ส.ว.สรรหา ชี้ รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพราะกังวลในทางการข่าว อีกด้านเสมือนส่ง “การ์ดเชิญ” ให้คนออกมาชุมนุมมากขึ้น ยอมรับประเมินการชุมนุมยาก เพราะท่าที เสธ.อ้าย และขบวนไม่บอกให้ชัดเจน อีกทั้งบางวิธีเป็นไปไม่ได้ ส่งผลดีคือยั่วให้คนอยากรู้ แต่ผลเสียจะถูกตีความชนิดเสียมากกว่าได้ ห่วงการบริหารจัดการมวลชน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน-ระมัดระวังให้สูง มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการกระทบกระทั่ง
วันนี้ (22 พ.ย.) นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวในรายการนิวส์อาว ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี ถึงการที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เพื่อควบคุมการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ว่า รัฐบาลก็คงประเมินสถานการณ์ในทำนองว่ากังวล ไม่ทราบว่า รัฐบาลได้ประเมินผลดีผลเสีย ชั่งน้ำหนักกันอย่างไร เพราะการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ก่อนการชุมนุม โดยที่การชุมนุมไม่ได้บ่งบอกว่าจะมีอะไรที่เกินกว่ากฎหมายปกติ สิ่งที่รัฐบาลอ้าง เนื่องจากในทางการข่าวทั้งนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราไม่รู้
“ผลที่เกิดขึ้นก็ทำให้เหมือนเป็นการส่งการ์ดเชิญให้คนออกมาชุมนุมมากขึ้น จากรูปแบบการแถลงที่จะบอกว่า มีแผนจับตัวนายกรัฐมนตรีบ้าง แต่ที่แปลก ก็คือ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เป็นผู้หญิง กล่าวว่า จะห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าร่วมการชุมนุมเด็ดขาด จริงอยู่ที่อาจจะอ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ปี 2516 ได้ แต่การชุมนุมตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยมีการใช้มาตรการนี้ เหมือนเป็นการดิสเครดิตการชุมนุมครั้งนี้ ว่า จะมีความปลอดภัย หรือจะมีมือที่สาม หรือแผนการที่จะเกิดความไม่สงบ โดยปกติแล้วมันก็จะให้ผลในทางตรงกันข้าม เป็นผลข้างเคียงออกมาด้วย ผลในเชิงบวกของรัฐบาล ก็อาจจะเป็นการป้องกันไว้ก่อน เตรียมการไว้ก่อน เป็นการเคลื่อนย้ายกำลังได้สะดวก แต่ผลในทางลบ ผลข้างเคียงก็ทำให้คนไม่พอใจรัฐบาลยิ่งขึ้น ก็คือ จะออกมาร่วมชุมนุมมากขึ้น” นายคำนูณ กล่าว
เมื่อถามว่า ถ้าประเมินจากบรรยากาศตอนนี้ การชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.จะมีพลังหรือเกิดผลกระทบมากน้อยแค่ไหน และจะชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่ นายคำนูณ กล่าวว่า ยอมรับว่า ประเมินยาก เพราะ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แกนนำกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ก็พูดแปลกๆ ตอนต้นก็บอกว่าไม่ยืดเยื้อ ไม่เกิน 2 วัน 1 คืน แต่พอแถลงข่าวล่าสุดก็บอกว่าถ้า 11 โมงเช้าผู้ชุมนุมมาไม่ตามเป้า คล้ายๆ กับ ว่า ถ้ามีคนมาน้อย 11 นาฬิกา ก็จะประกาศเลิกเลย ถ้าดูในโซเชียลมีเดีย คนที่พร้อมไปร่วมชุมนุมก็งงๆ บางทีเขาก็ใจเสีย เพราะบางทีเรามีประสบการณ์ในการชุมนุมมา ทราบว่า บางทีนัดเวลาเช้า และงานนี้ค่อนข้างชัดเจนว่าจะอยู่กันอย่างต่ำๆ 1 คืน ฉะนั้น ช่วงที่ผู้คนจะมาเยอะที่สุดก็จะเป็นช่วงเย็น ช่วงค่ำ ไปจนถึงช่วงดึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้านัดชุมนุมในวันเสาร์-อาทิตย์ ด้วย คืนวันเสร์ก็น่าจะเป็นจุดพีคที่สุด
“แต่ทีนี้พอท่านประกาศออกมาว่า 11 โมง ถ้าคนไม่เยอะ ท่านก็พร้อมประกาศเลิก มองในเชิงหนึ่งก็อาจเป็นจิตวิทยาที่ต้องการให้คนมาแต่เช้า เขาก็มองได้ นอกจากนั้น มันก็มีบุคคลที่อยู่ในคณะนำก็ออกมาให้สัมภาษณ์ก็ดูแปร่งๆ เปล่าๆ ยังไงพิกล บางท่านก็เป็นโหรใหญ่ คุณกรหริศ บัวสรวง ท่านก็ให้สัมภาษณ์คล้ายๆ กับบอกไม้เด็ด ไม้ตายออกมาหมด ผมว่า มันเป็นที่ 6 ปีมาแล้วมันไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก เพราะว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ พอท่านประกาศออกมาดูในโซเชียลมีเดีย ก็มีผู้ร่วมขบวนบางท่าน คือ คุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ท่านก็บอกว่า วิธีการที่บางคนพูดออกมาอย่างนั้น มันไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ก็เลยค่อนข้างที่จะไม่มีใครเดาออกว่าสิ่งที่เรียกว่าหมัดเด็ด หรือเป็นวิธีการที่ท่านบอกว่าท่านมีตกลงแล้วมันคืออะไร ถ้าประชาชนมามากจะมีวิธีอย่างไรที่ทำให้รัฐบาลพ้นไปจากตำแหน่ง อันนี้ก็ต้องยอมรับว่ามองไม่ออก เมื่อมองไม่ออกก็ไม่สามารถคาดการณ์ว่าสถานการณ์จะเป็นไปอย่างไร” นายคำนูณ กล่าว
เมื่อถามว่า การไม่บอกเป้าหมายการชุมนุมที่ชัดเจน จะมีผลดีผลเสียอย่างไร นายคำนูณ กล่าวว่า ผลดีก็อาจจะเป็นเหมือนการยั่วยุให้คนอยากรู้ เมื่ออยากรู้ก็ให้คนมามากๆ จะได้เห็นด้วยตาตัวเอง แต่ผลเสีย ก็คือ มันก็นำไปสู่การตีความหลากหลาย ที่สำคัญ ถึงแม้จะมีโฆษกออกมาแล้ว แต่ตลอดระยะเวลา 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทางโฆษกก็ยังไม่สามารถที่จะให้ภาพรวมในรายละเอียดได้ว่า การให้นักการเมืองหยุดยุ่งเกี่ยวกับการบริหารประเทศสักระยะหนึ่ง จะทำอย่างไร เมื่อหยุดการบริหารประเทศแล้ว ใครจะบริหารประเทศ และจะบริหารประเทศไปในทิศทางใด ที่เรียกว่าพิมพ์เขียวประเทศ หลังจากนี้ทำในรูปแบบใด ก็ยังไม่มีการพูดออกมา
“ท่านอาจจะมองว่าเป็นข้อที่ทำให้คนอยากรู้ ก็เลยต้องเข้าไปร่วมมากขึ้น ผมก็อาจจะมองต่างได้ มันก็ทำให้เกิดข้อสงสัย และก่อให้เกิดการตีความกันไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนในขบวนของท่านเอง ออกมาพูดในลักษณะที่บางท่านก็พูดแล้วก็อาจจะเสียมากกว่าได้ พอพูดออกมาแล้ว ก็มีคนในขบวนเหมือนกันออกมาบอกว่า อันนี้ไม่ใช่ มันก็เลยยังค่อนข้างจะสับสน แต่นาทีนี้ก็คงไม่สำคัญเท่าไหร่แล้ว เพราะว่าผู้คนที่ออกไปร่วมก็พร้อมที่จะออกไปเต็มที่ เพราะว่าเขาก็มีอารมณ์ร่วมอยู่ที่ความอึดอัด ความคับข้อง ความไม่พอใจในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่เพิ่งเกิดในวันนี้ แต่ว่าก็เกิดมาเป็นปีๆ แล้ว” นายคำนูณ กล่าว
ส.ว.สรรหา กล่าวอีกว่า พัฒนาการจะไปในทางไหนไม่สามารถที่จะวิจารณ์ไปมากกว่านี้ได้จริงๆ เพราะว่าเท่าที่ติดตามข่าวมายังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าจะไปยังไง แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ตนเป็นห่วงมาโดยตลอด คือ การที่มีแนวโน้มจะมีผู้คนจำนวนมากออกไปร่วมกันแล้วผู้คนจำนวนมากมีเป้าหมาย มีจุดร่วมกันเล็กนิดเดียว แต่เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ก็คือ ไม่พอใจรัฐบาลปัจจุบัน แต่ว่าผู้คนที่จะมาจากหลากกลุ่มความคิด และไม่ได้มีลักษณะมีการจัดตั้งที่ชัดเจน การที่มีผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลจากหลากหลายกลุ่ม หลากหลายความคิดเข้ามารวมกันในเวลาเดียวกัน มันไม่ใช่ว่านึกจะเรียกมาก็เรียกมา เลิกก็เลิกได้ มันก็ต้องมีการบริหารจัดการมวลชนว่า ตกลงแล้วที่มาข้อเรียกร้องที่จะมีต่อรัฐบาลคืออะไร เป้าหมายที่จะต่อสู้บรรลุผลนั้นสูงสุดคืออะไร รองลงมาคืออะไร รองลงมาอีกคืออะไร แค่ไหนที่จะสร้างความพอใจ และยุติการชุมนุม และยุติการชุมนุมจะทำอย่างไร นัดชุมนุมใหม่ หรือจะก่อองค์กรนำเป็นรูปแบบถาวร มีคณะนำขึ้นมา เหล่านี้มันเป็นเรื่องที่ต้องคิด แล้วก็ต้องบอกกับมวลชน เพราะว่าเมื่อเกิดการชุมนุมขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้าการชุมนุมอาจจะเป็น เสธ.อ้าย เรียกชุมนุม แต่ว่าเมื่อชุมนุมขึ้นมาแล้ว การนำในทางปฏิบัติจะไปอยู่ที่มวลชน คือ ไม่ใช่ท่านบอกว่าเลิกแล้วมวลชนจะเลิกได้ ตนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน และต้องระมัดระวังให้สูง เพราะบางครั้งมันก็จะเกิดสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นจากการกระทบกระทั่งกัน มันมีโอกาสเป็นไปได้