รายงานการเมือง
จบไปแล้วศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซักฟอกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นไปตามคาด “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีหญิงสมองกลวง ฉลุยด้วยเสียงไว้วางใจ 308 เสียงต่อ 159
ส่วนลิ่วล้อ 3 รมต. ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ฝีปากกล้าหนังหน้าหนา ผ่านไปด้วยคะแนน 287 ต่อ 157 พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม จอมห้าวเป้งโคตรเชลียร์ ผ่านไปเช่นกัน ด้วยคะแนน 284 ต่อ 160 และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย มือตบ... โดนแฉบนเวทีนี้อ่วมที่สุด ผ่านไปด้วยคะแนน 287 กับ 182 เสียงไม่ไว้วางใจมากกว่าใครเพื่อน
สัดส่วนคะแนนที่แตกต่างกันนั่นก็เป็นผลมาจากตัวแปรพรรคร่วมฝ่ายค้าน คือ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะหลายกลุ่มหลายคนแบะท่าจะเข้าไปร่วมรัฐบาลจนเลิกอายหมดแล้ว แต่แปลกนิดหน่อยที่ครั้งนี้ เทใจทั้งพรรคโหวตให้ “ยิ่งลักษณ์” เหมือนมัดจำไว้ก่อน
ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นๆ ก็โหวตกันฟรีสไตล์ ปรากฏว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ ถูกภูมิใจไทยยกมือไม่ไว้วางใจบานเบอะ ตอกย้ำข้อกังขาของสังคม ที่ได้ชมได้ฟังการอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วเชื่อว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นจริง
การอภิปราย 3 วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ผู้ที่ติดตามชมคงได้รับทราบและมีคำตัดสินในใจกันไปแล้ว แต่กระนั้นฝ่ายมุมแดงไม่ว่าจะต่อให้โคตรโกง โกงทั้งโคตรอย่างไร ก็หลับหูหลับตาเชียร์รัฐบาลต่อไปอยู่ดี
ส่วนคนกลางๆ เขาฟังแล้วก็พอจะเห็นภาพลางๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟังคำอภิปรายสรุปจาก “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้านแล้ว หลายคนเข้าใจกระจ่างมากขึ้น
“จุรินทร์” ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมจนต้องปรบมือให้ พูดจาฉะฉาน มีจังหวะจะโคน เหมือนมีดกรีดเนื้อเถือหนังทีละแผลๆ จนเหวอะหวะ หลายครั้งหลายหนต้องถูกรบกวนสมาธิจากฝ่ายรัฐบาล ที่ประท้วงกันเป็นลิงเป็นค่าง ตะโกนกันเหมือนสภาเป็นสวนสัตว์ มุ่งหมายเพื่อขัดจังหวะ แต่ “จุรินทร์” ยังนิ่ง เอาตัวรอดไปได้สบายๆ ซ้ำยังฝากรอยแผลให้รัฐบาลอย่างเจ็บแสบ
ถลกหนัง “สารวัตรเหลิม” เพิกเฉยไม่ถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหลบหนีคดี ทั้งที่กฤษฎีกามีความเห็นว่าเข้าเกณฑ์ถูกถอดยศได้ หวังเชลียร์นายให้ตัวเองเป็นใหญ่เป็นโต อยู่สุขสบาย แฉย้ำพฤติกรรมลุอำนาจ “สุกำพล” ล้วงลูก แต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม ทั้งยังพัวพันทุจริตจัดซื้อเรือลาดตระเวน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่นดิน สั่งชะลอไว้ ตลอดจนการเปลี่ยนอุปกรณ์เป้าลวงบนเรือรบหลวงนเรศวร และ รล.ตากสิน ที่เปลี่ยนสเปก จนเทคโนโลยีล้าหลังเหมือนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ในรายของ “ชัจจ์” โดนถล่มจนอ่วม สมัยดำรงตำแหน่ง รมช.คมนาคม บริหารบกพร่อง ล้มเหลว ทุจริต ผิดกฎหมายฮั้วและผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยเฉพาะงบประมาณเยียวยาแก้ไขปัญหาน้ำท่วม 1.2 แสนล้านบาท ในโครงการของกรมเจ้าท่า จนอธิบดีกรมเจ้าท่าต้องลาออก การตอบคำถามเรื่องค่าหัวคิว “มิสเตอร์เอ็กซ์” ไร้ความชัดเจน ซ้ำยังเข้าข่ายแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จ และผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.)
ที่โดนไปเต็มๆ จนเละเทะในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้หนีไม่พ้นโครงการรับจำนำข้าว โดนฝ่ายค้านลากไส้จนไปไม่เป็น ตอบคำถามไม่ถูก จากเดิมที่ประเทศไทยเคยเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก แต่ปีนี้ตกมาเป็นอันดับ 3 รองจากอินเดีย และเวียดนาม ทั้งยังเสียแชมป์ด้านคุณภาพให้แก่กัมพูชา
เปรียบเปรยกันเห็นภาพน่าอเน็จอนาถว่าไทยอาจซ้ำรอยประเทศพม่าที่เคยเป็นผู้ส่งออกข้าวมากที่สุดในโลก กว่า 19 ล้านตันต่อปี แต่พอมาถึงปี 2504 กลับเหลือปริมาณส่งออกเพียง 1 ล้านกว่าตัน เหตุผลเนื่องจากรัฐบาลพม่าเวลานั้น ดำเนินนโยบายหันมาค้าข้าวเสียเอง เหมือนกับรัฐบาลไทยเวลานี้ไม่ผิดเพี้ยน
สุดท้ายฟาดไปที่ตัว “ยิ่งลักษณ์” มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ ถ้าเรื่องไหนเอื้อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง รีบกุลีกุจอทำทันที แต่หากเป็นประโยชน์ประเทศชาติ ประชาชน รอไปก่อน พร้อมย้อนเกล็ดบันไดกี่ขั้นก็ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ นอกจากล้มไปเพราะพฤติกรรมของตัวเอง
ก่อนเสนอแนะให้หยุดชนวนเหตุแห่งความเสื่อม 5 ประการ 1. การทุจริต ประพฤติผิดต่อกฎหมาย 2. วุฒิภาวะความเป็นนายกรัฐมนตรีในระบบรัฐสภาบกพร่อง 3. ต้องรักษาคำพูด “แก้ไข ไม่แก้แค้น” 4. นายกฯ ต้องไม่ปล่อยให้ผู้มีอำนาจเหนือตน หรือเหนือรัฐธรรมนูญเข้ามาล้วงลูก ทำเสมือนประเทศไทยเป็นบริษัท และ 5. นายกฯ ต้องก้าวให้พ้นผลประโยชน์ของตัวเอง และครอบครัว
แน่นอนว่า แม้ฝ่ายค้านจะอภิปรายได้ดีอย่างไร จะล้วงลึกตีแผ่กลโกงได้ชัดเจนแจ่มแจ้งขนาดไหน ก็ไม่อาจสั่นคลอนรัฐบาล ที่มีส.ส.ในสภาตึง มือเกินครึ่งสภา ที่พร้อมใจกันหลับหูหลับตาโหวตผ่านไปได้ทั้งกระบิ หนำซ้ำยังมีเสียงจากพรรคร่วมฝ่ายค้านไปโหวตให้ด้วยสัญญาใจในการร่วมรัฐบาลภายภาคหน้า
กระนั้นการขยายภาพความล้มเหลวทุจริตของรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ทำให้สังคมต้องจับตาดูการทำงานของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยเฉพาะกลเม็ดโกงเช็ด ที่ฝ่ายค้านหยิบยกรูปแบบที่แยบยลมาไขรหัสให้ดู ซึ่งก็สอดคล้องกับผลโพลที่อยากให้รัฐบาลระมัดระวังเรื่องการทุจริตมากที่สุด พร้อมเสนอให้รัฐบาลปรับ ครม. เอา รมต.ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชันออกไปให้พ้นหน้า มิฉะนั้นประชาชนจะเสื่อมศรัทธารัฐบาล และเกิดการชุมนุมขับไล่อีก
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ถือว่ารัฐบาลบอบช้ำ เพลี่ยงพล้ำพอสมควร เพราะสำรวจตรวจสอบปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาแล้วพบว่า ฝ่ายค้านทำแต้มเอาคะแนนอยู่ฝ่ายเดียว การชี้แจงของนายกฯ รวมทั้งรัฐมนตรีที่โดนซักฟอก เอาตัวรอดไปได้ไม่กี่คน
อย่างนายกฯ ก็ชัดเจนว่าพูดไม่เก่งอยู่แล้ว พูดท่องบทเป็นนกแก้วนกขุนทอง แทบไม่ได้ตอบข้อสงสัยฝ่ายค้านอะไรเลย เพราะถ้านอกเหนือสคริปต์แล้วก็แบ๊ะๆ รมต.อย่าง “ชัจจ์” ก็กำกวม ถามช้างตอบม้า ฝ่ายยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ที่นั่งมอนิเตอร์อยู่ตลอด 3 วัน ฟังแล้วหงุดหงิด งุ่นง่าน อาละวาดเซ็งบ่อนทั้ง รมต. ทั้ง ส.ส. รวมไปถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่กำกับควบคุมเวทีว่า “ล้มเหลวหมด” เพียงแต่ไม่กล้าฟาดไปที่ตัวนายกฯด้วย แม้จะมองว่าเป็นบ่อน้ำมันจุดหนึ่งก็ตาม
ด่ากันวงในไม่พอ ยังเรียกประชุมพรรคมาเฉ่งปี๋กันอีก ซัดเละรัฐมนตรีชี้แจงเลอะเรื้อน แจงข้อกล่าวหาไม่กระจ่าง ปล่อยให้สังคมเคลือบแคลง ส.ส.ก็ประท้วงแบบไร้หลักการ สร้างความปั่นป่วน เกิดภาพลบกับรัฐบาลมากกว่า จะว่าไปบางคนบางรายดื้อรั้น จนน่ารำคาญ อย่าง สุนัย จุลพงศธร ถือว่าตัวเองเก๋า แก่พรรษาทางการเมือง คิดจะประท้วงจะป่วนอย่างไรก็ได้ ในที่สุดเจอ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภา ดับผยอง สั่งไล่ออกจากห้องประชุม จนต้องหุบหน้าเน่าๆ นั่งเจี๋ยมเจี้ยมไป
ที่น่าตำหนิอีกอย่างก็คือ การทำหน้าที่ของประธานสภา ที่หลายจังหวะควบคุมการประชุมไม่อยู่ เละเทะวุ่นวาย แต่ทว่าพรรคเพื่อไทย อาจจะเรียกมาตำหนิตักเตือนฐานไม่ช่วยเหลือพวกเดียวกัน แต่ไปเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายค้านเงื้อดาบมาชำแหละรัฐบาล คนที่ทำหน้าที่ดีที่สุดในสายตาประชาชนอย่าง "วิสุทธิ์" อาจเป็นจำเลยในสายตาของแกนนำพรรคเพื่อไทย!!
ภาพรวมการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้นับว่าฝ่ายค้านทำได้เข้าเป้า เหนือกว่าที่ถูกปรามาสว่านำข้อมูลตัดแปะ เหล้าเก่าในขวดใหม่ เป็นฝ่ายรัฐบาลเองนั่นแหละที่นอกจากจะถูกจับได้ไล่ทันหลายกลเม็ดโกง การเตรียมตัวชี้แจงแก้ต่าง ต้องบอกว่าทำการบ้านมาหละหลวมเหลือเกิน ไปซุ่มซ้อมอยู่นาน แต่ไม่เห็นมีทีเด็ดมาตอบโต้
ด้วยจำนนต่อหลักฐานกระมัง ศึกซักฟอกคราครั้งนี้จึงเสียแต้มไปแบบจนมุม