ผ่าประเด็นร้อน
น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ก็เป็นได้ ที่ระหว่างการมาเยือนและหลังจากเดินทางกลับไปแล้วของผู้นำและมิตรประเทศกลับกลายเป็นว่ามีแต่เรื่องและข่าวคราวในทำนองชู้สาว ความไม่สำรวม พฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือแม้แต่การวิจารณ์ถึงเรื่องการแต่งกายและการแสดงกิริยาท่าทางไม่เหมาะสมของนายกรัฐมนตรีไทย คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลายเป็นว่าเรื่องดังกล่าวมาบดบังเรื่องเนื้อหาสาระ ข้อตกลงความร่วมมือกันระหว่างสองประเทศไปเสียแทบสนิท
แน่นอนว่าการเดินทางมาเยือนไทยของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บารัค โอบามา เมื่อวันที่ 18-19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ย่อมได้รับการจับจ้องจากทั่วโลกเป็นเรื่องปกติ เพราะนี่คือผู้นำของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกในเวลานี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับมามุ่งสู่ตะวันออก หรือทวีปเอเชียอีกครั้งเพื่อมาตักตวง รักษาผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ เพื่อต้องการกีดกันถ่วงดุลอำนาจกับจีนที่กำลังผงาดขึ้นมามีอิทธิพลเป็นอันดับสองของโลก ดังนั้นการมาเยือนไทยของโอบามา ย่อมเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ และน่าจับตามองของทั้งโลกแน่นอน
แต่กลายเป็นว่า แทนที่จะเป็นเรื่องที่คนทั้งโลกต้องมาสนใจกับเรื่องความร่วมมือทางด้านยุทธศาสตร์ในภูมิภาค ข้อตกลงเรื่องความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ กลับเป็นเรื่องที่คนทั่วโลกมาสนใจแต่กับเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้ “สายตายั่วยวน” ของผู้นำไทยที่มีไปถึงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาไปเสียฉิบ
รับรองว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึกหรือคำวิจารณ์จากฝ่ายตรงข้ามที่หวังต้องการทำลายกันทางการเมืองอย่างเด็ดขาด แต่เป็นความเห็นที่สะท้อนผ่านทางสื่อต่างประเทศชั้นนำหลายสำนักออกมาตรงกันและจับอาการ “ไม่งาม” ของ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร บางแห่งถึงกับใช้ภาษาที่นำมาใช้ก็ล้วนแล้วแต่ส่อให้เห็นออกไปในทำนองเชิงชู้สาว ซึ่งจะว่าไปแล้วจะไปกล่าวโทษสื่อฝรั่งที่มองอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากรูปภาพที่ปรากฏเป็นหลักฐานเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ไม่ว่าจะมองในแง่ดีเพียงใดก็ตาม ก็ไม่สามารถปฏิเสธไม่ได้ เหมือนกับว่าเป็น “การฟ้องด้วยภาพ” หนีไม่ออก
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันถึงพฤติกรรมท่าทางของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผ่านมาแทบทุกครั้งที่เข้าร่วมในพิธีการสำคัญทั้งระดับชาติหรือระดับโลก ในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศทุกครั้งก็ต้องมีเรื่องน่าอาย น่าขบขัน และล่าสุดเป็นเรื่อง “วาบหวาม” หรือ “หยาดเยิ้ม” ออกมาให้เห็นด้วย
เริ่มจากสังเกตความผิดปกติในเรื่อง “เรือดันน้ำ” เรื่องหญ้าแฝกเป็นหญ้าแพรก เป็นต้น หรือแม้แต่ที่เพิ่งแซวกันล่าสุดทั้งในเรื่องของลงท้ายด้วยคำว่า “แท้งกิ้วสามครั้ง” หรือก่อนหน้านี้ก็มีเสียงนินทาคำพูด “คอ-นก-รีต” หรือคอนกรีต นั่นแหละ เพียงแต่ไม่มีหลักฐานมายืนยันเท่านั้น
พฤติกรรมที่สะท้อนออกมาดังกล่าวถือว่าเกิดขึ้นมานานแล้วอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลาปีเศษที่เธออยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำของประเทศ และในฐานะที่เป็นผู้นำหญิงคนแรกน่าจะสร้างความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติกับคนไทยทั่วไป แต่กลายเป็นว่าในความเป็นผู้นำของเธอกลับนำมาซึ่งความอับอายขายหน้าไปทั้งโลก ในช่วงแรกๆอาจจะพอเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะเพิ่งรับตำแหน่งอาจเกิดความประหม่ายังด้อยประสบการณ์ แต่ที่ไหนได้ยิ่งผ่านมา ยิ่งนานวันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ตรงกันข้ามกลับหนักข้อกว่าเดิมหลายเท่า
ขณะเดียวกัน หากมองในแง่ดีอีกด้านหนึ่ง การเดินทางมาเยือนไทยของผู้นำสหรัฐฯ ทำให้ได้เห็นความจริงชนิดที่ “เปลือยล่อนจ้อน” ประจานออกมาให้เห็นอย่างชัดๆ เพราะในท่ามกลางสายตาที่จับจ้องจากสื่อและคนทั้งโลกในฐานะที่ต้องติดตามจับตาผู้นำของประเทศมหาอำนาจของโลก มันก็ทำให้สปอตไลต์ฉายส่องมาที่ผู้นำของเราไปด้วย ทำให้ได้เห็นตัวตน ระดับสติปัญญาความสามารถว่าสมควรจะภาคภูมิใจหรือหดหู่หัวใจ น่าอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
เพราะคำวิจารณ์ที่สะท้อนกลับเข้ามาคราวนี้ไม่ใช่เกิดจากพวก “ขาประจำ” ที่มักถูกฝ่ายรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ ทักษิณ ชินวัตร ที่ “เชิด” น้องสาวตัวเองเข้ามาสู่การเมืองเพื่อปกป้องและทำธุรกิจการเมืองของตัวเอง แต่เกิดขึ้นจากสื่อต่างประเทศ รวมไปถึงคนในสังคมโชเชียลมีเดีย ที่รู้ทันและฉลาดยิ่งกว่า คนพวกนี้เขารับไม่ได้กับคนที่ขาดภาวะผู้นำ ไม่พร้อม ไม่มีอะไรเลย