อดีตเลขาฯ สมช.รับไม่สบายใจ “มาร์ค-สุเทพ” โดนดีเอสไอยัดข้อหาฆ่าแดง เหตุมีส่วนรับผิดชอบใน ศอฉ.เช่นกัน เชื่อผิดจริง คกก.ศอฉ.รวมไปถึง “ธาริต” ร่วมรับผิดชอบ ชี้บิดเบือนข้อมูล ปชช.ทำบรรทัดฐานคดีเพี้ยนส่งผลต่ออนาคต ย้อนชุมนุมรุนแรงไม่ควรปกป้อง ปราบอยู่ในกรอบไม่ควรติดคุก อย่าดึงเรื่องรองมาเป็นหลัก รู้ “ธาริต” เข้าใจประสงค์ ศอฉ.ถึงตั้งข้อหาแค่เล็งเห็นผล ยันไร้คำสั่งสลายชุมนุม ทหารตอบโต้เพราะโดนป่วน ยกเหตุวิสามัญขอดูที่เจตนา เพื่อกำลังใจ จนท.ปฏิบัติหน้าที่ ย้ำไม่ควรมีใครติดคุก เตือน “ธาริต” ลาออก หน.ทีมสอบ 98 ศพ เชื่อเป็นหมากอำมหิตทำเสียคน
คลิกที่นี่ แถลงการณ์ โดย "นายถวิล เปลี่ยนศรี"
วันนี้ (13 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ในฐานะอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อกล่าวหาต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลว่า ตนไม่สบายใจที่มีการตั้งข้อกล่าวหา ไม่ใช่เพราะตั้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์กับนายสุเทพ แต่เป็นเพราะการตั้งข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของ ศอฉ.ซึ่งตนมีส่วนในอดีต จึงออกมาพูดในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่เคยเป็นคณะกรรมการ เช่นเดียวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และหัวหน้าส่วนราชการหน่วยอื่นๆ เพราะเมื่อตนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐใน ศอฉ. ก็ไม่สบายใจว่าเจ้าหน้าที่ทำงานมีอำนาจหน้าที่ทางกฎหมาย ก็ต้องมีความรับผิดชอบ ฉะนั้นถ้าการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ.จะนำไปสู่การรับผิดชอบทางกฎหมาย ตนคิดว่าไม่มีกรรมการ ศอฉ.คนใดที่จะปฏิเสธ แม้แต่นายธาริตก็ตาม อยากบอกว่าปกติตนเป็นคนขี้ขลาดและขี้กลัวมาก แต่ถึงจะกลัวหรือขี้ขลาดก็ไม่เกินความรับผิดชอบที่เรามีอยู่ ตนปรึกษาแม่ ครอบครัวทั้งภรรยาและลูกสาวกรณีที่ตนจะต้องไปติดคุกกรณีอย่างนี้ ตนก็พร้อม และทุกคนไม่ต้องเสียใจ ถ้าให้คนสั่งการรับผิดชอบอย่างเดียวตนมองว่าไม่ยุติธรรม เพราะมันอยู่ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองร่วมกัน ความจริงมันมีการรับผิดชอบเป็นขั้นตอนอยู่
นายถวิลกล่าวว่า หากสาธารณชนได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือได้บางส่วนจะนำไปสู่การตัดสินใจของสาธารณชนที่เบี่ยงเบนออกไป และอาจสร้างบรรทัดฐานหรือรูปแบบผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง จะก่อให้เกิดอันตรายต่อชาติบ้านเมืองสืบเนื่องไปชั่วลูกชั่วหลาน ทั้งนี้ เหตุการณ์สลายการชุมชุมเม.ย.-พ.ค. 53 เราต้องตั้งหลักในตรงกัน ถ้าการชุมนุมใช้สิทธิด้วยความรุนแรง ละเมิดกฎหมาย รัฐไม่ว่าในขณะใดขณะหนึ่งก็ตาม ไม่ควรส่งสัญญาณทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ผิดว่าการชุมนุมควรได้รับการปกป้อง และไม่ควรส่งสัญญาณว่าการปฏิบัติหน้าที่นั้นบั่นทอนขวัญกำลังใจ ต้องพิจารณาดูว่ารัฐได้ทำอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าทำอย่างนั้นก็จบ กรณีนี้โดยหลักแล้วไม่ควรมีใครต้องติดคุก เพราะเข้าไปรับระงับเหตุที่จะมีอันตรายต่อชาติบ้านเมือง ขอให้ตั้งหลักว่าเรื่องอะไรเป็นเรื่องหลัก อะไรเป็นเรื่องรอง ตนเห็นว่าขณะนี้เอาเรื่องรองมาเป็นหลัก ทำให้เกิดความเข้าใจไขว้เขว
นายถวิลกล่าวต่อว่า การตั้งข้อหาต่อนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ต้องขอบคุณที่ดีเอสไอไม่ตั้งข้อกล่าวว่าเจตนาโดยประสงค์ต่อผล นายธาริตในฐานะ ศอฉ.ตระหนักดีว่าทุกคนใน ศอฉ.ไม่มีผู้ใดประสงค์ต่อผลที่จะให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้น ขอบคุณที่ตั้งข้อหาตรง ไม่บิดเบือน เพราะ ศอฉ.เล็งเห็นผลข้อเท็จจริงสถานการณ์ว่าอาจนำไปสู่การเสียชีวิตหรือเหตุรุนแรง ก็ต้องพยายามป้องกันเหตุ ยืนยันได้ว่า ศอฉ.ไม่มีคำสั่งสลายการชุมนุม แต่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารตั้งด่านที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นด่านที่อยู่กับที่ห้ามเคลื่อนที่เข้าไปพื้นที่ชุมนุม มีการตัดสิ่งอำนวยความสะดวก น้ำ ไฟ โทรศัพท์ เพื่อให้การชุมนุมฝ่อลงและเลิกไปเอง แม้จะรอบคอบก็มีเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิต แต่การตายไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่ลุแก่อำนาจ บุกลุยเข้าที่ชุมนุม แต่เป็นผู้ชุมนุมเข้ามาก่อกวนและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ และโจมตีเจ้าหน้าที่
อดีตเลขานุการ ศอฉ.กล่าวว่า การเล็งเห็นผลของ ศอฉ.จึงได้มีการกำชับให้มีความระมัดระวังตลอดเวลา ยกตัวอย่างกรณีที่ตำรวจวิสามัญฆาตกรรม ตำรวจถูกตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ทำไปเพื่อจับโจรผู้ร้าย ช่วยผู้บริสุทธิ์ อันนี้ก็เช่นเดียวกัน เพราะการชุมนุมเต็มไปด้วยความรุนแรง เมื่อตั้งข้อกล่าวหาว่าเจตนาฆ่าคนโดยเล็งเห็นผล ต้องพูดให้จบว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ไม่ควรจะติดคุก ใครก็ไม่ควรติดคุก ส่วนเจ้าหน้าที่เมื่อออกไปทำงานเพื่อความสงบเรียบร้อย ถ้าออกไปทำงานแล้ว 80-90 เปอร์เซ็นต์ต้องติดคุกแล้วใครจะทำงาน การส่งสัญญาณผิดๆ แบบนี้ ถ้าเกิดขึ้นในยุคนี้มันจบก็ไม่ว่าอะไร
อดีตเลขานุการ ศอฉ.ระบุว่า ตนอยากฝากไปถึงนายธาริตซึ่งมีความสนิทสนมกันมาก ตอนอยู่ใน ศอฉ.นั่งทำงานข้างกัน ช่วงการทำงานนอก ศอฉ.คับข้องใจในการทำงานหรือมีปัญหาก็ปรึกษาตน เช่นเดียวกันตนที่ซักถามข้อกฎหมายท่าน มาถึงเวลานี้ตนยังมั่นใจความแป็นมืออาชีพของท่าน ไม่คลางแคลง แต่ตนเป็นห่วงนายธาริตเพราะคำสั่งที่ตั้งให้นายธาริตเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีการเสียชีวิต 98 ศพ เป็นคำสั่งที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก และทำให้ตนนึกถึงเจตนารมณ์และเบื้องหลังของการสั่งการแต่งตั้งครั้งนี้ว่าเป็นความปรารถนาดีต่อนายธาริตหรือไม่ เนื่องจากนายธาริตเป็นกรรมการอยู่ใน ศอฉ. หากทำคดีนี้ในทางที่เอนเอียงและเป็นประโยชน์ต่อ ศอฉ. ทุกคนก็จะมองว่านายธาริตเข้าข้างเจ้านายเก่าก็จะถูกค่อนแคะ ในทางกลับกัน หากนายธาริตทำงานเข้าข้างฝ่ายรัฐบาลในปัจจุบันก็อาจจะถูกโจมตีว่าเปลี่ยนสีเปลี่ยวขั้ว ฉะนั้นซ้ายหรือขวานายธาริตไม่มีออกกลาง เสียทั้งสิ้น
“เมื่อเป็นเช่นนี้ หมากที่ตั้งนายธาริตมาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนจึงเป็นหมากเหี้ยม หมากอำมหิต และหมากทารุณ ฉะนั้น นายธาริตจะเสียผู้เสียคนตรงนี้ และในฐานะที่ผมมีความคุ้นเคยกับนายธาริตเป็นอย่างดี จึงเห็นว่าควรจะลาออกจากการเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน คนที่ตั้งนายธาริตเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเอง ผมก็คิดว่าไม่มีความเมตตาต่อท่านเท่าไหร่ เพราะนายธาริตอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะไปทางไหนก็ถูกด่าทั้งสิ้น จะมาเสียผู้เสียคนเพราะเหตุนี้ และเหตุใดไม่ตั้งคนอื่นมา” นายถวิลกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพติดคุก นายธาริตจะต้องติดคุกด้วยหรือไม่ เพราะเป็นกรรมการ ศอฉ.เหมือนกัน นายถวิลกล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่โดยหลักไม่ควรจะมีใครต้องติดคุก