แกนนำพรรคชาติพัฒนาสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องรอบคอบ สังคมยอมรับ ยึดกรอบศาลรัฐธรรมนูญ โบ้ยท่าทีขึ้นอยู่กับพรรค ส่วนเรื่องค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ช่วยคนยากจนมีรายได้มากขึ้น วอนนายจ้างมองรัฐช่วยลดภาษีอยู่แล้ว
วันนี้ (9 ธ.ค.) ที่ จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี แกนนำพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองช่วงก่อนปีใหม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทุกฝ่ายจะเห็นอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ฉะนั้นการดำเนินการเรื่องนี้ก็ต้องมีความถูกต้อง เหมาะสม ที่ผ่านมาสภาฯ ให้ความเห็นชอบไปแล้ว 2 วาระ รัฐบาลโดยพรรคร่วมรัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาให้รอบคอบอยู่หลายเดือน ขณะเดียวกันมีกรอบและแนวทางวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นแนวทางให้อยู่แล้ว
ทั้งนี้ ตนเห็นว่าที่ว่าผ่านมาทุกคนจะเห็นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกคนระมัดระวังกันอยู่แล้ว ฉะนั้น การจะเดินหน้าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องช่วยกันเดินหน้าด้วยความรอบคอบ คำนึงถึงความคิดเห็นส่วนรวม และกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วางเอาไว้ แต่ถามถึงความจำเป็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับสถานการณ์ของประเทศ ก็ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบันได้เกิดขึ้นในช่วงหลังจากที่มีการปฏิวัติเมื่อปี 2549 และมีการทำประชามติ และตอนนั้นพวกเราได้เห็นตรงกันว่า ขอให้มีประชาธิปไตยไว้ก่อน บ้านเมืองอาจจะสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ เมื่อใช้ไประยะเวลาหนึ่งเราค่อยมาแก้ไขกัน
“วันนี้สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจและสังคมก็เปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้นการที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าได้ หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้กลไกของรัฐธรรมนูญสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจโลก เรื่องดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ถ้าคิดว่ามีความถูกต้อง เหมาะสม การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ทำได้ เพียงแต่ว่าจะแก้ในประเด็นไหน และจะแก้ไขอย่างไรให้เกิดการยอมรับของสังคมและยึดถือในกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลเรื่องรัฐธรรมนูญ ได้ให้คำแนะนำเอาไว้ ถ้าทุกคนร่วมกันและเข้าใจถึงประโยชน์ที่ประเทศชาติจะได้และนำเสนอในสิ่งที่ดีๆ ที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย และอยู่ในกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญได้แนะนำเอาไว้ คิดว่ามันจะเกิดความเรียบร้อย ก็ต้องช่วยกันระมัดระวังให้การเดินหน้าเรื่องนี้เป็นไปได้ด้วยความรอบคอบ และก่อให้เกิดความร่วมมือของทุกฝ่ายว่ามันจะเกิดประโยชน์” นายสุวัจน์กล่าว
เมื่อถามว่า ท่าทีของพรรคชาติพัฒนา รวมทั้งของกลุ่มเอสแอนด์พี ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลจะทำอย่างไร นายสุวัจน์ตอบว่า เรื่องนี้เขาอยู่ในกรรมการของพรรคร่วมที่ตั้งขึ้นมาอยู่แล้ว ตนเข้าใจว่าเขาก็คงเห็นทิศทางว่าควรจะเดินหน้าอย่างไรให้บ้านเมืองเรียบร้อย
ส่วนเรื่องการขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2556 โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจจะมีปัญหานั้น นายสุวัจน์กล่าวว่า ถือว่าเป็นนโยบายในการยกระดับคุณภาพชีวิตและทำให้พี่น้องประชาชนภาคแรงงานมีรายได้มากขึ้น เป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล แต่ว่าในการที่เราจะดำเนินนโยบายอะไรก็แล้วแต่ ถึงแม้ว่าด้านหนึ่งเราจะได้ประโยชน์ แต่เราก็ต้องมีมาตรการที่จะรองรับผลกระทบ เพื่อให้โดยส่วนรวมอยู่ได้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้ทำทั้งสองทางอยู่แล้ว ขณะนี้ไม่ว่าการจะเดินหน้าอย่างจริงจังในเรื่องนี้ แต่ว่ามาตรการในการรองรับผลกระทบของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ตอนนี้รัฐบาลก็มีมาตรการออกมาหลายอย่างที่จะดูแลเรื่องของสวัสดิการ ดูแลเรื่องสินเชื่อ การปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตเพื่อใช้แรงงานน้อยลง หรือแม้กระทั่งนโยบายเรื่องการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล
“บางทีเรามองนโยบายรัฐบาล เราต้องมองหลายๆ ด้านด้วยว่า รัฐบาลได้ทำอะไรนอกเหนือจากการขึ้นค่าแรงแล้ว แต่เขาก็ลดภาษี ตอนนี้เหลือร้อยละ 23 ต่อไปเหลือร้อยละ 20 เป็นการลดภาระทางอ้อม มันก็ต้องดูภาพรวมของนโยบายด้วย ซึ่งตนคิดว่าโดยหลักการนโยบาย 300 บาท จะทำให้พี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนยากคนจนที่อยู่ในภาคแรงงานมีรายได้มากขึ้น แต่ขีดความสามารถทางด้านแข่งขัน เพราะอุตสาหกรรมเราต้องมีตัวอื่นมาเสริม เพื่อรักษาขีดความสามารถทางด้านการแข่งขันของประเทศ” นายสุวัจน์กล่าว