xs
xsm
sm
md
lg

นักการเมืองถ่อย-น่ารังเกียจ ระวังคนอย่าง “จ่าประสิทธิ์” เป็น รมต.!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

ใครจะนึกว่าบรรยากาศที่ได้เห็นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาในห้องประชุมสภาของไทยช่างน่ารังเกียจ ขยะแขยงได้ถึงขนาดนี้ และยังนึกไม่ถึงว่านักการเมืองของไทยมันมีพฤติกรรมถ่อยเถื่อนจนเกินทานทนได้

ส่วนเรื่องวุฒิภาวะ นั้นไม่ต้องพูดถึงให้เสียเวลา เพราะในเมื่อเท่าที่เห็นส่วนใหญ่แสดงออกมา ทุกอย่างมันก็เหมือนกับการประจานตัวเองจนไม่ต้องอธิบายอะไรกันอีก

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือว่าเป็นสถานที่ประชุมของผู้ทรงเกียรติ แต่ระหว่างที่มีการอภิปรายในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ที่นำโดยนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตลอดสองสามที่ผ่านมาเริ่มตั้งแต่ วันที่ 25 พฤศจิกายน ต่อเนื่องมาจนถึงวันลงมติในวันที่ 28 พฤศจิกายน

แม้ว่าอีกมุมหนึ่งหากพิจารณากันด้วยความเป็นธรรมก็ต้องบอกว่าพอมีเนื้อหาสาระได้เห็นอยู่บ้าง มีการนำเสนอหลักฐานชี้ให้เห็นถึงการทุจริต ความล้มเหลวของนโยบาย “มักง่าย” ของรัฐบาลที่มุ่งเน้นเอาแต่เรื่องการหาเสียงเฉพาะหน้าเท่านั้น โดยไม่สนใจหายนะที่จะเกิดและกลายเป็นภาระของคนทั้งชาติในอีกไม่นานข้างหน้า จากการก่อหนี้สาธารณะจนเกินพอดี

การอภิปรายของฝ่ายที่ต้องยอมรับกันบ้างเหมือนกันว่ามีการทำการบ้านมาดีพอสมควร โดยเฉพาะการชี้ให้เห็นถึงการทุจริตจากโครงการจำนำข้าว ชี้ให้เห็นเส้นทางการทุจริตสมคบคิดกันระหว่างนักการเมือง พ่อค้า โรงสี ยังกล่าวหาเชื่อมโยงไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นผู้ชักใยสำคัญรวมไปถึงคนในครอบครัวของเขา ซึ่งต้องยอมรับว่าการอภิปรายของฝ่ายค้าน อย่างเช่น น.พ.วิกรม เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าเกาะติดเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง

มีการเปิดโปงการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีของรัฐบาลแบบ “กำมะลอ” เพราะไม่ใช่เป็นการดำเนินการจริง เพียงแต่การเปิดช่องให้มีตั้งบริษัทขายข้าวขาดทุนโดยกลุ่มพ่อค้าในสังกัดของนักการเมือง เปิดเผยให้เห็นเส้นทางการเงิน แสดงภาพถ่ายระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร กับนายทุนเครือข่ายเพื่อชี้ให้เห็นถึงความใกล้ชิดกันแบบจะจะ

แต่ก็อย่างว่า ต่อให้มีหลักฐานชี้ให้เห็นถึงการทุจริต ชี้ให้เห็นกลโกงมากกว่านี้อีกร้อยเท่าก็ไม่มีความหมาย เพราะเมื่อถึงเวลายกมือโหวตพวก ส.ส.พรรครัฐบาลทั้งหมดก็ต้องหลับหูหลับตายกมือสนับสนุนอยู่แล้ว การแสดงออกของ ส.ส.ดังกล่าวล้วนแล้วไม่ต่างจากสภาทาส ซึ่งคอยรับใช้และรักษาผลประโยชน์ของ “นาย” ครอบครัวของนายเท่านั้น

ภาพที่เห็นสื่อออกมาเห็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะการอภิปรายในสภาของพรรครัฐบาลและคนในรัฐบาลล้วนแล้วแต่ปกป้องคนในครอบครัวของ ทักษิณ ไม่ให้มีใครแตะต้องได้ กลายเป็นว่าคนพวกนี้ล้วนทำหน้าที่ไม่ต่างจากพนักงานบริษัทที่แย่งการทำผลงานเพื่อให้ “นาย” หรือเจ้าของบริษัทพอใจ เพื่อหวังว่าในโอกาสหน้าจะได้รับ “รางวัลตอบแทน” เหมือนคนอื่นที่เห็นเป็นตัวอย่างไปแล้ว

อย่างไรก็ดีในบรรดาการรับใช้ของคนพวกนี้ที่ส่อออกมาในลักษณะของการ “แย่ง” กันรับใช้ ซึ่งมัน “เลยเถิด” และไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นกับคนที่อ้างว่าเป็น “ผู้ทรงเกียรติ” ได้โอกาสมาประชุมกันในที่รโหฐานที่มีคนไม่มากนักได้รับโอกาสดังกล่าว

แต่การที่ได้เห็นภาพของ จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ที่ก่อนหน้านี้ได้มีบทบาทเป็น “จอมประท้วง” ปกป้องรัฐบาลและคนในครอบครัว ทักษิณ บ่อยครั้ง และเมื่อใดก็ตามที่มีการถ่ายทอดผ่านทางจอโทรทัศน์ออกไปสู่สายตาชาวบ้าน บทบาทก็ยิ่งหนักข้อเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ประหนึ่งว่านี่คือการแสดงโชว์อะไรประมาณนั้น แต่การที่ลุกขึ้นมากล่าวเสียดสีแบบเหยียดหยามทางเพศกับ ส.ส.หญิงฝ่ายตรงข้ามที่เป็นฝ่ายค้านอย่าง รังสิมา รอดรัศมี จากสมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าต้องประณาม เพราะพฤติกรรมที่เกิดขึ้นถือว่า “ถ่อย-เถื่อน” สุดบรรยาย และไม่อาจอภัยให้ได้ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเป็น ส.ส.หรือแม้แต่เหยียบเข้าไปในสภาอันทรงเกียรติและศักดิ์สิทธิ์ ได้เลย

แต่อีกด้านก็ให้จับตาอย่างใกล้ชิดว่าคนแบบนี้แหละมีโอกาสที่จะได้รับการพิจารณาจาก “นาย” ให้ได้รับตำแหน่งตอบแทนเป็นรัฐมนตรีในอนาคตก็เป็นได้ หากเขามีปัญญาไปเรียนจนจบหรือเทียบเท่าปริญญาตรีที่กำหนดเอาไว้เป็นคุณสมบัติ สิ่งดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่ตลกโปฮา หรือเป็นไปไม่ได้ เพราะขนาด สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ยังสามารถเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ และล่าสุดยังได้เพิ่มโบนัสได้ควบรองนายกฯอีกเก้าอี้หนึ่ง และสำหรับ สุรพงษ์ คนเดียวกันนี้ก็ได้แสดงวาทะอันตื่นตะลึงด้วยการประชดฝ่ายค้านที่ซักฟอกเรื่องการทำหน้าที่เพื่อช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตรที่เป็นนักโทษหนีคุกให้ได้รับวีซ่าเข้าญี่ปุ่นว่า ถ้ามีอำนาจอย่างนั้นจริงก็จะสั่งให้ญี่ปุ่นไปถล่มเกาะฮาวายอีกรอบ

คำพูดดังกล่าวถือว่าเป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออก เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวระหว่างประเทศที่เคยเป็นคู่สงครามในอดีต แต่ประเด็นก็คือเป็นการแสดงให้เห็นว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ “ไร้ซึ่งวุฒิภาวะ” อย่างสิ้นเชิง!!
กำลังโหลดความคิดเห็น