะว่า ท่านจะทำอย่างไรเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างที่ป๋าเปรมถามบ้าง
สนธิ- เออ ต้องมีคนถาม
จินดารัตน์- ถาม เดี๋ยวก็มีคนคำรามใส่อีก
สนธิ- คืองี้ ไม่รู้เติมจำได้หรือเปล่า ที่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วสมัยที่ผมจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์อยู่ที่สวนลุมฯ แล้วจู่ๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทำอะไรก็ไม่รู้ ทำให้คนใจเสียหมดแล้ว
เติมศักดิ์- ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องกฤษฎีกาเลือกตั้งที่ให้มีการเลือกตั้ง คนใจหายวาบเลย ถอดใจหมดเลย พี่คำนูณของเราก็ถอดใจ
จินดารัตน์- แล้ววันที่ 2 เมษายน ก็เลือกตั้ง
สนธิ- ผมเองเป็นคนส่งเท็กซ์ไปให้มือถือคำนูณว่าใจเย็นๆ ผมเขียนภาษาอังกฤษ Relax และบอกว่าแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเองขอให้เชื่อ แล้วท่านออกมาให้ศาลจัดการ จำได้หรือเปล่าหลังจากที่การเลือกตั้ง
เติมศักดิ์- ผมเข้าใจว่าหลังจาก 2 เมษายน แล้ว คือตอน 2 เมษา ที่มีการเลือกตั้งตามที่ทักษิณกำหนด พอล้มเหลว ก็มีกฤษฎีกาเลือกตั้งก่อนรัฐประหาร แล้วพระองค์ท่านก็ให้ศาลจัดการ ศาลก็จัดการเลยไง ก็ถึงเป็นที่มาที่ต่อเนื่องกันมา แต่ว่าถ้าคุณจะดูการเมืองปีหน้าอย่างที่ผมบอก คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต คืออย่างที่ผมให้สัมภาษณ์นงเขาไปเรื่องเศรษฐกิจปีหน้า จะทำให้รู้ว่ารัฐบาลปูสะดุดขาตัวเองอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถคันแรก ไม่ว่าจะเป็นลดภาษี เงินกู้เพิ่มเติม คือโดยสรุปประเทศเหมือนบ้านเหมือนกฎหมายบริษัทอยู่ได้ด้วย 2 อย่าง ต้องมีรายได้เข้ามาและก็จ่ายออกไป รายจ่ายก็เงินเดือนพนักงาน เงินเดือนข้าราชการ ขยายบ้าน โครงการสาธารณูปโภคทุกอย่าง งบลงทุน สร้างโรงเรียน สร้างโรงพยาบาล อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากคือต้นทุนของเงินที่ต้องบริการ คือ เซอร์วิสดอกเบี้ย ส่วนรายได้ที่แน่นอน เหมือนเราเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว เรามีก๋วยเตี๋ยว เราขายไป เราขายชามละ 5 บาท ชามละ 10 บาท นอกจากนี้เรายังรับบริการไปจัดก๋วยเตี๋ยวที่งานอีก ก็เหมือนกับมีรายได้สรรพสามิต สรรพกร ก็คือรายได้ จู่ๆ วันดีคืนดีอาเฮียเกิดใจดีเรียกลูกขึ้นมาแล้วก็แจกเงินกันไป อ้าว ไปซื้อรถซักคัน ยังไม่พอประกาศติดป้ายหน้าร้าน จากก๋วยเตี๋ยวชามละ 10 เป็น 5 บาท มันพิสูจน์ชัด เงินมันน้อยลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น นี่ซิมเปิลเลยนะ ต้องการขยายร้านก็ไปกู้แบงก์มา นี่คือเงินกู้ที่จะผ่านพฤษภาหน้า แต่อีก๋วยเตี๋ยวก็ยังชามละ 5 บาท ลดลงมา ทีนี้นอกเหนือจากที่ไปให้อาตี๋ซื้อรถซักคันแล้วยังต้องเอาเงินมาขายร้าน ยังต้องส่งดอกเบี้ยเงินกู้ใหม่ แค่นี้อ่านภาพออกมั้ย มันจะเริ่มฉิบหายกันปีหน้าทีละนิดๆ เหมือนข้าว วันนี้ระบายให้ตายยังจะต้องเหลือในโกดังอีก 8 ล้านตัน แล้วขายใครล่ะ ตันละเท่าไหร่ ขาดทุนประมาณแสนห้าหมื่นล้าน ผมว่าประมาณสองแสนกว่า รัฐบาลบอกเจ็ดหมื่นล้าน คนที่บอก คำถามคือคุณต้องถามกลับมา แล้วเรื่องอะไรมึงยังต้องทำให้ขาดทุน 7 หมื่นล้าน ของมันดีอยู่แล้ว
ที่น่าสนใจคือมันมีไซด์เอฟเฟกต์ของโครงการนี้เยอะมาก ไอ้โครงการรถคันแรกเนี้ย ผมถามคุณคำรถคันแรกมันจะส่งรถ มอบรถได้หมดประมาณกุมภาฯ มีนา ผมจะเตือนวันนี้ทุกคนเลยนะ และท่านผู้ชมที่ชมรายการนี้อยู่นะ สงกรานต์ปีหน้าให้อยู่บ้านอย่าไปไหน ผมจะบอกให้รู้ เหตุผลก็เพราะอย่างนี้ ใครที่มาทำงานกรุงเทพฯ แล้วกลับบ้าน ก็อยากจะกลับบ้านเอารถตัวเองไปใช่มั้ย เพื่อเอาไปให้พ่อแม่พี่น้องเพื่อนบ้านดู ในขณะที่คนในกรุงเทพ รอบกรุงเทพ ใครมีรถคันแรกก็อยากพาลูกเมียพาแฟนไปเที่ยวสงกรานต์ แทนที่จะนั่งรถเมล์ รถไฟ เหมารถกับเพื่อนไป ก็ขับรถไป มีความรู้อยากเปิดแอร์นั่ง มีกระเป๋าปิกนิก มีแฟนนั่งไป จะมีรถอีกเกือบล้านคันที่ออกไปสู่ต่างจังหวัด แล้ววันนี้ขนาดรถคันแรกยังไม่ครบนะ ยังไม่ทันปีใหม่เลยตายไปแล้ว 33 อุบัติเหตุเกิดไปแล้ว 300 กว่ารายนะ ยังไม่ทันไรนะ สงกรานต์ปีหน้า และไอ้พวกรถคันแรกคนขี้เมาจะรู้ คนต่างจังหวัดสงกรานต์มันกินเหล้ากัน แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ตัดหน้ารถฉิบหายกันเป็นแถว
คลิก! อ่านต่อ