ผบ.ทบ.เป็นประธานวันทหารม้า 4 ม.ค. ที่ค่ายอดิศร สระบุรี ให้โอวาทกำลังพล ชื่นชมมีส่วนปกป้องอธิปไตย เผยรถถังยูเครนจ่อประจำการ 5 คันกลางปีนี้ โต้สื่อพาดหัวอุ้มรัฐบาล ยันคดีเขาพระวิหารต้องใช้กระบวนการยุติธรรม เผยแผน 3 ระยะ วางเป้าถึงปี 2569 ดับไฟใต้ ปัดวิจารณ์ กห. ถอดยศ “อภิสิทธิ์” อ้างเป็นอำนาจผู้บังคับบัญชา
วันนี้ (4 ม.ค.) ที่ศูนย์การทหารม้า ค่ายอดิศร จ.สระบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานเนื่องในวันทหารม้า 4 มกราคม ซึ่งในวันนี้ได้มีการนำรถถังและรถสายพานลำเลียงทุกรุ่นที่เข้าประจำการของกองทัพบกมาจัดแสดง โดย ผบ.ทบ.ได้นั่งรถถังโบราณรุ่นเรโน ซึ่งมีอายุ 74 ปี และปลดประจำการไปแล้วเข้ามายังบริเวณพิธี และได้กล่าวให้โอวาทกำลังพลว่า ทหารม้าถือเป็นกำลังหลักของกองทัพบก มีส่วนสำคัญในการรักษาอธิปไตยมาตั้งแต่อดีต ซึ่งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชถือว่าเป็นพระบิดาของทหารม้า ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนมุ่งมั่นปฏิบัติราชการด้วยความรักความสามัคคี และสร้างให้กองทัพบกเป็นกองทัพที่มีศักยภาพ นำพาประเทศชาติให้รอดพ้นจากภัยคุกคาม ตนภูมิใจที่ได้มายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารม้า
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดซื้อรถถัง OPLOT จากประเทศยูเครน เข้ามาประจำการว่า หลังจากที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณให้กับกองทัพ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการประกอบชิ้นส่วน และขั้นตอนการผลิตทั้งหมด ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ แต่จากการที่ได้กำหนดแผนงานเอาไว้ คือ รัฐบาลยูเครนจะทยอยส่งรถถังให้กับกองทัพในระหว่างปี 2557-2558 ซึ่งจาการได้พูดคุยกับรัฐบาลบยูเครน ตนได้ขอให้เร่งให้ส่งมอบเร็วขึ้น โดยในกลางเดือนพฤษภาคม 2556 ทางยูเครนจะส่งมอบรถถังให้ประมาณ 4-5 คัน เพื่อนำมาใช้ในการฝึกและศึกษา ก่อนที่จะทยอยส่งรถถึงทั้งหมดกว่า 50 คันให้แล้วเสร็จภายในปี 2558 และจากการที่ตนได้ไปดูงานที่ยูเครนก็ได้เห็นถึงความเข้มแข็งและสมรรถนะของรถถึงรุ่นดังกล่าว ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ สามารถยิงเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งรถถังที่ประจำการอยู่ในกองทัพปัจจุบันส่วนใหญ่จัดหามาจากทางตะวันตก ซึ่งกองทัพก็มีความต้องการ แต่ไม่สามารถจัดซื้อได้ เนื่องจากมีราคาสูง ดังนั้นจึงต้องจัดซื้อจากประเทศยูเครนที่มีสมรรถนะและราคาที่รับได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ากองทัพจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทุกอย่างโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การให้สัมภาษณ์ของนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การต่างประเทศ ที่ออกมายอมรับว่าไทยเสียเปรียบคดีปราสาทพระวิหาร ว่า คงต้องไปถาม รมว.ต่างประเทศ และตนตอบคำถามเรื่องนี้ไปเมื่อวานนี้ แต่ไปตีความและพาดหัวข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ อุ้มรัฐบาล ทั้งที่ตนไม่ได้อุ้มรัฐบาล และตอบในฐานะทหาร อะไรที่มีปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องแก้ไข รัฐบาลกับรัฐบาลก็ต้องคุยกัน ถ้าเป็นการบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ของไทยอย่างชัดเจนก็ต้องมีการรบกัน ไม่มีใครยอม แต่สถานการณ์ขณะนี้ไม่ใช่ในรูปแบบนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ ดังนั้นต้องแก้ไขไปตามกระบวนการ
เมื่อถามว่า ในส่วนตัวมองว่าคดีเขาพระวิหาร ไทยจะเสียเปรียบหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนไม่มองว่าเสียเปรียบหรือไม่ แต่ต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สันติภาพเกิดขึ้น ก็ต้องแก้ปัญหากันไปตามกระบวนการยุติธรรม ต้องสร้างให้โลกรับรู้ว่าเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่มีใครอยากรบกัน และไม่มีใครอยากใช้อาวุธต่อสู้กัน
ผู้บัญชาการทหารบกยังกล่าวถึงนโยบายในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในปี 2556 ผบ.ทบ.กล่าวว่า ต้องทำความเข้าใจว่าการทำงานใดๆ ของกองทัพไม่ได้ทำงานวันต่อวัน แต่จะทำตามนโยบายที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะเป็นแผน 1 ปี 3 ปี หรือ 10 ปี ขณะนี้ได้มีการกำหนดแผนงานในด้านต่าง ๆ ของกองทัพบกไปถึงปี 2569 ในส่วนของการแก้ไขปัญหาภาคใต้ ขณะนี้อยู่ในระยะที่ 2 คือตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นไป เน้นนโยบายทำให้กำลังพลในพื้นที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น และลดการบ่มเพาะความเชื่อที่ผิดๆ ให้มีจำนวนน้อยลง อย่างไรก็ตาม แผนงานในระยะที่ 2 นี้ยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะมีกรอบไปถึงปีไหน
ส่วนแผนงานระยะที่ 3 กำหนดไว้ว่าจะให้กำลังประจำท้องถิ่น เช่น ตำรวจ อาสาสมัคร เข้ามาดูแลพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งรัฐบาลมีโยบายที่ต้องการปัญหาใต้สงบโดยเร็วที่สุด ซึ่งจากการหารือล่าสุดกับ ผบ.ตร.ก็มีความคืบหน้าเรื่องการผลิตตำรวจเพื่อความมั่นคง โดยจะมีทั้งหมด 1,800 อัตรา โดยในช่วง เม.ย.-พฤษภาคมนี้ จะจบการฝึกและออกมาปฏิบัติงานได้ ซึ่งตำรวจชุดดังกล่าวจะเป็นการรับอดีตพลทหารที่เคยปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างน้อย 2 ปีเข้ามาเป็นตำรวจชุดดังกล่าว ซึ่งจะมีความรู้ทางด้านยุทธวิธีและความรู้ทางกระบวนการยุติธรรม ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่กว่า 7,000 คดี จากสถิติพบว่ากว่า 1,000 คดีเป็นคดีความมั่นคง แต่ที่เหลือเป็นคดีอื่น ๆ ดังนั้นตำรวจดังกล่าวจะมีส่วนช่วยได้มากในการทำงานทั้งสองอย่างควบกัน
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ระบุว่า การถอดยศร้อยตรีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านว่า เป็นหน้าที่ของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ที่จะต้องทำเรื่องเสนอมายังกองทัพบก เพื่อที่กองทัพบกจะทำเรื่องเสนอไปยังกระทรวงกลาโหม และกลาโหมจะทำเรื่องเสนอไปยังสำนักงานราชเลขาธิการสำนักพระราชวังต่อไป โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่าในส่วนของเรื่องนี้ยังไม่มีใครสั่งการใดๆ และเป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชา ตนไม่ขอพูดอะไรอีก