xs
xsm
sm
md
lg

“ป.ป.ช.”ชักช้าไม่ได้ชี้ถูก-ผิดรับจำนำข้าว

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด

ข่าวปนคน คนปนข่าว

ชักไม่เข้าทีแล้ว สำหรับการขายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลเพื่อส่งออกไปต่างประเทศของกรมการค้าต่างประเทศกับบริษัท GSSG Import-Export Corporation ที่เป็นบริษัทเอกชนของจีน นับวันจะยิ่งมีข้อสงสัยเคลือบแคลงมากขึ้นเรื่อยๆ

ล่าสุดเมื่อ30 พ.ย.ที่ผ่านมามีการออกมาเปิดเผยเองของนาย ก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ที่เดินทางไปยังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นำคณะโรงเรียนการเมืองของประ เทศจีน ไปแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นกับนักการเมืองไทย หลังจากนั้นมีข่าวว่าวันดังกล่าว รอง ผอ.การเมืองของจีน ก็ไปบรรยายเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของประเทศจีนในทางเศรษฐกิจและการเมืองที่พรรคประชาธิปัตย์

โอกาสเดียวกันนี้ ก่วน มู่ ก็ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงเรื่องที่หลายคนอยากรู้กรณีข้อมูลที่ว่าบริษัทของจีนคือ GSSG Import-Export Corporationได้ซื้อข้าวในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล 5 ล้านตัน

คำให้สัมภาษณ์ที่สื่อมวลชนนำเสนอมีความน่าสนใจอย่างมาก และน่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้เห็นภาพอะไรได้หลายอย่างว่าที่ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ รวมถึงคนในรัฐบาลพูดเรื่องการซื้อขายข้าวไทยกับต่างประเทศนั้น มันมีอะไรน่าติดตามค้นหาไม่น้อย ว่าข้อตกลงการซื้อขายเป็นอย่างไร

เพราะตามข่าว นายก่วน มู่ ให้สัมภาษณ์ถึงการขายซื้อขายข้าวระหว่างไทยกับจีนว่า เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว เพราะไทยผลิตข้าวมากที่สุด ขายข้าวได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกตลอดมา จึงมีการหารือกันขอให้จีนซื้อข้าวเพิ่มเพื่อช่วยเหลือชาวนาไทย

“ตามประเพณีที่ปฏิบัติมา จีนก็เห็นว่าควรที่จะสนับสนุน จึงลงนามในหลักการระหว่างรัฐบาลเป็นในระดับหลักการเท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อขายจริงๆ จะมอบหมายให้บริษัทไปหารือกับประเทศไทยโดยตรง ทราบว่ามีการเซ็นสัญญากับบริษัทแล้วประมาณหลายแสนตัน แต่ไม่เคยมีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตัน ตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง”

พอสื่อถามว่าบริษัทที่จีนมอบหมาย ให้ซื้อข้าวกับไทยคือ บริษัท จีเอสเอสจี ใช่หรือไม่ ทูตจีนกล่าวเลี่ยงว่า ไม่ได้มีบริษัทเดียว แต่มีหลายบริษัท ประมาณ 4-5 บริษัท ซึ่งสัญญาซื้อขายก็ยังไม่ได้ยุติทั้งหมด ต้องตกลงกันต่อไป

"การซื้อข้าวจากไทยเป็นประเพณีที่ทุกปีต้องซื้อ ส่วนการเปิดแอลซี รัฐบาลจะไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องของบริษัทเนื่องจากการดำเนินการของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจจะทำเอง รัฐบาลมีบทบาทเพียงแค่ชี้นำให้มีการซื้อขายเท่านั้น จากนั้นบริษัทจะไปตกลงกันเองกับประเทศไทย

ระบบที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจีนเป็นผู้ซื้อ แต่มีบทบาทชักนำให้รัฐวิสาหกิจหรือภาคเอกชนเข้ามาซื้อเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแล้ว รวมถึงเรื่องการตกลงราคาก็เป็นเรื่องที่สองฝ่ายคุยกัน"

เมื่อพิจารณาจากคำพูดของก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ก็จะเห็นได้ชัดว่า ทางจีนย้ำว่ารัฐบาลจีนไม่ได้เป็นผู้ซื้อ เพียงแต่ชี้ชวนหรือชักนำให้บริษัทของจีนมาซื้อ ซึ่งที่ผ่านมาคนในรัฐบาลพยายามจะบอกว่าเป็นการขายให้กับรัฐบาลในลักษณะจีทูจี หรือรัฐต่อรัฐ ก่อนที่ต่อมาตัวบุญทรง จะไปแก้ตัวในสภาฯวันเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหลังการอภิปรายของนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ว่า การซื้อขายกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นเจ้าภาพหลักในการไปเจรจากับต่างประเทศให้มาซื้อข้าวไทย ซึ่งหากจะเป็นบริษัทเอกชนของต่างประเทศ ก็จะให้สถานฑูตของประเทศนั้นๆ รับรองสถานะให้ หลังถูกฝ่ายค้านนำชื่อบริษัทของจีนดังกล่าวรวมถึงกระบวนการซื้อขายมาเปิดเผยกลางสภาฯ

เท่ากับว่าทางจีนก็ออกมาบอกว่า การขายข้าวดังกล่าวจริงๆ แล้วไม่ใช่แบบจีทูจี อย่างที่รัฐบาลพูดยกเมฆมาตลอด แถมคำให้สัมภาษณ์ของนายก่วน มู่ ก็ยิ่งทำให้สงสัยรัฐบาลมากขึ้นที่พยายามอ้างตัวเลขการส่งออกข้าวนั้น ความจริงแล้วตัวเลขอาจไม่ถึงตามที่รัฐบาลคุยโว

เพราะตัวนายก่วน มู่ ก็บอกเองว่าสัญญาที่คุยกัน การซื้อขายยังไม่ได้ข้อยุติเพราะต้องไปตกลงกันต่อไป ตีความได้ว่าอาจจะซื้อไม่ซื้อก็ได้ แต่รัฐบาลนำตัวเลขมาอ้างแล้วว่าขายข้าวไปต่างประเทศได้แล้ว

ดูไปแล้ว ยิ่งรัฐบาลดิ้นแก้ตัว หาช่องทางฟอกตัวเองสารพัดวิธี ก็ยิ่งทำให้มีแต่คนพบข้อสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

เพราะนับแต่ฝ่ายค้านออกมาเปิดเผยข้อมูลเงื่อนงำการซื้อขายข้าวดังกล่าวของกรมการค้าต่างประเทศกับ GSSG Import-Export Corporation ก็ปรากฏว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติและบุญทรง เตริยาภิรมย์ จนถึงป่านนี้ก็ยังแจงข้อกล่าวหาไม่ขึ้น โดยเฉพาะคำอภิปรายของนพ.วรงค์ ที่แฉเงื่อนงำความผิดปกติในการซื้อขายข้าวดังกล่าว

จนทำให้คนทั้งประเทศรู้จักชื่อของ เสี่ยเปี๋ยงหรือ อภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตเจ้าของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง-นิมล รักดีหรือ เสี่ยโจ -สมคิด เรือนสุภา และ รัฐนิธ โสจิระกุล หรือ ปาล์ม ผู้ช่วยส.ส.นางรพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย เมียนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง

เมื่อผู้คนเริ่มสงสัยกระบวนการซื้อขายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลทำหูทวนลม ถือว่าตัวเองมีเสียงข้างมากในสภาฯคอยคุ้มกันจะเดินหน้าทำโครงการต่อไปโดยไม่ฟังเสียงท้วงติงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

มีทางเดียว คือก็ต้องฝากความหวังไว้กับหน่วยตรวจสอบอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)จะต้องเร่งตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไปตามสำนวนคำร้องถอดถอนยิ่งลักษณ์ ที่ฝ่ายค้านยื่นเรื่องไปก่อนหน้านี้ รวมถึงที่นพ.วรงค์บอกว่าจะไปยื่นเรื่องเพิ่มเติมกับป.ป.ช. ในสัปดาห์นี้

ควรที่ป.ป.ช.จะต้องเร่งสอบสวนเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการปกติจนเป็นคดีคั่งค้างนับร้อยคดีอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ เพราะใครก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน หลายฝ่ายบอกว่าหากยังไม่ทบทวนยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวจะทำให้ประเทศเสียหายหลายแสนล้านบาท

ป.ป.ช.ก็ต้องคิดเองได้ว่าจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกันความเสียหายดังกล่าวหรือไม่ หรือจะปล่อยให้หายนะเกิดขึ้นโดยทำงานกันแบบขั้นตอนปกติ แล้วอ้างว่าต้องทำให้เป็นเหมือนทุกคดีก่อนหน้านี้

เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันในมาตรา 272 ก็บัญญัติไว้ว่า เมื่อป.ป.ช.ได้รับเรื่องการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองจากประธานวุฒิสภาแล้วก็ให้ป.ป.ช.ไต่สวนให้แล้วเสร็จโดยเร็วและยังบัญญัติด้วยว่า เมื่อไต่สวนเสร็จแล้ว ให้ป.ป.ช.ทำรายงานเสนอต่อวุฒิสภา

ขณะเดียวกันมาตรา 272 ก็บัญญัติว่า ในกรณีที่ป.ป.ช.เห็นว่าข้อกล่าวหาตามคำร้องขอข้อใดเป็นเรื่องสำคัญ จะแยกทำรายงานเฉพาะข้อนั้นส่งไปให้ประธานวุฒิสภาเพื่อให้พิจารณาไปก่อนก็ได้

จึงเป็นหน้าที่ป.ป.ช.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนี้แล้วป.ป.ช.ต้องเร่งติดเครื่องพิจารณาเรื่องที่เห็นว่าจำเป็นเร่งด่วนอย่างเรื่องเงื่อนงำโครงการซื้อขายข้าวในโครงการรับจำนำข้าวให้ผลออกมาเป็นที่ประจักษ์ชัดโดยเร็ว
กำลังโหลดความคิดเห็น