xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ศุกร์ที่ 2 พ.ย. 2555 (ต่อ)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ช่วงที่ 3

จินดารัตน์- กลับมาช่วงสุดท้ายแล้วนะคะ คุยทุกเรื่องกับสนธิ มีคำถามออกมาถามจากคุณชัยยุทธ บังเอิญตรงกับวันเกิดหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ พอดีนะคะ อยากรู้ประวัติตั้งแต่เด็กจนโตของคุณสนธิ มาทำหนังสือพิมพ์ได้อย่างไร สงสัยต้องเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง

สนธิ- ไม่พอ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เกิดขึ้นมาวันที่ 7 นี้ก็ครบ 12 ปี แต่ที่อยู่นานกว่าผู้จัดการ คือ ผู้จัดการรายสัปดาห์ ประมาณ 26 ปี นานกว่าผู้จัดการรายสัปดาห์ คือ ผู้จัดการรายเดือน 30 กว่าปี แต่รายสัปดาห์กับรายเดือนกลายเป็นอดีตไปแล้ว กลายเป็นระบบดิจิตอลไปแล้ว ผมกลัวว่า ถึงจุดๆหนึ่งวันนึงในอนาคตข้างหน้าแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันก็ต้องเป็นดิจิตอล เพราะหนังสือพิมพ์ทั่วโลก การพิมพ์หนังสือพิมพ์ต่อไปมันไม่คุ้ม กระดาษมันแพงขึ้นทุกวัน และระบบการจัดจำหน่ายนับวันมันยิ่งยาก ถ้าเกิดภาวะการณ์น้ำท่วมขึ้นมาปังปั๊บนะ จำหน่ายไม่ได้เลย เหมือนช่วงน้ำท่วมที่แล้วโรงพิมพ์ปิด พิมพ์ได้แต่รถที่เข้าไปขนหนังสืพิมพ์ขนไม่ได้ ส่งไม่ได้ด้วย หนังสือพิมพ์กระเทือนหมดทุกฉบับ เราก็เลยเป็นฉบับแรกที่หนีเอารายเดือนกับรายสัปดาห์ไปเป็นดิจิตอลก่อน รายวันอาจจะอยู่ได้สักปีสองปีสามปี แต่ 22 ปีมานี้เป็น 22 ปีที่ต่อสู้มาตลอด

หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีชื่อมากในเรื่องของการไม่ยอมยืนอยู่บนความไม่ถูกต้อง ผมยังจำได้เลยในช่วงที่มีการรุ่น 5 ปฏิวัติตอนนั้น คุณคำนูณ คุณรุ่งมณี เมฆโสภณ คุณสุวัตร หลายๆ คนอยู่กับผม ปานเทพยังไม่อยู่ตอนนั้น ตอนนั้นเป็นวันที่ต้องตัดสินใจว่าจะเอายังไงเพราะว่าเขาประกาศว่าห้ามลงข่าวอะไรก็ตาม ยุค รสช. ตอนนั้นถ้าผมจำไม่ผิด พวกประชาชนมีพี่ลองไปประท่วงอยู่ ถ.ราชดำเนิน เขาปิดหมดเลยนะ ทีวี วิทยุ ไม่ให้ออก รายงานหนังสือพิมพ์ไม่ให้พิมพ์ คนอยู่ที่ราชดำเนินเต็มไปหมดเลย แต่คนส่วนที่พ้นจากราชดำเนินไม่มีใครรู้ วันนั้นตัดสินใจกัน พอมีคำสั่งมาจาก รสช.บอกว่าห้ามพิมพ์ ห้ามรายงานอะไรทั้งสิ้น เราก็เลยเรียกประชุมกอง บก.หมดเลย ปรากฏว่า ผม ช่วงนั้นบริษัทเพิ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพราะว่าผมรวย เงินเยอะ ก็ถามตัวเองว่า ถ้าเราทำตามเขาไป ตามน้ำไปสักพัก พอเหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างดีขึ้นมักน็กลับไปเหมือนเดิมได้ เราก็มีความสุขกับการใช้เงินใช้ทองของเรา แต่ว่าในแว้บนึงผมมองดูหน้าคุณคำนุณ สิทธิสมาน ตอนนั้น คุณรุ่งมณี เมฆโสภณ หลายๆคน ผมมองเห็น คือเขาพูดดีนะ คุณสนธิครับ คุณสนธิเป็นเจ้าของ ผมก็มองคิดว่า ไอ้นูณนี่นะ หน้าตามันเหมือนผมสมัยหนุ่มๆ เลย ไฟแรง อุดมการณ์สูง ไม่ยอมเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผมก็เลยบอกว่า พิมพ์เถอะ พิมพ์เลย แล้วเราก็พิมพ์ฉบับพิเศษออกมาฉบับแทบลอยด์ เอาภาพที่มีการชุมนุมที่สนามหลวง ราชดำเนิน เต็มไปหมดเลย รายละเอียด เราพิมพ์ 250,000 ฉบับ แจกฟรี แจกไปทั่วกรุงเทพฯเลย คนถึงรู้ไงว่ามีการชุมนุมด้วยหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับนั้น ถึงมากัน

แล้วรุ่น 5 รสช.เนี่ย ผมไม่ได้โดนลอบสังหารครั้งแรกนะ โดนมาหลายครั้งแล้วแต่รอดมา มีครั้ง 17 เมษาฯ ที่โดนยิงจริง แต่มีความพยายาม คืนนั้นส่งคนมาจะยิงผมที่ออฟฟิศหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แต่เผอิญรู้ตัวก่อนจากแหล่งข่าวคนหนึ่งซึ่งมีบุญคุณกันมาก่อน คือลูกสาวทำงานอยู่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ แล้วได้ทุนไปเรียนต่อที่อังกฤษ ไม่มีเงินค่าเล่าเรียนเพราะพ่อเป็นเพียงแค่จ่าทหาร เรียนจบธรรมศาสตร์ หนังสือพิมพ์ผมก็เลยเอาเงินจ่ายให้ค่าเดินทางไป ให้พ็อกเก็ตติดกระเป๋า พ่อก็ถือเป็นบุญคุณ พ่อก็เสิร์ฟอาหารอยู่ กาแฟให้กับผู้ใหญ่ประชุมที่กองทัพภาพ 1 ได้ข่าวมาเลยมานั่งรอทั้งผัวทั้งเมียมารอผมอยู่วันนึงเต็มๆ ผมเข้ามา ท่านครับ ผมเป็นพ่อของนี้ๆๆ เหรอ อ้าว ลูกสาวสบายดีเหรอ สบายดีครับ อ้าว แล้วมีอะไรเดือดร้อนป่าวเรื่องลูกสาว ไม่มีครับ แต่มีเรื่องท่านจะมาเล่าให้ฟัง เขาคุยกัน ว่าเขาจะส่งทีมมายิงผมเพราะว่า เสียงของพลเอกคนนึงพูดออกมาว่าไอ้สนธิ ขอไม่ให้ซื้อไม่ขาย ต้องฆ่ามัน ขอไม่ให้ซื้อไม่ขายต้องฆ่ามัน เขาก็ส่งคนมา นัดวันเรียบร้อย วันนั้นก่อนยิงผม ก่อนจะส่งคนมาฆ่าผม พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี มาทำพิธีที่วัดชนะสงคราม เพื่อให้ได้รับชัยชนะจากประชาชน รู้ไหมว่าตำรวจ สน.ชนะสงคราม ที่เป็นสารวัตร พ.ต.ต.ทรงธรรม อัลภาชน์ ที่ไปเป็นผู้การเชียงราย ตอนนี้ถูกย้ายมากลับเพราะเสือกรู้จักผม มาบอกพี่ๆ บิ๊กตุ๋ยเขามาทำพิธีที่วัดชนะฯ ขอชัยชนะ บอกทำที่ไหนว่าไอ้ใหญ่ ที่นี่ครับ พากูไปหน่อย เราทำมั่งพิธี เราก็ไปขอกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้า เราบอกว่าคนเมื่อกี้มาขอมันจะฆ่าประชาชน ท่านอย่าไปให้มัน ขอให้มันแพ้ขอให้มันแพ้ เราก็ทำพิธีทับมันเลย ตลกมากๆ พอเรารู้วันรุ่งขึ้น ทหารแก่ จ่าคนนั้นก็มารายงานให้ทราบก็เลยเตรียมตัวไปอังกฤษเลย หนีเลย มันฆ่าเราแน่ ก่อนไป ก็ประชุมพวกทีมแอ็กทีวิสต์ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ก่อนขึ้นเครื่องบินนะที่ดอนเมือง นัดมา ใครนั่งอยู่ด้วยรู้ไหม ชัชวาลย์ แล้วไอ้อ๋า สามีของมาลีรัตน์ หลายคนนั่งอยู่ เฮ้ย พี่ต้องไปแล้วนะ มันจะยิงพี่แล้ว พี่อยู่มันฆ่าพี่แน่นอน มันรู้แล้วว่าพี่เป็นคนกระจายหนังสือ โอ้โห พวกผมจะทำยังไง พวกผมต้องสู้ ค่าใช้จ่าย สนธิหยิบเช็คมาเลย เขียนจ่ายเงินสดเปิดให้กรอกตัวเลข เซ็นซื่อส่งให้ชัช ชัชเอาเงินไปเบิกเป็นล้านเลย อาหารที่พฤษภาทมิฬกินเนี้ย เงินผมทั้งนั้นเลย ขี้เกียจพูด การต่อสู้ผมมีมานานแล้ว จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการแล้วผมก็บินไปอังกฤษ ยังเคยคิดเลยจะไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่อังกฤษ

ด้วยเหตุนี้ จิตวิญญาณการต่อสู้ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการจึงมีมาตลอด มีมาตั้งแต่ต้นเพราะตัวผมเองเป็นนักสู้ เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าประเทศถ้ามีนายกฯ เป็นคนดี ประเทศจะดี บ้าน ถ้าพ่อเป็นคนดี แม่เป็นคนดี ก็ดี บริษัทถ้าเจ้านายดี ลูกน้องก็ดี

นายห้างสหพัฒน์ เทียม โชควัฒนา นายห้างเทียมเป็นคนซื่อสัตย์ เป็นคนจริงใจกับประชาชน กับคน เพราะฉะนั้นสินค้าของสหพัฒน์ในยุคนั้นก็เลยดี ก็เลยดีหมดทุกอย่างเลย ขายเอากำไรพอประมาณ คุณภาพดี สื่อมวลชนถ้าเจ้าของดี คนทำหนังสือพิมพ์ก็ดี ถ้าสื่อมวลชนเจ้าของหน้าเงิน เห็นแก่เงิน ไอ้ลูกน้องก็เห็นแก่เงิน เหมือนอย่างช่อง 3 นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ไม่ต้องดูอะไรมากมาย หรือสื่อมวลชน อย่างเช่นมติชน เจ้าของไปรับงานเพื่อไทย ลูกน้องก็เห็นว่าเจ้าของรับงานเพื่อไทย ก็เชียร์เพื่อไทย เพราะจะได้ผลประโยชน์จากเสื้อแดง จากทักษิณ ฉันใดฉันนั้น

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อผมยืนอยู่ในหลักการที่ผมไม่เปลี่ยนแปลง หนังสือพิมพ์ผู้จัดการก็เลยสู้มาตลอด เราสู้มาตลอด เราสู้รัฐบาลทุกรัฐบาล ประชาธิปัตย์นี่เราสู้มาแล้ว ตั้งแต่สมัยคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สู้มาตลอดเลย สู้มาจนถึงวันนี้จนครบ ไม่มีอะไรเสียใจ หลายคนอยู่กับผมมาตั้งแต่วันแรกที่สู้ หลายคนก็เจริญเติบโตไปในทิศทางตัวเอง คำนูณ สิทธิสมาน ก็กลายเป็น ส.ว.ไป รุ่งมณี เมฆโสภณ แม้กระทั่งครั้งหนึ่งสามีรุ่งมณ เมฆโสภณ วสันต์ ภัยหลีกลี้ ก็มาอยู่กับผม ถึงแม้ว่าในการกรอกใบสมัคร อสมท เขาไม่ยอมใส่ชื่อว่าเคยอยู่ผู้จัดการ คือผู้จัดการกับชื่อสนธิ มันอันตราย

นงวดี- แสลงใจ

สนธิ- มันแสลงใจ เวลานงไปสมัครงานที่ไหน ถ้าบอกว่าเคยทำงานกับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และคุณสนธิ ลิ้มทองกุล รับรองว่าไม่ได้ แต่ผมเข้าใจ ผมก็ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่บางคนเขาใส่นะ เขาไม่แคร์ เขาบอกเขาภูมิใจ เหมือนหลานชายผมอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นหลานผมก็ได้ ที่เขาเพิ่งแต่งงาน คุณแม่เขาแต่งงานกับคุณชมศักดิ์ สรทัศน์ คุณตาเขาคือ พล.ท.ชม สรทัศน์ เขานามสกุลสรทัศน์ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นหลานผม เขาเป็นลูกน้องสาวผมแท้ๆ ผมถาม เอ้ เอ้จะให้ลุงไปเป็นประธานในงานแต่งงานแล้วขึ้นกล่าวน่ะ เอ้แน่ใจแล้วเหรอ แน่ใจลุง เอ้เลือกเอง ทำไม เสียหายตรงไหน เอ้ไม่กลัว ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ แล้วเพื่อนๆ เอ้เขาไม่ว่าเหรอ เพื่อนเอ้น่ะไม่รู้หรอกว่าลุงเป็นลุง ลุงสนธิเป็นลุงเอ้ แล้วไง แล้วมันนินทาลุงมั้ย มี มีหลายคนนินทา แต่มันไม่รู้ว่าเอ้เป็นหลาน ก็ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ เหมือนเหรียญมีสองด้าน

เพราะฉะนั้นแล้วการทำหนังสือพิมพ์ ถ้าหัวไม่ส่าย ถ้ามีหลักการ ลูกน้องจะไม่กล้าส่าย ประวัติการทำหนังสือพิมพ์ของผมมีมาตั้งนานแล้ว วันนี้เทิดภูมิ ใจดี ก็ยังเจอผม ยังนั่งคุยกันอยู่เลย เทิดภูมิก็บอกว่า ไอ้ห่า ผมน่ะโดนยิงที่สำนักงานทนายความธรรมรังสี ตอนนั้นเทิดภูมิเป็นหัวหน้าสหภาพแรงงานโรงแรมดุสิตธานี มันเป็นคนนำการสไตรก์ดุสิตธานี แล้วก็โดนยิงด้วย 11 มม. มันบอกว่านักข่าวคนแรกที่มาถึงผมเลย คุณสนธิ ผมจำได้ ขับรถมาเลย มีรูลูกปืนทะลุไป เนี่ยยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ สมัยนั้นทำหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยสู้กัน สู้กันระหว่างนั้นมีกระทิงแดง ทำหนังสือพิมพ์ไป มี 11 มม.วางบนโต๊ะ แล้วคุณรู้มั้ย บัญชา คามิน .. คามินเนี่ย บัญชาเกิดทีหลัง คามิน คือไอ้เบื๊อก ชูเกียรติ เจริญสุข มันเกิดกับผม และที่หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย

หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย 2515 หรือ 16 กี่ปีแล้วล่ะ 40 ปี มันเรียนอยู่ปีสุดท้ายของศิลปากร จู่ๆ มันสะพายเป้มาขอพบ บก. ขอพบผม ผมนั่งอยู่มุมห้อง สุดเลย ก็ดู ดูเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ว่าไง เอ้า มาเขียนให้กูแล้วกัน ผมก็ให้ค่าแรงไป สมัยนั้นก็ถือว่าโอเคพอสมควรสำหรับนักศึกษา เขียนมาสักพักหนึ่ง พี่ ผมจะไปเรียนต่อชิคาโก ไม่มีค่าตั๋วเครื่องบิน งั้นเดี๋ยวกูออกให้มึง เอาค่าตั๋วเครื่องบินให้มัน มันก็ได้ไปแล้วแม่งไม่ไป เอาเงินไปใช้

จินดารัตน์- ความลับถูกเปิดเผย

สนธิ- แล้วกลับมาอีก ในที่สุดก็ได้ไป และไปได้เมียที่ชิคาโก ไอ้เบื๊อกนี่กลับมาก็วาดการ์ตูนให้ผมมาตลอดชีวิต ไม่เคยไปอยู่ที่ไหน มันเป็นคนมีครีเอทีฟสูงมาก และมันก็มาฝึกบัญชา ก็เลยกลายเป็นชื่อ “บัญชา คามิน”

จินดารัตน์- ป๋าบัญเนี่ยนะคะ

สนธิ- ไม่ใช่ป๋าบัญ

จินดารัตน์- ป๋าบัญนี่ไม่ใช่บัญชาเหรอคะ

สนธิ- ไม่ใช่ คนละคน บัญชานี่ไอ้จี๋

จินดารัตน์- อ๋อ พี่จี๋นี่คือบัญชาเหรอคะ

สนธิ- คามิน คือชื่อลูกชายของไอ้เบื๊อก ชื่อคามิน ก็ไปมีภรรยาชื่อไก่ ทีหลังก็กลับมาเมืองไทย มาทำงานบริษัทโฆษณา มันเป็นครีเอทีฟ พูดให้ฟังก็ได้ แต่มันไม่เคยที่จะไม่มาช่วยงานเรา ในช่วงเราลำบากก็อยู่ด้วยตลอดเวลา ช่วงเราสบายเขาก็โอเคทุกอย่าง อยู่กันมาตลอด 40 ปีแล้ว

จินดารัตน์- จนกระทั่งได้ข่าวว่าทุกวันนี้ภรรยาพี่เบื๊อก แกทำตับบดมาให้กิน

สนธิ- ทำตับบดมาให้กิน เพราะมันเคยเอามาให้กินวันหนึ่ง ผมชอบ อร่อย ผมบอก เฮ้ยบอกไก่อร่อย ไก่ก็ทำมาอีก แล้วก็เขียนโน้ต บอกขอบคุณที่ชอบของไก่ สมัยก่อนที่บ้านก็ชอบ แต่เขาคงเบื่อไปแล้วตอนนี้ เขาคงไม่อยากกิน นี่คือที่มา

จินดารัตน์- ก็มีคนถามถึงบัญชา คามิน เพราะเขาบอกว่าอยากรู้จักบัญชา คามิน เก่งมากๆ ค่ะ การ์ตูนผู้จัดการสุดยอด

สนธิ- คือเบื๊อกกับจี๋เขาเป็นคนที่ติดตามการเมืองมาตลอด ที่สำคัญคือเขาเป็นคนซึ่งเข้าใจเหตุการณ์ และที่สำคัญเขายืนอยู่บนความถูกต้องไง แล้วมุมมองการเมืองของเขา เขามองในเชิงที่เรียกว่าประชดประชัน เขาตลกร้ายมากนัก เขามองการเมืองแบบตลกร้ายจริงๆ บางทีเขานั่งๆ อยู่ เขาชอบฟัง เบื๊อกเป็นคนชอบฟังมาก บางทีผมกินกาแฟเช้าๆ บางทีเขาอาจจะมาสัก 1-2 ครั้ง นั่งกินกาแฟ ไข่ลวก ขนมปัง จิ้ม เสร็จเรียบร้อยเขาก็ฟังเราคุยกัน เขาก็เก็บสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ แล้วก็ไปออกเป็นการ์ตูน สุดยอด สำหรับผมแล้วนะ อาจจะเข้าข้างคนของเราเอง ของเขาค่อนข้างจะอันดับ 1 ของประเทศไทยตอนนี้

นงวดี- สุดยอดจริงๆ เหมืนอกัน แต่ว่านี่แค่น้ำจิ้มค่ะคุณสนธิ ถ้าจะให้เล่า 22 ปี คงยาว นี่ยังอยากรู้ส่วนตัว วันหลังมาค่อยเล่าก็ได้

สนธิ- วันหลังจะให้พูดถึงเรื่องชีวิตการทำหนังสือพิมพ์ของผม

จินดารัตน์- เจอมาทุกรูปแบบ

สนธิ- เจอมาทุกรุปแบบ จะเล่าให้ฟัง

นงวดี- แล้วยังช่วงที่มาทำทีวีด้วย

สนธิ- ได้ เอาไว้วันหลัง นัดกันสักศุกร์หนึ่ง

นงวดี- ทีนี้เขาให้เรามาที่คำถามแล้วพี่แอน จริงๆ เรามีเรื่องอเมริกาที่อาทิตย์หน้าจะเลือกตั้ง แล้วก็จะมีเรื่องดาราที่โชคดีไปเนี่ย เดี๋ยวลองเลือกคำถามที่คุณผู้ชมส่งมา แล้วก็เกี่ยวเนื่องกับเรื่องพวกนี้ดูนะคะ

จินดารัตน์- คุณนรีนารถ บอวก่าอยากให้พูดถึงความล่มสลายของคนในชนบท คนรู้จักมีรอบๆตัวตั้งแต่โดนโกงบ้าง ส่งลูกหลานมาอยู่ในกรุงบ้าง โดยเอาที่ทำกินไปจำนอง แล้วสูญเสียไปในที่สุด สังคมในชนบทอยู่ไม่ได้ ประเทศชาติจะเดินไปยอ่างไร น่าห่วงมากๆ

สนธิ- อันนี้เป็นอย่างนี้จริงๆ คุณนงค์อยู่ในวงการข่าวธุรกิจ ถ้านงจำได้ ผมจะเป็นคนที่พูดมาตอนต้นๆตลอดเวลา ผมจะบอกว่าประเทศไทยเดินตามรอยเท้าของอเมริกาเราฉิบหายแน่นอน อเมริกาส่งเสริมให้จับจ่ายใช้สอย บริโภคนิยม อเมริกาถือว่า ถ้าคนจับจ่ายใช้สอยน้อยธุรกิจไม่เดิน เศรษฐกิจตกต่ำฉะนั้นต้องใช้เยอะๆ คือกู้เยอะๆ มีบัตรเครดิตกี่ใบก็กู้เข้าไป ไม่เป็นไร จนกระทั่งภาวะการของการใช้ หนี้ต่อเดือนขออเมริกาสูงมาก ผมมองในมุมกลับ ผมมองว่าเนื่องจากอเมริการะบบเขาถึงนงค์จะใช้เยอะอย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้วมันจะมีระบบมารองรับหลายๆอย่าง เช่น ระบบรีไฟแนนซ์ทุกอย่างมาทำหมด มาแพกเกจใหม่ ผ่อนใหม่ แล้วระบบล้มละลายของอเมริกาที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า แชปเตอร์เลเว่น มันง่าย สมมติว่านงค์ทำอะไรก็ตามทำเสร็จเรียบร้อยแล้วกู้เงินมาเยอะแล้วมาใช้เงินเยอะจนกระทั่งไม่มีเงินมาผ่อนแบงก์ได้ นงค์ก็ไปประกาศตัวเองล้มละลาย เขาก็ไปยึดหมดเลย ยึดก็ยึดไป แล้วนงค์ก็ไปเช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ บ้านก็ไม่มี ก็ไปหางานทำใหม่ คอ่ยๆสร้างตัวใหม่ทีละนิด คล้ายๆว่าอเมริกามีระบบว่า ให้ใช้เต็มที่แต่ถ้าเจ๊งก็เจ๊งไปเลยนะ บ้าน โซฟา รถถูกยึดเอาไปขายนะ เวลามายึดของอเมริกาจะไม่ยื้อนะ ยึดคือยึด แต่มันก็เริ่มใหม่จากศูนย์ได้ ของมันจะไม่มีระบบเหมือนเมืองไทย เมืองไทยเวลาเซ็นค้ำประกันผ่อนรถ ผ่อนรถมันยึดรถไปแล้วนะ พอยึดเสร็จมันก็มาฟ้องนงค์ในฐานะเป็นคนผ่อน แล้วมาฟ้องคนค้ำประกันต่อ อเมริกาถ้าผ่อนแล้วไม่ได้ยึดรถคืนจบตรงนั้นเลยนะ หรือบ้าน ถ้าเราไปเช่าซื้อบ้านหรือผ่อนบ้านหลังหนึ่ง ผ่อนไปได้ 24 ปี 26 ปี เราผ่อนไม่ได้ ค้าง 6 เดือน มันบอกว่าจะต้องยึดแล้ว หนี้ระหว่างมันกับเราก็จบ เมืองไทยไม่มี ต่อเลย ต่อไปถึงคนค้ำประกัน คนค้ำประกันมีทรัพย์เท่าไหร่ไปล่าเลย ระบบเศรษฐกิจเมืองไทยออกแบบสำหรับนายทุน ที่จะกระทืบผู้บริโภคอย่างเดียว ตรงนี้อันนี้จริงนะ สังเกตได้เลย แล้วกฎหมายไม่เคยแก้ตรงนี้ กฎหมายไม่เคยแก้ตรงนี้ บางครั้งเวลาผู้พิพากษา ศาลแพ่ง หรือศาลล้มละลาย เวลาขึ้นศาลลูกหนี้ขึ้นไปร้องกับศาลบอกว่า หนี้มีอย่างนี้ คำนวณธนาคารคำนวณผิด อย่างโน้นอย่างนี้นะ ศาลพูดว่าอย่างไรรู้ไหม เขาเป็นธนาคารเขาจะไปคำนวณผิดได้อย่างไร มีหนี้ต้องใช้ ท่านไปมองอย่างนี้ไง ท่านไม่ได้มองถึงสิทธิของลูกหนี้ ท่านไม่ได้มองว่า เป็นไปได้ไหมว่า ธนาคาร และธนาคารข้อเท็จจริง มันโกงดอกเบี้ยคนนะ

จินดารัตน์- เอาเปรียบ

สนธิ- เอาเปรียบตลอดเวลานะ ตรงนี้ นี่คือการคุ้มครองประชาชนน้อยมาก 2.ผมยังเชื่อว่า สังคมที่จะเจริญเติบโตต่อไปอย่างเข้มแข็ง ต้องมีภาวะการออมที่สูง แอนเป็นแม่บ้าน นงเป็นแม่บ้าน นงมีลูก แอนมีลูก ต้องรู้ว่าการออมนี่สำคัญ การออมนี่สำคัญ เมื่อการออมนี่สำคัญแล้ว หน้าที่รัฐจะต้องหาทางส่งเสริมให้คนออมมากขึ้น แต่ในทางมุมกลับ รัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล กลับปล่อยปละละเลย ให้มีการส่งเสริมให้คนใช้เงิน ให้กู้ ปล่อยให้เงินง่ายๆ แต่ทั้งหมดเป็นหนี้ครัวเรือน แบงก์ชาติเพิ่งจะมาคิดได้ตอนนี้ ทั้งๆ ที่ควรคิดได้นานแล้ว คือแบงก์ชาติน่าจะมองออกแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นแบงก์ชาติกลับมองบอกว่า มันยังไม่ถึงขั้นที่วิกฤต คำถามผมมีว่า ทำไมต้องรอให้วิกฤตถึงจะทำ และในที่สุดแบงก์ชาติถึงมาประกาศเมื่อวานมั้ง หรือเมื่อวานซืน ที่บอกว่าไม่อยากให้ธนาคารออกโฆษณาส่งเสริมให้คนยืมเงิน ใช้เงินเข้าใจหรือยัง นึกออกไหม เพราะเดี๋ยวนี้เด็กรุ่นหนุ่ม คนทำงานบัตรเครดิต 4 -5 ใบ ใบนึงวงเงิน 50,000 บาท 4 ใบก็ 2 แสน 2 แสนใช้ใบนี้เต็มแล้วเอาใบนี้มาโปะ โปะไปเรื่อยๆ แล้วเขาให้จ่ายแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ของยอดวงเงินผ่อนไปเรื่อยๆ และที่เหลือบวกดอกเบี้ยไป ธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่า ตอนนี้หนี้ต่อครัวเรือนสูงมาก สูงจนน่ากลัว

จินดารัตน์- จะพากันเจ๊ง

สนธิ- ก็พากันเจ๊งไงใช่ไหม นี่คือคำตอบ คำตอบหนึ่งของการล่มสลายทางชนบทเช่นกัน ทำไมจะไม่ล่มสลาย เราเคยมีทิศทางทางเศรษฐกิจเราไหม ไม่มี ยิ่งรัฐบาลชุดยิ่งลักษณ์ยิ่งไม่มี รัฐบาลชุดไหนก็ไม่มี ทุกชุดมีแต่เรื่องของการใช้เงิน ใช้เงิน ทุกชุดมองแบบทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทางอเมริกา ทางตะวันตกว่า ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า ถ้าจะ Stability Economy ต้องให้มี Consumer Spending

จินดารัตน์- เกิดการใช้จ่ายเยอะๆ

นงวดี- ใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจ อย่างอเมริกาอย่างนี้ สินค้าอย่างหนึ่งจะบิ๊กไซส์ไปทั้งหมด เพราะว่าทำให้เกิดการบริโภคมากขึ้น แต่ไม่ได้ไปดูว่า

จินดารัตน์- มันเกินความจำเป็นหรือเปล่า เอาคำถามคนนี้ไหม ถูกใจนงแน่เลย

นงวดี- ไม่บางทีอาจารย์ปานเทพ ไปโฆษณาไว้แล้ว

จินดารัตน์- คุณมุก แพต บอกใคร่จะรบกวนพี่ อยากจะให้คุณสนธิพูดเรื่องน้องตั๊ก บงกช เพราะอยากให้กำลังน้องเขา เพราะที่ผ่านมาน้องเขารักพระองค์ท่าน และกล้าแสดงออก

สนธิ- เอาอย่างนี้ละกัน พูดถึงน้องตั๊กแล้วก็จบเลยดีไหม จะดึกไปและ ผมคิดว่าถ้าเราจะมองตั๊ก บงกช เราต้องมองเขาหลายมิติ เรามองเขามิติเดียวไม่ได้หรอก 1.เรามองมิติในฐานะเขาเป็นดารา คำถามคือเราตอบตัวเราเองไป เขาเป็นดาราที่แสดงดีไหม

จินดารัตน์- ดูผลงานก่อน

สนธิ- ดูผลงานก่อน เขาเป็นดาราที่ดี เขาไม่แสดงดีไม่ได้แสดงว่า เขาแสดงดีอย่างเดียวนะ เขากล้าแสดงออกเพื่อศิลปะจริงๆ บทที่ต้องโป๊เขากล้าโป๊ เพราะเขาถือว่านี่คือศิลปะการแสดง อันนี้คือมิติดารา มิติที่ 2.ในฐานะที่เขาเป็นลูก ถามว่าเขารักแม่ไหม เขารักมาก เขายอมแม่ทุกอย่าง ยอมได้แม้กระทั่งแม่จะให้เขาแต่งงานกับใคร ถึงเขาไม่รักเขาจะแต่งให้ นี่คือคนที่กตัญญูต่อแม่ ถึงแม้จะรักแต่ยังมีความดื้อต่อแม่ เหมือนกับสมัยที่เขาเคยคบกับผู้ชายคือ เปิ้ล

นงวดี- เปิ้ล นาคร

สนธิ- แต่ในที่สุดแล้ว เพื่อแม่เขาก็เลิก แต่ว่าก่อนที่จะเลิก เขาต้องรอเขาก่อน นี่คืออารมณ์ศิลปินถูกไม่ถูก เพราะฉะนั้นถ้าถามถึงความกตัญญูต่อแม่เขามี อันที่ 3.พูดถึงในฐานะตั๊กเป็นผู้หญิง อีกมิติหนึ่ง ผู้หญิงอย่างเขาเนื่องจากแม่กับพ่อ เลิกกันมานานแล้ว เลิกตั้งแต่เขาเด็กๆ แล้วแม่เลี้ยงเขามาตลอด เลี้ยงแบบชนิดที่เรียกว่า ขายของริมถนนเพื่อที่จะเลี้ยงลูกสาวคนนี้ เพราะฉะนั้นแล้วในลักษณะผู้หญิงที่ต้องดิ้นรนมา แล้วตั๊กไม่ได้จบอะไรนอกจากจบ ม.ปลาย ซึ่งเรื่องประเด็นการศึกษากลับไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับผม ที่สำคัญที่สุดคือ ความที่เขาไม่มีพ่อ เขาขาดความอบอุ่นมาก ไอ้ที่ 2.เขามีแม่ คือเหมือนกับมีแม่กับลูกสองคนอยู่กัน ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีอะไร ก่อนที่จะเขาเป็นตั๊ก บงกชวันนี้ ก่อนที่เขาจะมาเป็นดาราที่มีชื่อ ก่อนที่เขาจะมาเล่นหนังตั้งแต่หลายเรื่อง มีหลายเรื่องเข้ามารอเขา แอนลองมองย้อนกลับไป สมัยที่สองคนแม่ลูกอยู่ในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรกิน

จินดารัตน์- อดมื้อกินมื้อลำบาก

สนธิ- ลำบาก เขาลำบาก เพราะฉะนั้นแล้วชีวิตเขาผ่านความลำบากมามาก จนกระทั่งเขาเริ่มมี เขาเริ่มมีเงินเก็บ เขาแสดงหนังเรื่องหนึ่ง เข้าใจว่าได้สัก 5-6 แสนบาท และเขาทำหนังเรื่องปายเลิฟใช่ไหม แล้วหนังที่เขาสร้าง หนังเรื่องนั้นกำไร 5-6 ล้านบาท ก็สองคนแม่ลูกไม่มีอะไร ทำมาหากินอย่างบริสุทธิ์ จนกระทั่งมีเงินมาก้อนหนึ่ง ถามว่าในฐานะแม่ เขาพอใจไหมที่จะให้ลูกมีความมั่นคง แน่นอนเพราะว่าแม่ก็ไม่สบาย จะมาในรูปไหนก็ตาม ขออย่างเดียวผู้ชายคนนั้นจริงใจกับลูกเขา จริงใจกับลูกเขานี่คือในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วถ้ามองจากแม่ แล้วถ้ามองจากลูกละ ลูกมองว่าตัวเองเป็นดารา ไม่รู้ว่าอนาคตจะคอมมานด์ได้ไหมเรื่องละ 6 แสน 7 แสนใช่ไหม หรือว่าหนังที่แสดงอาจจะฟล็อดสัก 3-4 เรื่อง ราคาตกไปเลย ไม่มีงานทำ แล้วแม่จะทำอย่างไร แม่ก็ไม่สบาย เพราะฉะนั้นแล้วทั้งคู่ขาดอยู่อย่างหนึ่งคือ ความมั่นคงในชีวิต ก็เข้ามาคือ

จินดารัตน์- คุณบุญชัย

สนธิ- เขาเอาเข้ามาหลายคนแล้ว ผู้ชายในชีวิตเขา เพราะเขาเป็นคนสวย เขารูปร่างดี ผู้ชายในชีวิตเขาล้วนแล้วแต่อยากจะครอบครองร่างกายเขาทั้งนั้น ก็เข้ามาถึงคุณบุญชัย คุณบุญชัยมองในรูปแกอีกเหมือนกันว่า แกผิดไหม แกไม่ผิดหรอกเพราะแกมีเงิน แล้วอีกอย่างหนึ่ง เขาบอกว่าแกมีภรรยาอยู่ 5 คน คนนี้เป็นคนที่ 6 ต้องถามกลับว่า 5 คนที่เลิกไปแต่ละคนโอเคไหม ถือว่าโอเคทุกคน เพราะแต่ละคนร่ำรวยเงินทอง ถ้าถามคุณบุญชัยใช้เงินซื้อคนหรือเปล่า ผมตอบไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด คุณบุญชัยไม่ใช่เศรษฐีธรรมดา ต้องถือว่าเป็นอภิมหาเศรษฐี เงินต้องมีร่วมเป็นหมื่นล้าน หรือว่าถ้าไม่ถึงหมื่นล้าน ก็หลายพันล้านถือว่า เยอะ หลังจากแบ่งแล้วนะ เพราะฉะนั้นถ้าคุณบุญชัย ณ วันนี้ถ้าไม่มีภรรยา หย่ากับภรรยาคนที่ 5 เรียบร้อยแล้ว อายุมากแล้วลูกเขาโตแล้วถูกไม่ถูก เขาไปมีชีวิตเกี่ยวกับงานศิลปะเขาอย่างโน้นอย่างนี้ ใช่ไหม แล้ววันดีคืนดีก็เข้าไปวัดธรรมกาย คุณบุญชัยเป็นลูกศิษย์ของธัมมชโยเลยนะ เป็นตัวแรงเลยนะ

จินดารัตน์- เขาว่าตัวพ่อ

สนธิ- ตัวพ่อเลย ธรรมกายตัวพ่อเลยนะ เผอิญตั๊กเขาเคารพหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ แต่เขาไม่ได้เข้าธรรมกาย เข้าไปปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำ เพราะฉะนั้นแล้วนะ 1.คุณบุญชัยอาจจะอ้างความเป็นธรรมกายที่มาจากหลวงพ่อสด 2.เป็นคนชอบศิลปะ ตั๊กขาดความอบอุ่น มีความรู้สึกว่า นั้นแม่มีความว่า คุณบุญชัยไม่มีภาระ

จินดารัตน์- มีความมั่นคงสูง

สนธิ- มีความมั่นคง และโสด อันนี้เป็นสูตรที่ลงตัว พอดีเลยบุญชัยอายุมากกว่าตั๊ก เป็นพ่อได้ เพราะบุญชัยน่าจะ 60 แล้ว

จินดารัตน์- ย่างๆ คะ เกือบๆ

สนธิ- 58 59 ประมาณนั้น ตั๊กเพิ่ง 28 ห่างกัน 30 ปี ใช่ไหมครับ ห่างกัน 30 ปี คำถามมีอยู่ว่า เมื่อคุณบุญชัยอายุ 70 ปี ตั๊กเพิ่งจะ 40 คำถามว่าบุญชัยจะรับตั๊กไหวไหมตอนนั้น ใช่ไหมครับ นั้นเป็นเรื่องในอนาคต ค่อยว่ากัน ทีนี้เราพูดถึงแต่ละมิติ แต่มิติสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดคือว่า เขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ผมตั้งแต่เห็นดารามา เอาเฉพาะดาราผู้หญิงนะ ไม่มีใครใจถึงเท่าตั๊กเลย เรื่องของความรักชาติ รักพระเจ้าอยู่หัว ใจถึงที่สุด

จินดารัตน์- กล้าแสดงออก

สนธิ- ชมพู่อาจจะร่ำรวย แสดงดังมีชื่อเสียงมาก เล่นบทเรยาอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ผมไม่เคยเห็นชมพู่แสดงจิตใจที่แสดงออกถึงการออกมาปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปกป้องพระเจ้าอยู่หัว เมื่อยามที่พระเจ้าอยู่หัวถูกรังแก ไม่มี คุณไปไล่ดูสิ พลอย เฌอมาลย์ไม่มี คุณเอ๋ยชื่อใครก็ได้

นงวดี- มุนิน มุนิน

สนธิ- มีตั๊กคนเดียวในบรรดาผู้หญิง ดาราผู้หญิงทั้งหมด แล้วถามว่า ที่ไม่กล้าออกความเห็นในทางลับบอกว่า พูดมากไม่ได้เดี๋ยวจะไม่มีงาน คำถามเขาถามกลับ แล้วตั๊กเขาไม่กลัวเขาไม่มีงาน เขาเสี่ยงภัยถึงขนาดที่ว่า เขาไปถ่ายหนังที่พัทยา

จินดารัตน์- หนีตาย

สนธิ- หนีตาย เพียงเพราะว่าเขาออกมาปกป้องพระเจ้าอยู่หัวจากอากง เพียงแค่นี้มิติเฉพาะตรงนี้ จบแล้วเรื่องของข่าวลบที่คุณมองตั๊กในแง่ลบจบไปเลย จบหมด เคลียร์ไหมอย่างนี้

จินดารัตน์- เขาเรียกว่าผู้หญิงคนนี้ใจใหญ่มาก คือใจเขาแบบคือ น้องๆ ในวงการบอกโคตรแมนเลย คือตั๊กเขาแบบกล้าพูด กล้าแสดงออก

สนธิ- คือเขากล้าไง คือผมดูแล้วเขาจะกล้าในสิ่งที่เขาเชื่อว่าถูก เขาจะไม่ยอมเรื่องอะไรเขาผิด ถ้าเขาไม่ผิดมาว่าเขาเขาไม่ยอม

จินดารัตน์- มีพันธมิตรฯ เยอะนะคะทีเข้าไปให้กำลังใจเขา

สนธิ- เขาเป็นคนที่ควรจะได้รับกำลังใจ แต่ปัญหาอยู่ที่ผมอยากจะเตือนเขานิดหนึ่ง ผมอยากให้แม่เขาหยุดได้แล้ว หยุดออกให้สัมภาษณ์ ความรักเป็นเรื่องที่สวยงาม เป็นความรักที่บุญชัยกับตั๊ก น่าที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน และอยู่ด้วยกันตกลงกัน ทำความเข้าใจกันมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปโพนทะนาให้ใครรู้ แต่ผมก็เข้าใจแม่เขา เป็นความภูมิใจของแม่ ผมเชื่อว่าการที่บุญชัยมารักตั๊กแล้วมาขอตั๊กแต่งงาน ดาราอีกหลายคนอิจฉามาก ทีไปนินทาเขาลึกๆอยากได้คุณบุญชัยเหมือนกัน

นงวดี- แต่ไม่ว่าด้วยอะไร คือ ถ้าเป็นคนที่ด้วยจิตใจจริงๆ เห็นคนสองคนมีความรักต่อกันจนอยากจะใช้ชีวิตร่วมกัน ก็ต้องให้กำลังใจเขา

สนธิ- โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมไม่อยากให้ท่านผู้ชมลืมมิติสุดท้าย มิติของการรักพระเจ้าอยู่หัว แล้วตั๊กกล้าแสดงออกมาปกป้องโดยไม่กลัวอะไรเลย ผม ถือว่าตรงนี้ชนะเลิศแล้ว

จินดารัตน์- ใจใหญ่กว่าผู้ชายบางคนอีกนะ หมดเวลาแล้ว

นงวดี- วันนี้ก็ครบรสค่ะพี่แอน คุณสนธิ ก็ได้ทุกเรื่องราวจริงๆ อย่างที่พี่น้องทุกคนรอคอยทุกศุกร์ วันนี้คงหลับฝันดีกัน

จินดารัตน์- ถ้าอย่างไรดูรายการคุยทุกเรื่องกับสนธิวันศุกร์ก็สลับไปทานอาหารร้านี่แต๊วบ้างนะคะ ร้านนี่โล่งเชียววันศุกร์เนี้ย

สนธิ- อาทิตย์หน้าผมมีเรื่อง กสทช.ที่เป็นเบื้องลึกเลย เอามาเล่าให้พวกเราฟัง คุณรู้มั้ยการประมูลคราวที่แล้วเนี้ย TOR กสทช. หรือทีเขาเรียก IM ข้อมูลของเงื่อนไขการประมูลมันเลวบัดซบที่สุดนะ มันส่อให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบของ กสทช. มันส่อให้เห็นถึงการเจตนารมณ์ที่จะให้ฮั้ว แล้วผมจะมาเปิดให้ดู ทำให้ผมยิ่งมีความเชื่อ ว่าการที่เรามี กสทช.ขึ้นมา เป็นการทำลายประเทศชาติ ไม่ได้เป็นการช่วยชาติเลย

จินดารัตน์- เหมือนเปิดประตูให้โจรเข้ามาปล้น

นงวดี- อาทิตย์หน้าเข้มข้นเหมือนเดิม วันนี้หมดเวลาแล้วนะคะ เรา 3 คน ลาไปก่อน สวัสดีค่ะ


กำลังโหลดความคิดเห็น