“อภิสิทธิ์” ระบุ รัฐบาลยังไม่ตกผลึกแนวทางแก้ รธน.และ พ.ร.บ.ปรองดอง ควรปล่อยทิ้งไปกับวันสิ้นโลก แล้วเดินหน้าแก้ปัญหาประชาชน ไม่ควรสิ้นคิดจนเกิดปัญหาความขัดแย้ง ทำบ้านเมืองติดหล่ม หันมาดูแลปัญหาเศรษฐกิจ และประชาชน ชี้ 1 ปี “นายกฯปู” ทำเศรษฐกิจถดถอย ส่วนคดี “ราเมศ” ถูกฟันหัว ญาติห่วงไม่ได้รับความเป็นธรรม จี้ ผบ.ตร.ลงมาคุมเอง เพื่อกู้ภาพลักษณ์ตำรวจไทย เฉ่ง “คำรณวิทย์” ชี้นำคดีเป็นเรื่องส่วนตัว ยิ่งทำให้ไม่มั่นใจ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ให้สัมภาษณ์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงท่าที น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการทำประชามติ ว่า ตนไม่ทราบว่า ที่สุดแล้วรัฐบาลจะเดินหน้าอย่างไร แต่รัฐบาลต้องตั้งหลักก่อนว่าเป้าหมายคืออะไร ซึ่งหากรัฐบาลต้องการเพียงแค่ปรับปรุงแก้ไขให้ประชาธิปไตยดีขึ้น ก็ควรหาวิธีสร้างความยอมรับจากทุกฝ่าย และเดินหน้าดำเนินการปัญหาก็จะจบ
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เสนอแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ 9 ประเด็น แต่ยังไม่มีการแยกมาตรา และยืนยันว่า มาตรา 309 ไม่ใช่ตัวปลดพันธะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่รู้ว่า 9 ประเด็นที่ ร.ต.อ.เฉลิม ระบุ คืออะไรบ้าง แต่ก็มีสิทธิ์ที่จะคิด แต่เท่าที่ฟังดูเหมือนกับว่า รัฐบาลยังไม่ตกผลึกเรื่องนี้ เพราะบางคนยังเดินหน้าให้ทำประชามติ บางคนก็ให้แก้เป็นรายมาตรา แต่อะไรก็ตามที่ไม่ไปสร้างปมความขัดแย้งขึ้นมา ก็เป็นทางออกได้ทั้งนั้น ส่วนการแก้ไขมาตรา 309 ที่หลายฝ่ายมองว่า จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หลุดพ้นจากคดีทุจริตนั้น เป็นเพราะรัฐบาลเองมีความคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้การทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่มีการแก้ไขมาตรา 309 แต่กลับมีออก พ.ร.บ.ปรองดอง มา จะทำให้ขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่ง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่รัฐบาลเสนออยู่ เป็นเรื่องที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็ใช้ไม่ได้ ทั้งมาตรา 309 และประเด็น คตส.ซึ่งจะทำให้เกิดประเด็นโต้แย้งขึ้นมาอีก จึงทำให้เกิดความคิดที่จะแก้มาตรา 309 ขึ้นมา โดยพยายามให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควบคู่ไปกับ พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น จนทำให้เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองจนถึงขณะนี้
“ผมจึงเน้นกับรัฐบาล ว่า หากปล่อยเรื่องนี้ไปกับวันสิ้นโลก ทุกอย่างจะได้เดินหน้าไปได้ เดี๋ยวสิ้นโลกแล้ว แต่ยังสิ้นคิดกันอยู่ ก็จะเป็นปัญหาไม่สิ้นสุด ถ้าไม่ปล่อยเรื่องนี้บ้านเมืองก็ติดหล่ม คนขัดแย้งกัน เราก็เสียโอกาส และนับวันจะเสียโอกาสมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่คนไม่มีความมั่นใจว่าบ้านเมืองจะเดินไปอย่างไรจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น”
ส่วนที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันจะให้มีการทำประชามติ และคาดว่า จะได้ข้อสรุปในช่วงเดือนสิงหาคมปีหน้านั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากเดินหน้าทำประชามติก็พอจะคำนวณกรอบเวลาได้ ซึ่งปัญหาอยู่ที่รัฐบาล เพราะจะเป็นผู้มีมติว่าจะทำหรือไม่ หากยังคลุมเครืออยู่ก็ยังเดินหน้าไม่ได้ เพราะทั้งหมดที่เสียเวลาในวันนี้ เพราะรัฐบาลทำให้เกิดความกังวลเรื่องความขัดแย้งเพื่ออะไร ควรจะมีการทบทวนดู ซึ่งตนเสนอว่า รัฐบาลควรคว่ำร่างนี้ไป และมาเริ่มต้นใหม่ ซึ่งจะยุติปัญหาและความกังวลลงได้มา รวมถึงการถอนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ออกจากสภาด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีขึ้น และความขัดแย้งยังคงอยู่ มองว่า ปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยอมรับว่า มีความเป็นห่วงเรื่องความเข้มแข็ง และปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องเศรษฐกิจ จากปัจจัยภายนอกและภายใน รวมทั้งนโยบายของรัฐบาล เช่น การขึ้นราคาพลังงาน ราคาอาหาร ที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้น ล้วนเป็นตัวกระทบต่อประชาชนอยู่แล้ว ขณะที่ไทยถูกประเมินจากต่างประเทศนับวันจะมีผลกระทบหลายเรื่อง เสียโอกาสการแข่งขัน ขณะที่จะเดินเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งทำให้ไทยเสียโอกาส ถ้าไม่ละจากปัญหาความขัดแย้งที่เป็นปัญหาของคนๆ เดียว
ต่อข้อถามว่า การบริหารประเทศ 1 ปีที่ผ่านมาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำให้ประเทศถดถอยหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หลายเรื่องมีความถดถอยจากการประเมินของต่างประเทศ จึงถึงเวลาต้องแก้ไข และเผชิญกับความเป็นจริง ซึ่งไทยมีปัจจัยเสี่ยงอยู่หลายประการ และการเมืองที่มีความขัดแย้ง นำไปสู่การประท้วง จะเป็นตัวฉุดไม่ให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ก็ต้องถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า มองเรื่องเหล่านี้อย่างไร เพราะตนไม่ทราบว่า นายกฯคิดอะไรในเรื่องนี้ แต่หากจะเชื่อคนรอบข้างว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เป็นไร และจะมีคนจัดการให้เอง ปัญหาก็จะไม่ไปไหน และเมื่อเวลาผ่านไปก็จะยิ่งเห็นชัด ซึ่งตนก็หวังว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะฟังเสียงท้วงติงจากรอบข้าง และหยิบปัญหาขึ้นมาแก้ไข เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ปัดความรับผิดชอบไม่ได้อยู่แล้ว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีการทำร้าย นายราเมศ รัตนเชวง ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ตนได้ทราบข้อมูลจากญาติพี่น้องของนายราเมศ ซึ่งยังมีความไม่มั่นใจ และไม่สบายใจ ซึ่งต้องดูว่าจะมีช่องทางอย่างไร ซึ่งการพึ่งกองปราบปรามก็เป็นช่องทางหนึ่ง เพราะขณะนี้ยังรู้สึกว่ามีปัญหาอยู่ เพราะทางตำรวจมาสอบถามตนว่าจะเร่งสอบปากคำผู้ที่เกี่ยวข้องได้หรือไม่ ตนบอกไปว่า นายราเมศ เอง ก็ยังไม่สามารถให้ปากคำได้ ยังต้องพักรักษาตัวก่อน ซึ่งตนก็ยังไม่สามารถสื่อสารกับนายราเมศ เรื่องลักษณะคนร้าย และไม่แน่ใจว่า จะจำคนร้ายได้มากน้อยแค่ไหน เพราะมีผลกระทบพอสมควร
ส่วนที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ออกมาระบุว่า มีสาเหตุมาจากเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องการเมืองนั้น ตนคิดว่า การออกมาสรุปอย่างนี้ ยิ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจ เพราะควรจะปล่อยให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงาน ซึ่งทางญาติพี่น้องหากเกิดความไม่มั่นใจ ก็หาช่องทางร้องขอความเป็นธรรมได้ ซึ่ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ควรลงมาดูแลคดีนี้ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะดี รับความเป็นธรรม และโปร่งใส เพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความเชื่อมั่นว่าฝ่ายปฏิบัติงานมุ่งที่จะเอาความจริง ไม่ใช่ปัดให้เรื่องพ้นไป
“เราคงต้องดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ที่เกิดความไม่สบายใจจากผู้เกี่ยวข้อง เพราะเวลาที่มีการมาสอบปากคำ มีความพยายามหาประเด็นอื่นมากกว่าปกติ เช่น พยายามถามว่ามีการขับรถตัดหน้าใครหรือเปล่า เหมือนกลับไม่พยายามเจาะลงไปในประเด็นที่มีความชัดเจนในเรื่องความขัดแย้งมากกว่า ซึ่งผมอยากเรียกร้อง ผบ.ตร.ต้องสร้างความมั่นใจในเรื่องนี้ ไม่อยากให้กระทบต่อภาพรวมของตำรวจ เรื่องนี้ต้องตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมกับญาตินายราเมศ ให้เต็มที่ ส่วนภาพพจน์ที่ดีของตำรวจจะเหลืออยู่หรือไม่นั้น ตนไม่ขอออกความเห็น แต่คดีนี้เป็นอีกคดีหนึ่งที่จะเป็นตัววัด ตำรวจจึงต้องทำงานอย่างเต็มที่”