ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดรัฐบาล โดยจะเรียกว่าเป็นคณะรัฐมนตรีชุดเล็กที่นำโดย รองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ก็ได้ตัดสินใจประกาศใช้ พระราชบัญญัติความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เพื่อควบคุมสถานการณ์แล้ว โดยประกาศเขตควบคุมพื้นที่ ในกรุงเทพมหานคร คือ เขตพระนคร เขตดุสิต และเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ตั้งแต่วันที่ 22-30 พฤศจิกายน 2555
แน่นอนว่านี่คือการประกาศใช้กฎหมายพิเศษ เพื่อข่มขู่และป้องปรามการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่จะออกมาขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 24 พฤศจิกายน
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีคิวออกโทรทัศน์เพื่อชี้แจงสถานการณ์โดยมีบรรดาผู้นำเหล่าทัพเป็นแบ็กกราวด์ ความหมายก็คือต้องการสกัดกั้นไม่ให้มวลชนเข้าร่วมกับม็อบนั่นแหละ
นอกจากนี้ยังมีส่วนของผู้นำเหล่าทัพที่ออกอาการชัดเจนที่สุดก็คือ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ถึงกับสั่งการเด็ดขาดห้ามกำลังพลเข้าร่วมกับการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามที่นำโดย “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ และต่อมาก็เข้มขึ้นมาอีกขั้นด้วยข่าวห้ามไปถึงครอบครัวของกำลังพลออกมาร่วมด้วย ถ้าใครฝ่าฝืนก็จะอัปเปหิออกจากบ้านพักพร้อมกัน แม้ว่าจะมีการแถลงแก้ข่าวในภายหลัง แต่นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดได้เกิดขึ้นภายในแล้ว ทั้งจากคำสั่งและอารมณ์หลังจากมีคำสั่งดังกล่าวออกมา
สอดรับกับความตื่นตัวของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ก็มีคำสั่งในทำนองเดียวกันห้ามกำลังพลเข้าร่วมชุมนุม แม้ว่าจะไม่พูดถึงครอบครัวก็ตามแต่อารมณ์ความรู้สึกก็ไม่ได้แตกต่างกัน
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งก็ย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายรัฐบาลได้ดี เมื่อกำหนดวันดีเดย์ในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลกำลังงวดเข้ามาเรื่อยๆ หากนับจากวันนี้ก็เหลือเวลานับถอยหลังประมาณไม่เกิน 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากการประกาศใช้กฎหมายพิเศษดังกล่าวขึ้นควบคุม พร้อมกับระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศเข้ามาตามตัวเลขที่เปิดเผยออกมาจากปากของ รองนายกฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ว่ามีไม่น้อยกว่า 5 หมื่นนาย ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีกำลังนอกเครื่องแบบอีกนับหมื่น
พิจารณาจากทั้งกฎหมายพิเศษ คือ พระราชบัญญัติความมั่นคงฯ และกำลังเจ้าหน้าที่มารับมือแล้ว ย่อมประเมินได้ว่ารัฐบาลมีความหวั่นไหวกับการชุมนุมของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามในครั้งมากเพียงใด และแน่นอนว่าเมื่อพิจารณาจากจำนวนเจ้าหน้าที่ถึง 5 หมื่นนายแล้ว ก็ต้องมองไปถึงจำนวนผู้ชุมนุมที่ประเมินกันว่าต้องมีหลายหมื่นคนแน่นอน ส่วนจะถึงแสน จะกี่แสนคนก็ต้องรอให้ถึงวันดีเดย์เสียก่อน
แต่ถ้าพิจารณาจากอารมณ์โกรธ อารมณ์เกลียด อารมณ์รำคาญ ความขายขี้หน้าอับอายจากพฤติกรรมและคำพูดของคนในรัฐบาลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพิ่งปรากฎการณ์ทางการทูตในรูปแบบใหม่จนอื้อฉาวไปทั่วโลก ท่าทางของระดับ “ขี้ข้า” อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ล้วนแล้วแต่เป็นปรากฏการณ์ “เรียกแขก” ได้เป็นอย่างดี หรือแม้แต่การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯ ดังกล่าว ยิ่งเพิ่มอารมณ์โกรธให้ทวีคูณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าการชุมนุมของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “กลุ่มคนทนไม่ไหว” นั่นแหละ อีกทั้งเป็นการชุมนุมประท้วงแบบ “รวมการเฉพาะกิจ” หลากหลายที่มาแต่มีเป้าหมายเป็นหนึ่งเดียวคือ ต่อต้านรัฐบาลที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พวกเขาเห็นว่าเป็น “หุ่นเชิด” ของทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นคนทุจริตคิดมิชอบ และยังเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของชาวบ้านส่วนใหญ่ แต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็นเป้าหมายหลัก หากกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือเพื่อทักษิณ นั่นแหละ เห็นได้จากการแต่งตั้งรัฐมนตรีก็ล้วนแล้วแต่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดความรู้ความสามารถ มีการตอบแทนผลประโยชน์ส่วนตัวให้กับพวกพ้อง
ขณะเดียวกัน หากกล่าวในมุมของรัฐบาลที่พยายามขัดขวาง ทำทุกวิถีทางไม่ให้มีการชุมนุมขับไล่ โดยอ้างว่ามาจากประชาธิปไตย แต่ขณะเดียวกันมองในมุมของชาวบ้านก็ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายหากเป็นการชุมนุมโดยสงบ ย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ ขณะที่ฝ่ายรัฐก็ต้องรักษาความปลอดภัยดูแล
นอกเหนือจากนี้ สำหรับรัฐบาลหากมองว่าการชุมนุมเป็นเรื่องปกติตามระบอบประชาธิปไตย และถ้ามั่นใจว่ารัฐบาลบริหารบ้านเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ มีผลงาน สร้างความประทับใจอำนวยความยุติธรรมให้ทุกฝ่ายโดยไม่เลือกเขาเลือกเรา ทำให้คนไทยมีความสุข มีความเป็นอยู่ที่ดี แน่นอนว่าย่อมต้องไม่มีการต่อต้านอยู่แล้ว หรือแม้แต่จะมีการชุมนุมก็ต้องไม่หวั่นไหวเป็นอันขาด แต่อารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้รับรองว่าเริ่มเป็นกระแสความโกรธ ความไม่พอใจเกิดขึ้นแทบจะทุกหย่อมหญ้า มีไม่น้อยที่ผิดหวังกับผลงานของรัฐบาลไม่สมราคาคุย ให้โอกาสทำงานนานกว่า 1 ปี มีแต่ผลงานห่วยแตก ไม่มีแนวโน้มที่ดีให้ชื่นใจได้เลย
มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทางที่สวนทางกับประชาธิปไตยที่ตัวเองเอ่ยอ้างท่องจำอยู่ตลอดเวลาในเรื่องประชาธิปไตย เคยมีประสบการณ์จากการชุมนุม จากการก่อม็อบก่อจลาจลเผาบ้านเมืองจนวอดวายมาแล้ว จนกระทั่งได้อำนาจรัฐขึ้นมาบริหารประเทศไม่ใช่หรือ แต่พอมีคนไม่พอใจออกมาชุมนุมขับไล่ เพราะพฤติกรรมห่วยแตกของตัวเองบ้างกลับอ้างว่า “ไม่ใช่ประชาธิปไตย” ไปเสียฉิบ
และเมื่อออกกฎหมายพิเศษและใช้กำลังเข้ามาควบคุมข่มขู่ก็ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับ เรียกแขกให้ออกมามากมืดฟ้ามัวดิน อย่าทำเป็นเล่นไป อะไรก็เกิดขึ้นได้!!