xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” ไม่ยุ่ง “บิ๊กโอ๋” ถอดยศ “มาร์ค” หวั่นพูดแล้วทะเลาะ ปลุกแม่ค้าขายวันศุกร์สู้โจรใต้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (แฟ้มภาพ)
ผู้บัญชาการทหารบกโบ้ยอำนาจ “สุกำพล” ถอดยศ “อภิสิทธิ์” บอกมีหลายอย่างที่ต้องทำ ยันไม่หนักใจ แต่ไม่อยากพูดหวั่นทะเลาะกัน พร้อมปลุกขวัญแม่ค้าใต้ขายวันศุกร์สู้โจร จวกพวกตำหนิทหารรุนแรงแต่ไม่พูดคุ้มครองสิทธิผู้บริสุทธิ์ แนะสื่อช่วยดิสเครดิตโจรให้ละอายบาป รับมีปัญหาความพร้อมดูแลพื้นที่ จ่อใช้เทคโนโลยีช่วย ระบุพร้อมทบทวนถอนกำลังตลอด เผยจับผู้ก่อการได้ทุกวันแต่ไม่เป็นข่าว ชี้บึ้มถี่เริ่มยากแล้ว

วันนี้ (11 ต.ค.) ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม สั่งให้มีการตั้งคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการถอดยศนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านว่า เป็นหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม ถ้า รมว.กลาโหมมีอำนาจตรวจสอบก็ถือเป็นเป็นเรื่องของท่าน ส่วนจะตรวจสอบว่าผิดหรือถูกเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม และผลสรุปจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของคณะกรรมการ ตนคงตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของตน เป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาระดับสูง เป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะทำให้กลายเป็นบรรทัดฐานหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่ต้องทำ อย่าเอาเฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว ถ้าจะเอาเรื่องนี้มาเป็นบรรทัดฐานคงมีอีกเป็นพันกว่าเรื่องที่ต้องมีบรรทัดฐาน ตนไม่ลำบากใจเพราะทุกคนอยู่ในหน้าที่ ตำแหน่ง ความรับผิดชอบ ปฏิบัติตามกฎระเบียบ กติกา ไม่หนักใจเพราะอยู่ในกฎระเบียบ แต่จะหนักใจอยู่ที่สื่อทั้งหลาย แต่ตนก็สบายใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี ทั้งนี้เป็นเรื่องของกติกาที่ต้องไปว่ากัน เรื่องนี้อย่าให้ตนพูดต่อจะไม่ดี เป็นเรื่องผู้บังคับบัญชา ถ้าพูดไปเดี๋ยวจะทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา ทะเลาะกับสื่อก็แย่แล้ว ทั้งนี้กำลังใจของตนมี 200 เพราะถ้ามีแค่ร้อยเดียวคงหมดไปนานแล้ว ถ้าหมดก็จะเติม เพราะตนยึดถือว่าเวลาทำงานต้องทำให้เกินร้อยต้องคาดหวังและสั่งการเกินร้อย ซึ่งตนถ่ายทอดให้คนในกองทัพบกได้คิด ถ้าคิดไม่เหมือนกันก็ไปไม่ได้ วันนี้ท่านต้องเตรียมพร้อมและเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเตรียมเข้าประชาคมอาเซียนในปี 2558 ไม่อย่างนั้นจะอยู่กันยาก โดยกองทัพบกจะเป็นเสาหลักด้านความมั่นคงและการสร้างเสถียรภาพ

ผู้บัญชาการทหารบกยังกล่าวถึงกรณีที่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้รวมพลังต่อต้านการข่มขู่ของผู้ก่อความไม่สงบที่ให้หยุดประกอบกิจการต่างๆ ในทุกวันศุกร์ว่า การแสดงพลังไม่ใช่ว่าจะทำครั้งเดียวแล้วเลิกไป เราต้องพยายามปลุกระดม ปลุกขวัญกันเองให้ได้ ถ้าประชาชนเสียขวัญมากๆ เจ้าหน้าที่จะต้องทำงานทุ่มเทให้เป็น 2-3 เท่าจนกว่าจะได้ความเชื่อมั่นกลับมา ซึ่งยอมรับว่าเป็นงานที่ยากพอสมควร ด้วยปัจจัยหลายอย่าง แต่เราจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ส่วนการค้าขายในวันศุกร์นั้น ตนได้สั่งการลงไปในพื้นที่ ไม่ใช่การท้าทายว่ากลัวหรือไม่กลัว เก่งหรือไม่เก่ง ป้องกันได้หรือไม่ได้ แต่อยู่ที่ว่า คนไทยทุกคนจะลุกขึ้นมาต่อสู้กันหรือไม่ ไม่ให้ความร่วมมือกับผู้ก่อเหตุรุนแรง

“เขาไม่สามารถฆ่าเราได้ทั้งหมด เพราะถ้าเขาฆ่าเราทั้งหมดเขาก็เสียเปรียบ ผมไม่อยากให้ถูกฆ่าแม้แต่คนเดียว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านหรือทหาร แต่ฝ่ายนั้นไม่ยอมหยุด ตอนนี้มีแต่ตำหนิว่าทหารลงไปใช้กฎหมาย ใช้ความรุนแรง แต่ไม่ได้บอกว่าคนไทยที่เป็นผู้บริสุทธิ์มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินไทยตามกฎหมาย ทำไมถึงไม่คุ้มครองเขา อยากให้สื่อช่วยเขียนรณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันปกป้องคุ้มครองประชาชน เจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และดิสเครดิตโจรให้มาก ให้เขารู้สึกอาย และละอายต่อบาปกรรม ถ้าให้นำกำลังลงไปกวาดล้างก็ทำได้ แต่ใครจะรับประกันว่า จะไม่เกิดศึกรบกันสองศาสนา อยากฝากสื่อว่าจะเขียนหรือวิจารณ์ไม่ว่า แต่ต้องทำด้วยเหตุผล การทำงานคิดทุกวันจะไม่คิดก็ตอนนอน ตื่นขึ้นมาก็ต้องคิด บางทีฝันก็เป็นเรื่องใต้ นั่นคือความห่วงใยที่ผมมีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา สื่อจะเขียนอะไรก็เขียนให้ผมมีกำลังใจ พร้อมจะทุ่มเทเสียสละ อย่าให้หมดกำลังใจ และถ้าผมหมดกำลังใจ ทหารของผมก็หมดกำลังใจลงไปด้วย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาคือความพร้อมในการดูแลพื้นที่เพราะมีพื้นที่มาก ขณะนี้รัฐบาลกำลังให้กองทัพบกเสนอเทคโนโลยีที่จะเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาในพื้นที่เพิ่มเติม เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิดซีซีทีวี การติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับยาพาหนะที่ผิดกฎหมาย แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลา เพราะติดเรื่องข้อกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ สิ่งสำคัญที่ผู้ก่อเหตุสามารถกระทำต่อเจ้าหน้าที่ได้ เพราะเขาไม่ได้เปิดเผยตัวเอง ถือเป็นสิ่งยากที่จะแยกแยะ ส่วนเรื่องการข่าวเรารู้แต่ไม่รู้รายละเอียด บางคนจับตัวเขาได้แต่ครอบครัวเขาไม่รู้ เพราะคิดว่าลูกหลานของเขาเป็นคนดี นั่นคือความขัดแย้ง ระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชน ซึ่งต้องแก้ปัญหาเรื่องการอำนวยความยุติธรรม สิ่งที่อยากจะขอร้อง คือ เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่โดยไม่รู้ตัวว่าวันไหนจะถูกทำร้าย ต้องเห็นใจว่าเขาเสี่ยง แต่ถ้าเขาไม่ไปดูแลประชาชนก็ไม่ได้เพราะเป็นการขัดคำสั่ง แต่เขาไม่ได้ทำตามคำสั่งอย่างเดียว เขาไปด้วยจิตสำนึกว่า อยากให้มันจบสิ้นจะได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ตนในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่อยากให้เขาไปเสี่ยง ครอบครัวลูกเมียใครๆ ก็รัก

“วันนี้เรากำลังทบทวนเมื่อไหร่ที่จะนำทหารกลับมาได้ เพราะถ้านำกลับก็ต้องเป็นการยอมรับจากประชาชน สังคมและสถานการณ์ ไม่ใช่กลับมาเพราะถูกกดดันให้ออกมา การทำเช่นนั้น ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้สถานการณ์พัฒนาได้ในอนาคต ความจริงเมื่อสถานการณ์ปกติ ผมก็อยากให้ถอน แต่ติดอยู่ที่ความรับผิดชอบยังไม่เรียบร้อย เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเป็นกองกำลังประจำถิ่น กองทัพภาคที่ 4 ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้ตั้งแต่พลเรือน ตำรวจ ทหารจะต้องมีกำลังเพียงพอในการทดแทน กำลังทหารที่อยากจะให้กลับ วันนี้ทหารลงไป 40,000 นาย ถามว่าใครจะไปดูแลพื้นที่แทนทหาร ถ้าตำรวจ พลเรือนพอ เราก็พร้อมออก แต่ประชาชนต้องปลอดภัย ขณะนี้มีการหารือกันระหว่าง พลเรือน ตำรวจ ทหาร จนได้ข้อยุติและนำเรียนนายกรัฐมนตรี ว่าจะขับเคลื่อนแผนงาน โครงการ และอย่ามองว่าทุจริต แต่ต้องมองว่าแผนงานอะไรที่จะส่งเสริมการแก้ปัญหาให้เร็วขึ้น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราสามารถจับผู้ก่อเหตุได้ทุกวัน เช่น การจับกุมแกนนำอาร์เคเค ผู้ปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ และผู้ที่เข้าร่วมจำนวนมาก แต่ไม่ได้มีการนำเสนอเป็นข่าว ซึ่งข่าวจะไปเน้นที่การก่อเหตุความรุนแรง และจะไปเข้าข้างผู้ก่อความไม่สงบ เพราะเขาลงทุนนิดเดียว วางระเบิดหนึ่งลูกจะเห็นว่าเป็นการวางระเบิดหลายครั้งแต่เล็กๆ เพื่อต้องการสร้างผลกระทบโดยวงกว้าง แต่ตอนนี้ทำได้ยากขึ้นเพราะเจ้าหน้าที่เข้มงวด จำนวนเหตุที่เกิดในเวลาเดียวกันก็ลดน้อยลง แต่มีความรุนแรงมากขึ้น เพราะขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าจากกระทำต่อเป้าหมาย นั่นคือการวิเคราะห์ของฝ่ายเราว่าเขามีการพัฒนา เราก็ต้องมีการพัฒนาตาม แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่ว่าโจรไม่ต้องผ่านกระบวนการ แต่เจ้าหน้าที่ต้องผ่านกระบวนการทุกอย่าง ทั้งกฎหมาย การยอมรับของสังคม และสื่อต่างประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น