xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.จับตาเล่ห์ “แม้ว” หลังโวประชามติหมูๆ ซัด รบ.ปาก ปชต.ใจเผด็จการ จ้องแต่ล้างผิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

องอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์
“องอาจ” ขู่ “นช.แม้ว” อย่าเล่นไม่ซื่อประชามติ หลังโม้งานไม่ยาก ย้อน รบ.ใช้ ปชต.บังหน้ากล่าวหาใครขวางแก้ ม.309 เป็นเผด็จการ ยกหลายฝ่ายชี้ชัดสุ่มเสี่ยงมีปัญหา จี้ใจดำมุ่งจะแก้เพื่อนายใหญ่หรือไม่ ดักตั้ง ส.ส.ร.อย่าอ้าง ปชต. เหตุให้อำนาจ “ค้อนปลอม” ตั้งถึง 22 คน ซัด รบ.หนุนอีก 30 คนก็เกินครึ่งเพื่อยกร่าง รธน.ใหม่ตามแผน - เตือน รบ.คดี “ราเมศ” ไม่ใช่เคสทั่วไป เหตุโยงการเมือง บี้ให้ความเป็นธรรม หวั่นบานปลาย

วันนี้ (23 ธ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหลบหนีคดี ได้วิดีโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงที่โบนันซ่าเขาใหญ่ ว่าไม่หนักใจในการทำประชามติเพราะตัวเลข 24.3 ล้านคนทำได้หมูๆ ไม่ยากว่า ต้องจับตาดูคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าการที่ออกมาแสดงความมั่นใจเช่นนี้มีจุดประสงค์ใดหรือไม่ เพราะที่ผ่านมามีการใช้เล่ห์เพทุบายทุกรูปแบบเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยไม่สนใจความชอบธรรม หาก พ.ต.ท.ทักษิณจะสนับสนุนให้ทำประชามติไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกต้องบ้านเมืองจะเกิดปัญหาอย่างแน่นอน และ พ.ต.ท.ทักษิณต้องแสดงความรับผิดชอบที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด

นายองอาจยังย้ำให้ประชาชนจับตาการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 เพราะรัฐบาลกำลังใช้กลยุทธ์ว่าหากใครไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรานี้เท่ากับว่าเป็นพวกเดียวกับเผด็จการนั้น ถือเป็นการหลอกลวงประชาชนด้วยการใช้ประชาธิปไตยบังหน้า และพยายามปิดบัง อำพราง ความต้องการอย่างแท้จริง ทั้งที่ก่อนหน้านี้บรรดานักวิชาการ และทุกภาคส่วนในสังคมก็ออกมาตั้งข้อสังเกตเช่นเดียวกันว่าการแก้ไขมาตรานี้จะเป็นปัญหาและสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดความขัดแย้งมากขึ้น ตนจึงมองว่าเป้าหมายการแก้ไขมาตรา 309 ที่แท้จริงก็เพื่อแก้ไขและล้มล้างทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับรัฐประหาร เท่ากับว่ากระบวนการตรวจสอบหลังรัฐประหารถูกล้มเลิกไปโดยปริยาย และเป็นการทำลายล้างระบบนิติรัฐ นิติธรรม ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลบอกให้ชัดเจนว่าเหตุใดต้องแก้ไขมาตรานี้และจะเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไร เพราะการจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมาตรานี้ แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมนักการเมืองที่ปากอ้างประชาธิปไตย หัวใจเป็นเผด็จการและรับใช้ใครบางคน

“ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากแก้ไขมาตรานี้คดีที่ตัดสินไปแล้วจะถูกล้มล้างทั้งหมด พรรคไม่ได้เกลียดชัง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่สนใจผู้หลบหนีคดีจะชื่อทักษิณหรือไม่ แต่ต้องการผดุงไว้ให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และความถูกต้องของบ้านเมือง” นายองอาจกล่าว

นายองอาจยังกล่าวถึงการตั้ง ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตยว่า การอ้าง ส.ส.ร.โดยโยงถึงหลักประชาธิปไตยนั้น เป็นการนำประชาธิปไตยมาบังหน้า เพื่ออำพรางความต้องการที่แท้จริงเพราะเมื่อพิจารณาสัดส่วน ส.ส.ร.99 คนแล้วจะพบว่ามีถึง 22 คนที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานสภา ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลหากอีกเพียงแค่ 30 คนก็จะเกินครึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ร.ทั้งหมด ทำให้บังคับทิศทางการทำงานของ ส.ส.ร.ได้ และเมื่อมองพื้นฐานการเลือกตั้งปี 2554 จะเห็นว่ารัฐบาลสามารถควบคุมจำนวนเสียงส่วนใหญ่ได้หมด ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะดลบันดาลให้ ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญตามที่ตัวเองต้องการ ดังนั้นที่บอกว่า ส.ส.ร.เป็นตัวแทนจากประชาชนจึงไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่รัฐธรรมนูญที่จะยกร่างใหม่จะเป็นไปตามความต้องการของคนที่อยู่เบื้องหลัง คือ พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง

นายองอาจยังตั้งข้อสังเกตหลังนายราเมศ รัตนะเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสครบ 1 สัปดาห์ว่า จนถึงขณะนี้การดำเนินการหาตัวผู้กระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถทำให้เกิดความไว้วางใจได้ และยังไม่มั่นใจว่าจะแสวงหาความยุติธรรมจนสามารถนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้จริงหรือไม่ ทั้งนี้รัฐบาลต้องไม่มองว่าเรื่องนี้เป็นคดีอาญาทั่วไป เพราะนายราเมศเป็นทีมกฎหมายคนสำคัญของพรรคเป็นรองโฆษกมีความเชื่อมโยงกับคดีความทางการเมืองต่างๆ จะบอกว่าเป็นคดีอาญาทั่วไปคงไม่ได้ โดยรัฐบาลต้องแสดงความจริงใจด้วยการแสดงออกในการดำเนินการเพื่อให้ความเป็นธรรมต่อผู้เสียหายมากกว่านี้ และหามาตรการเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

“อย่าให้เรื่องของนายราเมศต้องเงียบหาย และขอบอกว่านายราเมศไม่ใช่ตัวคนเดียว มีพรรคมีพวก มีผู้สนับสนุนการทำงาน ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็ย่อมมีผู้ให้กำลังใจตั้งข้อสังเกต หากเกิดความไม่เป็นธรรมก็มีคนพร้อมที่จะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายราเมศ ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งจับคนผิดให้ได้ เพราะทุกคนฝากความหวังไว้ ไม่เช่นนั้นปัญหานี้อาจทำให้เกิดการลุกลามบานปลายได้” นายองอาจกล่าว

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และการประกาศปฏิญญาเขาใหญ่ 3 ข้อ ตามแถลงการณ์ของแกนนำ นปช. ว่า เป็นการเรียกร้องทั้งๆ ที่แกนนำเหล่านี้รู้ดีว่า ไม่มีข้อเรียกร้องใดที่จะสามารถดำเนินการได้จริงเลย เป็นการพูดแบบแผ่นเสียงตกร่อง หลอกคนเสื้อแดงซ้ำซาก สร้างความหวังลมๆ แล้งๆ เพื่อหวังดึงมวลชนไว้อยู่กับตัว โดยตนอยากจะชี้ให้คนเสื้อแดงเห็นว่าขณะนี้ถูกหลอกและถูกต้ม จากแกนนำและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ครั้งแล้วครั้งเล่า คือ 1. การลงมติในวาระ 3 เป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่มีวันที่จะดำเนินการรวมทั้งตัว พ.ต.ท.ทักษิณเอง ก็วิดีโอลิงค์เข้ามายืนยันว่า จะไม่เดินหน้าลงมติในวาระที่ 3 แน่นอน แต่เลือกที่จะเดินหน้าทำประชามติ แต่แกนนำ นปช. ก็ยังกล้าที่ออกแถลงการณ์หลอกคนเสื้อแดงต่อไป

2. เรื่องการลงนามรับเขตอำนาจศาลฯ ตนยืนยันมาหลายครั้งแล้วว่า รัฐบาลไม่มีทางที่จะลงนามรับเขตอำนาจศาลฯ เนื่องจากคดีการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในปี 2553 นั้นไม่เข้าข่ายการพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศ ดังนั้นหากลงนามไปก็ไม่สามารถดำเนินการอะไรกับคุณอภิสิทธิ์ และคุณสุเทพได้ ตรงกันข้าม การรับอำนาจศาลนั้นอาจจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องไปขึ้นศาลโลกในกรณีมัสยิดกรือเซะ หรือเหตุการณ์ตากใบ จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลนั้น ไม่กล้าที่จะเดินหน้าในเรื่องดังกล่าว และตนขอท้าว่า ถ้าแน่จริงก็ขอให้ประกาศรับเขตอำนาจศาลเลย เพราะพวกตนมั่นใจในความบริสุทธิ์ และพร้อมต่อสู้ทุกที่ มีแต่แกนนำคนเสื้อแดงเหล่านี้ที่ยังดีแต่พูด และ 3. เรื่องการนิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ตนเชื่อว่าเป็นอีก 1 ข้อเรียกร้องที่มีไว้ต้มคนเสื้อแดง เพราะรัฐบาลจะไม่มีทางนิรโทษกรรมให้กับประชาชนจนกว่าแกนนำหรือ พ.ต.ท.ทักษิณ จะพ้นผิด

“ผมรู้สึกเห็นใจคนเสื้อแดงจริงๆ ที่ต้องไปร่วมชุมนุมและหลวมตัวเข้าไปอยู่ในกระบวนการล้างผิดให้กับแกนนำโดยหารู้ไม่ว่าข้อเสนอทั้ง 3 ข้อที่เขาพูดนั้นไม่มีวันเป็นจริง และคนเสื้อแดงก็ต้องเป็นหมากให้กับแกนนำต่อไป และเห็นว่าปฏิญญาดังกล่าวนั้นควรจะถูกเรียกว่า ปฏิญญาสวมเขาใหญ่คนเสื้อแดงมากกว่า”นายชวนนท์กล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น