น่าดีใจและน่าเสียดายไปพร้อมๆ กัน กับการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ถึงแม้จะจบลงด้วยความผิดหวัง หลังประกาศยุติการชุมนุม ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงบานปลายและเพื่อรักษาชีวิตเพื่อนพี่-น้องที่มีปณิธานมุ่งหมายในสิ่งเดียวกันเพื่อกดดันรัฐบาลขี้ข้าทักษิณให้ได้รู้ถึงพลังมวลชนไม่เอานักการเมืองชั่วแต่ที่สุดต้องยอมล่าถอยในวันเดียวกันนั้นเอง ท้ายแล้วเมื่อมาขบคิดไม่ใช่เพียงแต่รัฐบาลชั่วที่ทำให้การชุมนุมเป็นอันต้องเหลว แต่ปัจจัยประกอบอื่นๆ ก็สำคัญเช่นเดียวกัน
คิดการใหญ่ อำนาจต้องถึง
หากย้อนไปก่อนจะเกิดการชุมนุมที่นางเลิ้ง เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม คนไทยหลายคนอาจจะไม่คุ้นหูชื่อของ เสธ.อ้าย หรือ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ เท่าไหร่นัก คนธรรมดาสามัญหลายคนแปลกใจเขาผู้นี้คือใคร และองค์การพิทักษ์สยามคืออะไร ต่างจากพันธมิตรฯ, เสื้อหลากสี, กลุ่มสันติอโศก ตรงไหน จึงไม่แปลกใจที่มีคนพูดจาดูถูก ดูแคลนไว้ว่า ม็อบครั้งนี้คงจะจุดไม่ติด หลายฝ่ายคาดว่าผู้มาชุมนุมไม่น่าจะเกินหลักหมื่น สุดท้ายก็หลายเป็นคิดผิดเพราะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมกว่าสองหมื่นคนเศษ
หลังจากนั้นใครๆ ก็รู้จักเสธ.อ้ายมากขึ้น มีการพยายามเสาะหาข้อมูลของแกนนำคนใหม่ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ไปจนถึงกระแสข่าวลือว่ามีคนใหญ่คนโตอยู่เบื้องหลังการชุมนุมครั้งนี้ สืบสาวราวเรื่องไป ไม่ใช่ใคร ชื่อของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ก็ผุดขึ้นมาอยู่ในลิสต์ผู้ต้องสงสัย แต่สุดท้ายก็เพียงกล่าวปฏิเสธแบบอ้อมๆ ว่า “ตนเองเป็นเพื่อนเรียนโรงเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกับพล.อ.บุญเลิศ ซึ่งความเป็นเพื่อนอาจทำให้ถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับการชุมนุมที่สนามม้านางเลิ้ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกังวล”
แค่เรื่องการปรากฏตัวของเสธ.อ้าย ก็ทำให้หลายคนเกิดความไม่มั่นใจในบทบาทฐานะผู้นำการชุมนุมแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อมั่นนั้น นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ รศ.ตระกูล มีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายไว้ว่า
“เสธ.อ้าย เป็นผู้นำใหม่ ที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนเลยถึงแม้จะมีองค์ประกอบ แกนนำบางคนที่เป็นที่รู้จัก แต่ไม่มีบทบาท เพราะฉะนั้นช่วงระยะเวลา 1 เดือน ในการชูประเด็นเสธ.อ้ายเป็นผู้นำ มวลชนทั่วไปนั้นจึงยังไม่ค่อยเชื่อในบทบาทนี้ แต่เสธ.อ้ายยังพอมีจุดแข็งที่ประชาชนจะยอมรับได้คือเป็นนายทหารนอกราชการ แต่ไม่เคยเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน ส่วนที่ว่าประชาชนอาจจะไม่มั่นใจสามารถแก้ไขได้โดยเครือข่ายของกลุ่มคนที่มาร่วมชุมนุมด้วย”
นอกจากตัวผู้นำอย่างเสธ.อ้ายที่ใหม่แกะกล่องแล้ว อีกสิ่งที่ รศ.ตระกูล คิดเห็นว่ามีความสำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องของความชัดเจนในประเด็นที่จุดไว้ในการชุมนุม
“เป้าหมายของการชุมนุมมีความชัดเจน ในเรื่องของการแช่แข็งนักการเมือง แต่บังเอิญมีจุดอ่อนที่ว่าการอธิบายคำว่า แช่แข็งนักการเมือง มันยังน้อยไป เนื่องจากตัวโฆษกเองก็เป็นทหารเลยทำให้คำพูดขาดจุดเน้น แล้วพอถูกตีโต้จากกลุ่มนปช. ที่ว่าแช่แข็งประเทศไทย ก็ไม่มีการโต้กลับหรืออธิบายใดๆ ในประเด็นนี้ ตรงนี้แหละที่ผมมองว่าทำให้ขาดความชัดเจนในเรื่องของเป้าหมาย ”
ตำรวจของประชาชนรังแกประชาชน ?
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ก่อนหน้าการชุมนุมได้มีการจัดเตรียมพื้นที่รับมือม็อบ พร้อมประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงใน 3 เขต ประกอบด้วย เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตดุสิตและเขตพระนคร เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมป้องกันเหตุ โดยในคืนวันที่ 22 พฤศจิกายน รัฐก็ได้เกณฑ์ตำรวจกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันคนเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อย กั้นลวดหนาม พร้อมตำรวจปิดล้อมหน้าวัง และทำการปิดถนนสายหลัก 5 สาย
เหตุการณ์รักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม ดูเหมือนจะผ่านไปด้วยดี แต่เรื่องร้ายไม่คาดฝันกลับเกิดขึ้นตั้งแต่เช้า เมื่อเวลา 08.50 น. มีการยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ครั้งนี้สร้างความตกอกตกใจ ยังไม่ทันได้เริ่มชุมนุมก็มีเหตุให้ใช้ความรุนแรงเสียแล้ว จากนั้นเหตุการณ์บริเวณนั้นก็ดูตึงเครียดทันใด เพราะประชาชนไม่เข้าใจว่าก่อนจะใช้แก๊สน้ำตาไยจึงไม่ประกาศก่อน
แล้วก็ซ้ำร้ายสลดอีกครั้ง เมื่อมีการยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมอีกระลอกเมื่อเวลา 13.55 น. ณ แยกมิสกวัน ห่างจากครั้งแรกเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง เหตุการณ์ซ้ำสองยิ่งทำให้หวาดผวา และเกิดความขุ่นเคืองมากขึ้น หลายเสียงประณามตำรวจทำรุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่เชื่อเขาสิ รัฐบาลกลับบอกหน้าตาเฉยว่า เป็นการกระทำที่ชอบธรรม !!
ภาพลักษณ์ของตำรวจไทยที่ดูแย่อยู่แล้ว พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คาดว่าคนยิ่งมองตำรวจในแง่ลบยิ่งขึ้น พิสูจน์จากเสียงก่นด่าของประชาชนทางโลกโซเชียล ที่ต่างไม่พอใจในการปาแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม รวมถึงภาพการทำร้ายประชาชนที่ไร้ทางสู้ ภาพที่ผู้ชุมนุมต้องนอนจมกองเท้าตำรวจ มันเป็นสิทธิอันชอบธรรมหรือที่จะรังแกประชาชนเช่นนี้
“ไอ้ตำรวจ ไอ้พวกขี้ข้า พวกมึงทำร้ายประชาชน ดูแล้วน้ำตาจะไหลทำไมประเทศเราถึงมีแต่ตำรวจชั่วแบบนี้”
“ตํารวจขี้ข้ารังแกประชาชน”
“เล่นทีเผลอ ไอ้เลวรัฐตำรวจ”
“โจรค้ายาบ้า แม่งไม่จับ ประชาชนบริสุทธิ์ กล้าข่มเหง แช่งให้ตายทั้งโคตรไอ้พวกเลว”
“ตำรวจเลว.. ได้ทุกยุค ทุกสมัย.. จะมีมันไว้ทำไมก็ไม่รู้..”
สรุปจากเหตุชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามครั้งนี้ มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 82 คน เป็นประชาชน 52 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ 29 นาย และทหาร 1 นาย ส่วนผู้ชุมนุมจำนวน 138 คน ที่ถูกควบคุมตัวไว้ได้ทำการปล่อยตัวแล้ว 137 คน มีเพียงคนขับรถบรรทุก 6 ล้อ ที่พยายามขับรถฝ่าแผงกั้นตำรวจ บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ และถูกควบคุมตัวไว้ที่กองปราบปราม
ทั้งนี้ผู้ร่วมเหตุการณ์อย่าง สันติ เต๊ะเปีย ช่างภาพจากทางหนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการรายวันที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมขณะปฏิบัติหน้าที่ในช่วงชุลมุนหลังยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ เปิดเผยเหตุการณ์ระทึกครั้งนี้ว่า “ตำรวจทำการลากตนออกไปจากเต็นท์ ทั้งๆ ที่ตนพยายามชูบัตรสื่อมวลชน พร้อมทั้งปลอกแขนแสดงตนว่าเป็นสื่อมวลชนให้เจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นดู แต่ตำรวจกลับไม่ฟังคำคัดค้าน พร้อมทั้งเอาเท้าเตะตน 1 ครั้ง และกดตนให้ลงไปนอนกับพื้น ก่อนจะกระชากกระเป๋าโน้ตบุ๊ก และทำกล้องถ่ายรูปของตนหล่นจนกระจกกันแสงด้านหน้าแตก ก่อนจะนำตนพร้อมกับช่างภาพไทยพีบีเอสอีก 1 รายขึ้นรถขนผู้ต้องหาร่วมกับผู้ชุมนุมราว 40 ราย”
เหตุการณ์ชุมนุมชุลมุนครั้งนี้ ทั้งผู้เข้าร่วมชุมนุม ผู้สื่อข่าว ต่างบาดเจ็บกันไปไม่น้อย เลยทำให้ต้องตั้งคำถามว่า “อนิจจา ! ประเทศไทย เหตุใดตำรวจถึงรังแกประชาชนเสียเอง”
ม็อบไร้ระบบ ขาดระเบียบ
ตกเย็นของวันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายนนั้นเอง สถานการณ์ที่ดูจะยิ่งย่ำแย่ลง หลังผ่านศึกแก๊สน้ำตาถึงสองครั้ง ประชาชนบางส่วนบาดเจ็บ บางส่วนถูกจับกุม แล้วยังโดนตัดน้ำ ตัดไฟ จนเกรงว่าอาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้น เสธ.อ้ายจึงต้องยอมประกาศยุติการชุมนุม และกล่าวว่าครั้งนี้จะเป็นการชุมนุมครั้งสุดท้ายของตนเอง โดยทิ้งประโยคเด็ดไว้เบื้องหลังว่า "นับแต่นี้ต่อไป ให้ถือว่า เสธอ้าย ได้ตายไปแล้ว"
จากความพยายามของรัฐที่มีข้อได้เปรียบและมีการเตรียมพร้อมที่ดีในการวางวิถีทางเพื่อสกัดกั้น และบีบให้ยุติการชุมนุมอย่างรวดเร็ว ตำรวจที่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่สนใจประชาชน หรือแม้กระทั่งยุทธศาสตร์และกระบวนการในการชุมนุมครั้งนี้ที่มีจุดอ่อนอยู่หลายจุด การชุมนุมของเสธ.อ้าย ในครั้งนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นการวางหมากที่ผิดพลาดอยู่พอสมควร ซึ่ง รศ.ตระกูล ก็คิดเห็นตรงกันว่าการชุมนุมครั้งนี้ระบบการจัดการนั้นยังไม่ดีพอ
“ผมเห็นด้วยว่าตอนเช้าเก้านาฬิกา ขณะที่มีการปาแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่มัฆวานฯ เสธ.อ้ายยังชุมนุมอยู่เลย อีกอย่างคือทางเวทีใหญ่ก็ไม่สามารถสั่งการอะไรได้เลย มันแสดงถึงจุดเชื่อมในการประสานการชุมนุมที่ขาดประสบการณ์ นี่คือจุดอ่อนในเรื่องของกระบวนการจัดการชุมนุม
แม้กระทั่งเส้นทางเข้า-ออก ก็ไม่มีการประชาสัมพันธ์ แล้วก็สังเกตว่าการที่นำเอารถบรรทุก นำคนเข้าไป ผมไม่เข้าใจว่าเพื่ออะไร ทำไมไม่ประกาศว่าผู้ชุมนุมสามารถเข้าทางไหนได้บ้าง แล้วในการชุมนุม ไฮไลต์มีเพียงแค่เปิดคลิปเท่านั้นหรือ มีแค่การอภิปรายสั้นๆ ผมว่าอย่างน้อยที่สุดต้องชี้ให้เห็นว่ามันมีปัญหาอย่างไร เพื่อที่จะต่อยอดกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มันเป็นข้อต่อไปหมด ไม่ใช่ใช้เวลาแค่ 1-2 วัน มันไม่มีทางแก้ได้”
น่าแปลกใจที่วันนั้นที่สนามม้านางเลิ้ง เสธ.อ้าย เคยลบคำปรามาสเรื่องของจำนวนผู้มาชุมนุมแล้ว แต่มาครั้งนี้ที่ลานพระรูปฯ กลับจบลงอย่างง่ายดาย
“ผมเสียดายที่เคยจุดประเด็นได้ แล้วมาเสียในครั้งนี้ มันเร็วเกินไป พอรัฐบาลเล่นหนักขึ้น ก็ถอยกลับ โดยอ้างว่าไม่อยากสูญเสีย ผมก็ไม่เข้าใจ ซึ่งการชุมนุมครั้งต่อไป ผมคิดว่าคงยาก ต้องหาผู้นำใหม่ ประเด็นใหม่ ต้องใช้เวลาพอสมควร มันต้องเลี้ยงประเด็นต่อแล้วเลี้ยงให้โต ไม่ใช่รีบ ทำให้ต้องเริ่มต้นใหม่” รศ.ตระกูลกล่าวทิ้งท้าย
ถึงแม้การชุมนุมแบบม้วนเดียวจบในครั้งนี้จะยุติลงโดยกลับมาแบบมือเปล่า ไม่สามารถเรียกร้อง กดดัน อะไรจากรัฐบาลได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าประชาชนคนไทยทนไม่ไหวแล้วกับความห่วยของรัฐบาลชุดนี้ สุดท้ายขอให้เชื่อไว้เถิดว่า “วันพระไม่ได้มีหนเดียว”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live